ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ทำไมพ่อแม่จึงคิดว่าลูกจะต้องตอบแทนการตามใจของตน

เริ่มโดย คุณหลวง, 17:44 น. 19 ม.ค 55

คุณหลวง

ทำไมพ่อแม่จึงคิดว่าลูกจะต้องตอบแทนการตามใจของตน

ได้ยินบ่อยๆเวลาที่พ่อแม่ไม่พอใจลูกมักพูดว่า "กูตามใจมึงขนาดนี้ มึงยังทำตัวอย่างนี้กับกูอีกหรือ" แล้วก็ต้องยอมตามความต้องการของเด็ก พร้อมสำทับว่า "ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ครั้งต่อไปไม่ให้อีกแล้ว" และเป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป

พระพุทธองค์ว่าเด็กๆมีการร้องไห้เป็นอำนาจ ซึ่งเป็นจริงอย่างยิ่งเมื่อเรามองเห็นเด็กร้องไห้ ชักดิ้นชักงอกับพื้นเพื่อให้พ่อแม่ยอมตามความต้องการของเขาไม่ว่าที่นั้นจะเป็นห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ตลาดนัด ฯลฯ หรือแม้กระทั่งที่บ้าน พ่อแม่แม้จะไม่พอใจแต่ก็ต้องยอมตามด้วยอายคนบ้าง หรือเหตุผลใดๆก็ตาม

เรามักคิดว่า การที่เราตามใจเด็กเสมอๆนั้น เด็กจะต้องซึ้งกับความใจดีของเรา และตอบแทนเราเมื่อเวลาที่เราต้องการ ดังนั้น เราจึงได้ยินประโยคทวงบุญคุณกับเด็กเสมอตามร้านตลาดที่มีเด็กกำลังร้องไห้โยเยเพื่อเอาของเล่น ของกิน เกม ฯลฯ

ไม่ว่า มนุษย์ สัตว์ ล้วนต้องการการฝึกฝนร่างกาย จิตใจในการดำรงชีวิต การที่ไม่ฝึกฝนในทางที่ดีก็เท่ากับการฝึกฝนในทางที่เลว เพราะสิ่งที่ทำบ่อยๆจะกลายเป็นนิสัยในที่สุด และการฝึกฝนก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการฝืน ฝืนความเคยชิน ฝืนความอยาก หากเราไม่รู้จักฝืนหรือไม่ยอมฝืนบ้าง ร่างกาย จิตใจเราจะอ่อนแอในที่สุด

เด็กๆที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจ จิตใจของเขาจึงอ่อนแอไปตามความต้องการ เป็นความเคยชิน เป็นนิสัยที่แสดงออกถึงความยิ่งใหญ่เหนือพ่อแม่หรือคนอื่นด้วยการร้องไห้ ร้องอย่างไม่มีการยอมแพ้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่เคยรับการฝึกที่จะฝืนนั่นเอง

พ่อแม่มักคิดว่า การตามใจลูกจะแสดงถึงความรักที่ตนมีต่อลูกอย่างยิ่ง และลูกจะคิดได้ และตอบแทนตนในที่สุด แต่สิ่งที่เราควรจะทราบคือ เด็กๆจะไม่ได้คำนึงถึงความรักที่เรามีต่อเขาในขณะที่จิตใจของเขาถูกปกคลุมด้วยความอยาก แต่เขากลับเรียนรู้ถึงความอ่อนแอของพ่อแม่ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของพ่อแม่ และเขารู้ว่าเขาสามารถชนะพ่อแม่ได้ด้วยการร้อง ร้อง และร้อง

พ่อแม่จึงเหลือค่าเพียงคนอ่อนแอที่เขาสามารถชนะได้ตลอด ไม่ใช่คนต้นแบบที่เขาจะสามารถเคารพในความแข็งแกร่ง มีเหตุผล ไม่ใช่วีรบุรุษที่เขาควรเอาอย่าง ยิ่งเมื่อบวกกับหากพ่อแม่ดุด่า ทุบตีเมื่อทนความกวนของเขาไม่ไหวก็เท่ากับสร้างปมความก้าวร้าวรุนแรงกับเด็กไปอีกต่อหนึ่ง

เด็กๆเหล่านี้จะกลายเป็นคนอ่อนแอที่เอาแต่ใจ และก้าวร้าวรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ยิ่งมีอำนาจจากภายนอกมาเสริม เช่นพ่อแม่มีอิทธิพลหนุนหลัง เด็กก็ยิ่งก้าวร้าว ไร้เหตุผล ไร้เมตตามากยิ่งขึ้น เพราะเขาเรียนรู้มาเพื่อความเหนือคน คนอื่นเขาต้องชนะได้ เพราะแม้แต่พ่อแม่เขาก็ชนะมาโดยตลอด

และที่สำคัญคือ ในระยะยาวเด็กเหล่านี้จะเอาใจใส่พ่อแม่น้อยกว่าคนที่ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบต้องอดทนต่อความอยากของจิตใจ เพราะว่าความรู้สึกดูแคลนความอ่อนแอของพ่อแม่ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกัน

การสอนให้เด็กมีเหตุผล อดทนต่อความอยาก และการไม่ยอมตามความต้องการของเด็กในสิ่งที่ไม่สมควรนั้น จึงเป็นการสร้างความเคารพในตัวพ่อแม่ เคารพในตนของเด็ก เขาจะเรียนรู้ว่าเขามีสิทธิมากน้อยเพียงไร และเขาควรได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร

แน่นอน แม้ว่าบางคนอาจจะคิดได้เมื่อโตขึ้น แต่การแก้ไขความรู้สึกนั้นยากยิ่งนัก นักจิตวิทยากล่าวว่า ปมที่ถูกฝังมาตั้งแต่เด็กนั้นมีอิทธิพลในส่วนลึกของจิตใจจนตาย การรักษาโรคทุกข์ของจิตแพทย์จึงเน้นการสืบเสาะลงไปถึงที่มาของปมนั้นๆแล้วให้คนไข้ทำความเข้าใจด้วยเหตุผลจึงสามารถรักษาได้ระดับหนึ่ง แต่น้อยคนที่จะยอมรับตัวเองแล้วรักษาแก้ไข

ดังนั้น การหวังแต่ว่าเด็กจะคิดได้เองตอนโตนั้น ดูจะเป็นเหตุผลที่สนับสนุนความอ่อนแอของพ่อแม่เองมากกว่าที่จะเป็นเหตุผลที่แท้จริง

การสร้างจิตใจที่เข้มแข็งให้แก่เด็ก จึงน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่จะพัฒนาคนให้เป็นคนที่ดีของสังคม และโลกใบนี้



หมายเหตุ : เรื่องนี้เป็นบทสังเกต รวมถึงความรู้การอ่านของผู้เขียน ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมดผู้เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครองควรสังเกตเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อการดูแลบุตรหลานอันเป็นที่รักยิ่งของเราให้ดีที่สุด ขอบคุณครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป