ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

จนท การเงิน ของ รพ ให้เซ็นยืนยันยอดเงินเกินจริง

เริ่มโดย เล่าชวนระวัง, 16:46 น. 07 ธ.ค 62

sanooker-fanclub


ดร.เรด ไข่แดง

สรุป. แถลงการณ์ ด่วน !!!!!   ลุงสรุปมาให้ ครบๆ แชร์ได้  มีการลงมติในหลายๆเรื่องในหลายๆมาตรการเป็น เอกฉันท์ ในการประชุมของ คณะกรรมการศูนย์ควบคุมสถานการณ์ไวรัส COVID - 19 แห่งชาติ โดยมีลุงตู่เป็น ประธาน และผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุด   ~ คณะกรรมการยังให้ สถานการณ์ในประเทศไทยยังอยู่ใน phase 2   ~ มีการเตรียมรับมือ กับ. Phase 3 ล่วงหน้า แบ่งเป็น 6 ด้าน   1. กระทรวงสาธารณสุข     - เตรียม รพ. ต่างๆทั้งของรัฐ เอกชน รพ.ในมหาลัย. และ รพ.ทหาร     - เตรียมระดม หมอ พยาบาล  และบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งระบบ    -  เตรียม ยา และ เวชภัณท์. ไว้ให้เพียงพอ     - อนุมัติค่าตอบแทน พิเศษ  2.  หน้ากากอนามัย เจล แอลกอฮอล   - ระดม หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ แอลกอฮอล    - สั้งเพิ่มการผลิต   - นำของกลางที่จับได้ต่างๆมาให้ศูณย์สั่งการ COVID -19 นำมาใช้แจกจ่ายปชช. เลย 3. ข้อมูลข่าวสาร    -  ตั้งศูนย์ รับเรื่องต่างๆ ให้ประชาชน... ส.สู้ๆ

Dr.Red UFO

#ในยามเผชิญหน้ากับวิกฤติโควิด19

จงใช้ชีวิตตามปกติ
จงทำหน้าที่ของตัวเอง
จงทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเองต่อไป

ถ้าข้าวมันไก่ปากซอยยังเปิดขาย
ถ้าร้านข้าวแกงยังเปิดอยู่
ถ้าร้านอาหาร...ร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อย
ร้านใกล้ๆบ้านที่เคยกินประจำ ยังเปิดกิจการอยู่
ถ้าร้านสะดวกซื้อในซอยยังไม่ปิดตัว
ใยต้องตื่นตระหนกตกใจ...ที่นี่เมืองไทยมีของให้กินมากมาย
ไม่ต้องกลัวอดตาย...

เก็บเงิน...แม้มีอยู่น้อยนิดติดกระเป๋าเอาไว้...
ดีกว่าซื้อของมากักตุน
ไม่ต้องแบกให้หนัก...ไม่ต้องเป็นภาระ
ใช้ชีวิตให้เรียบง่ายเข้าไว้
ไม่จำเป็นไม่ออกนอกบ้าน...ไม่เดินห้าง...
ไม่ไปย่านชุมนุม..หรือชุมชนแออัด
ไม่ไปกินร้านอาหารคนเยอะๆ

ไม่มีหน้ากากให้ซื้อ...ก็ไม่ต้องซื้อ
ถ้ามีขายแต่แพงเกินเหตุ...ก็ไม่ไปต้องอุดหนุน
ใช้ผ้า..ใช้เสื้อ...ใช้อย่างอื่นแทนเอา
ไม่มีแอลกอฮอล์ล้างมือ...ก็ไม่ต้องใช้มัน
เรามีสบู่...เรามีน้ำยาล้างจาน..ก็ล้างมือสะอาดได้
เพียงแต่ล้างให้บ่อยขึ้น...
ฝึกตัวเองให้ปฎิบัติตามคำแนะนำ
กินของร้อน...ใช้ช้อนกลางส่วนตัว...หมั่นล้างมือ

ข่าวสารรึ...ถ้าดูแล้วเครียด..ถ้าฟังแล้วใจวุ่นวาย
ก็ปิดทีวี...ปิดวิทยุ...เปิดฟังรายการบันเทิง ฟังเพลงสนุกๆแทนเสียบ้าง
เฟสบุ๊ค/กลุ่มไลน์....ถ้าเข้าไปอ่านคอมเมนท์แล้ว
ทำให้เกิดความเครียดและวิตกจริตกำเริบ
จงเลื่อนผ่าน...หาอ่านอะไรที่มีสาระที่ทำให้ใจชื่นบาน

เพื่อนที่ติดเชื้อบ้า...เอาแต่ด่า...เอาแต่บ่น...
ประสาทหลอน...โรคประสาทกำเริบ
วิตกจริตเกินเหตุ....ไม่คิดทำมาหากิน...
วันๆมีแต่โทษคนอื่น....โทษโน้นนี่นั่นไปวันๆ
จงลบทิ้งไปบ้าง...เลือกอ่าน..ดูแต่เรื่องดีๆที่มีประโยชน์
จงอย่าตื่นข่าว...จงใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ตรองให้มากๆก่อนจะเชื่อก่อนจะแชร์อะไรออกไป

ในยามวิกฤติเยี่ยงนี้....ให้น้อมนำเอาหลักคำสอนของ "พ่อ"
ตามหลักปรัชญา"เศรษฐกิจพอเพียง"ตามศาสตร์พระราชา
ที่ทรงมอบเอาไว้ให้ลูกหลานชาวไทยได้น้อมนำเอามาปฎิบัติในชีวิตจริง
และน้อมนำเอาคำสอนขององค์พระศาสดา พุทธแท้. คือผู้รู้  ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ชาวพุทธที่แท้. คือ. ตื่น. รู้. อยู่กับปัจจุบัน
จงใช้สติและปัญญา...ในการดำเนินชีวิต
ในยามนี้...
จงเป็นแสงสว่างให้ตัวเองและผู้อื่น
จงใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท
จงอยู่กับปัจจุบัน. จงอยู่กับความเป็นจริง...
จงมองโลกตามความเป็นจริง....
จงทำใจให้สงบ...ในความวุ่นวาย...

เชื่อสิ...วิกฤตินี้...เราทุกคนจะผ่านพ้นไปด้วยดี... ส.สู้ๆ

ภูเขาทอง(แดง)

#ทำวิกฤติให้เป็นโอกาส

การที่สมเด็จฯ สุขภาพไม่ดีมาโดยตลอด
ไม่ได้ทำให้ท่านท้อแท้
หรือเบื่อหน่ายชีวิตของตนเองเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ท่านอาพาธมากๆ
ออกไปไหนไม่ได้ ถ้าเป็นคนทั่วไป
คงรู้สึกอึดอัดกับสภาวะนั้น และคิดฟุ้งซ่าน
เตลิดเปิดเปิงไปต่างๆ นานา

ถ้าฟุ้งซ่านมากๆ
อาจนึกถึงการทำร้ายตัวเอง
เช่น การฆ่าตัวตาย เป็นต้น


สำหรับสมเด็จฯ ท่านบอกว่า
ทุกครั้งที่ท่านเป็นโรคนั้นโรคนี้
ทำให้ได้เรียนรู้ความจริ
งจากประสบการณ์ตรงว่าโรคนั้นๆ เป็นอย่างไร

ถึงจะอ่านหนังสือ
หรือมีคนอธิบายให้ฟังอย่างไรๆ
ก็ไม่เท่ากับได้ประสบกับตนเอง


นอกจากรู้จักโรคนั้นๆ
จากประสบการณ์ตรงที่เป็นด้วยตนเองแล้ว
ก็ค้นคว้าหาความรู้จากตำรับตำราเกี่ยวกับโรคนั้นๆ ด้วย

ถ้ามีโอกาส หรือยังสงสัย
ก็สอบถามจากแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
แต่ถามเพราะอยากรู้
ไม่ใช่ถามเพราะกลัวโรค
ท่านจึงรอบรู้ แต่ไม่ชอบรักษา

อีกอย่างหนึ่ง
การที่ท่านอาพาธจนไปไหนไม่ได้
ก็ดีเหมือนกัน เพราะท่านได้มีเวลา
ทำงานอย่างเต็มที่ เป็นส่วนตัวจริงๆ
โดยไม่ถูกรบกวนจากกิจกรรม
ที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลา

แต่เพราะเหตุนี้เอง
จึงไม่มีเวลาคิดหรือห่วงกังวลกับโรค
เพราะเรื่องที่จะทำมีมากมาย
เวลาสำหรับคิดเรื่องที่ทำ ก็ไม่พออยู่แล้ว


งานมีมากมาย ทั้งงานเก่าที่ยังสางไม่หมด
และงานที่คิดไว้ว่าควรทำ และน่าจะทำ
ก็มีรอคอยอยู่ข้างหน้าหลายงาน
ล้วนเป็นงานชิ้นใหญ่ทั้งนั้น
เช่น เขียน พุทธธรรม เพิ่มเติม
เขียน พจนานุกรม พุทธศาสตร์ เพิ่มเติม
เขียนเรื่อง ความสุขตามหลักพุทธธรรม
เขียนเรื่อง อริยวินัย
ทำค้นคว้า สารานุกรมพุทธศาสตร์
ซึ่งเคยทำไว้บ้างแล้วให้จบ เหล่านี้เป็นต้น

ท่านเคยบอกว่า ชีวิตที่เหลือจากนี้
เวลาไม่พอทำงานแล้ว
เพราะสังขารทรุดโทรมลงไปมาก

แต่กระนั้น ท่านก็มิได้หยุดทำงาน
เพียงแต่ทำได้น้อยลงตามสังขารที่อาพาธ
และร่วงโรยไปตามอายุ ซึ่งล่วงเข้าสู่วัยชราแล้วนั่นเอง

...

#วิถีแห่งปราชญ์
#ปฏิปทาของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
เขียนโดย พนิตา อังจันทรเพ็ญ

ไข่แดง เจ็ดแน่

"..ของหลอกนี่มันไม่ถาวรของจริงเท่านั้น
จึงจะถาวร สัจจธรรมของพระพุทธเจ้าอายุถึง ๒๕๐๐ ปีกว่าแล้ว ยังอยู่ แต่ของหลอกๆ ทั้งหลาย เดี๋ยวเกิดหลอกที่นั่น เกิดหลอกทีนี่ ไม่กี่เดือนก็หายไป เพราะเป็นของชั่วคราว หลอกกินกันชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ว่าศักดิ์สิทธิ์อะไร น้ำศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แม่ย่านางเรือศักดิ์สิทธิ์ ต้นกล้วยศักดิ์สิทธิ์ อะไรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมันดังอยู่ไม่กี่วันหรอก แล้วก็ซาๆ ไป หายไป ที่เจ็บใจก็คือว่า อ้ายศักดิ์สิทธิ์นี่มันอยู่ในวัดเสียด้วย สมภารก็นั่งยิ้มแฉ่งอยู่ ในเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ได้ลาภสักการะ นั่นเรียกว่า เดินในเส้นทางที่พระพุทธเจ้าไม่โปรดให้เดิน คือไปเดินในรูปหาลาภจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นานา ทำคนให้หลง ทำคนให้งมงาย ทำคนให้ไม่ให้เข้าถึงศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าไปเชี่อคำศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดชทั้งหลายเหล่านั้นอันนี้น่าเสียดายที่ไปอยู่ในวัดวาอารามต่างๆ แต่ว่าพระท่านก็ไม่พูด เพราะว่าปัจจัยมันมาปิดหูปิดตา อุดปากแน่นพูดไม่ออก อมเงินแล้วมันพูดไม่ออก เสียงมันอ้อแอ้ อ้อแอ้ พูดไม่ออกไปตามๆ กัน เห็นแก่ลาภสักการะ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะนี่ มันฆ่าคนได้เหมือนกัน "สักกาโร ปุริสัง หันติ" แปลว่า ลาภสักการะฆ่าคน ไม่ได้ฆ่าคนให้ตายทางร่างกาย แต่ฆ่าคนให้ตายทางจิต ทางวิญญาณ คือจิตเขาตายด้าน ไม่เจริญงอกงามในธรรมวินัย ไม่ก้าวหน้าในการคึกษา ในการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไปติดอยู่ในวัตถุเหล่านั้น ในความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็มีคนนิยมกันอยู่ แล้วก็พระเราทำด้วย คนก็นึกว่าเป็นเรื่องทางพระพุทธศาสนา เลยเข้าใจเขวไป.."

.. หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ .. ส.สู้ๆ

Dr.Red mountain UFO

The coronavirus COVID-19
"การปฏิบัติตัวในระหว่างที่มีโรคระบาด"

ช่วงนี้พวกเราคงได้ติดตามข่าวคราวเรื่องของการแพร่ระบาดของโรคหวัดโคโรน่า โควิด-19 ซึ่งตอนนี้อยู่ขั้นที่ 3 ขั้นที่จะระบาดกันระหว่างคนในประเทศ ไม่ต้องมีคนพาเชื้อมาจากต่างประเทศแล้ว เพราะมีเชื้ออยู่ในประเทศที่จะมาแบ่งกันแชร์กัน ฉะนั้นทางที่ดีขั้นนี้เขาแนะนำให้อย่าออกนอกบ้าน ให้อยู่ในบ้านเพื่อความปลอดภัย อย่าไปรับเชื้อโรค เพราะไม่รู้ว่าใครติดใครมีเชื้อบ้างไม่มีเชื้อบ้าง อย่าไปในที่ชุมนุมที่มีคนมากๆ เช่น โรงภาพยนตร์ โรงละคร สนามกีฬา บางประเทศเขาปิดหมดนะ ประเทศอิตาลีเดี๋ยวนี้ปิด ปิดร้านอาหารปิดอะไรหมด เพราะเขาต้องควบคุมให้ได้ ไม่ให้มันแพร่ระบาด เพราะมันแพร่ระบาดแล้วจะทำให้คนป่วยมาก แล้วโรงพยาบาลจะไม่มีกำลังที่จะมารับคนป่วย ถึงกับต้องแยกคนว่าจะรักษาคนไหนไม่รักษาคนไหน เหมือนในช่วงสงคราม คนไหนรักษาแล้วโอกาสรอดมีน้อยเขาก็ไม่รักษา เขาจะรักษาแต่คนที่มีโอกาสรอดมากกว่ามีอายุน้อยกว่า คนที่แก่ใกล้ตายแล้วเขาก็บอกว่ารักษาไปเดี๋ยวไม่กี่วันก็ตาย เขาก็ไม่รักษา ฉะนั้นวิธีที่ป้องกันจะไม่ให้มันทำให้ระบบของการรักษาพยาบาลมันรับไม่ไหว ก็ต้องพยายามลดการติดเชื้อ การจะลดการติดเชื้อก็ต้องอยู่ห่างกัน อย่าอยู่ใกล้กัน โดยเฉพาะคนแปลกหน้า คนที่อยู่ในบ้านเดียวกันไม่เป็นปัญหา เพราะถ้าติดก็ติดกันแล้ว แต่คนที่อยู่ข้างนอกเนี่ยคนแปลกหน้า คนที่เราไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเขามีเชื้อหรือไม่มีเชื้อ เพื่อลดการแพร่ขยายการติดเชื้อเขาเลยห้ามไม่คนออกนอกบ้าน ที่สหรัฐเดี๋ยวนี้เขาห้าม วัดต่างๆ โบสถ์ต่างๆ ปิดหมดไม่ให้คนไปโบสถ์ เดี๋ยวนี้เขาบูชาทางอินเตอร์เน็ตกัน เดี๋ยวนี้คาทอลิกเนี่ย ในโบสถ์เขามีสถานีออนไลน์ให้พระเทศน์ อย่างตอนนี้ แล้วญาติโยมที่อยากจะทำบูชากิจวัตรของศาสนา ก็เปิดอินเตอร์เน็ตดูกัน บูชากันแบบนั้น ตอนนี้ต้องแยกกัน อย่าอยู่ใกล้กัน เพราะเราอย่าไปติดเชื้อดีกว่า ภารกิจต่างๆ ที่สำคัญขนาดไหนถ้างดได้ก็ควรงดไปก่อน เพราะภารกิจป้องกันการแพร่ระบาดโรคนี้เป็นภารกิจที่สำคัญอย่างมาก ที่เราจะต้องมาช่วยกันมาลดการแพร่ระบาดของโรคนี้ อย่างประเทศจีนเขาปิดเมืองนะ ซึ่งเดี๋ยวนี้ประเทศจีนเขาบอกว่าคนติดเชื้อมีแค่คนเดียว เมื่อวานนี้ เพราะเขาคุมหมด เขาคุมหมดเขากักตัวคน ใครเป็นโรคนี้เขาแยกจับไปอยู่ศูนย์ของคนเป็นโรคเลย ไม่ให้อยู่กับคนที่ไม่เป็นโรค เพื่อที่จะได้ไม่ไปแพร่ขยายให้กับคนอื่น ทางประเทศเราเขายังอาจไม่ได้ออกกฏหมายหรือคำสั่งบังคับ แต่พวกเราก็ควรใช้สติใช้ปัญญากัน ไม่ต้องรอให้เขามาบอกเรา เรารู้ว่าเราควรจะทำอะไรเพื่อความปลอดภัยเราก็ควรจะทำกัน

ดังนั้น พยายามอยู่บ้าน ถ้าจะออกนอกบ้านก็เฉพาะซื้ออาหารซื้อยาซื้ออะไรที่จำเป็น อย่าไปอยู่ใกล้ เดี๋ยวนี้เขาบอกว่าเวลาเจอคนนี้ต้องอยู่ห่างกัน 2 เมตร 6 ฟุต เพราะว่าลมหายใจนี้มันกระจาย เวลาพูดเวลาหายใจมันมีเชื้อโรคกระจายออกมาด้วย ถ้าอยู่ใกล้มันก็จะไปติดเสื้อผ้าติดอะไรติดมือ แล้วเดี๋ยวมือเราเราก็หยิบของกินกันมันก็เข้าไปในร่างกายของเรา ฉะนั้นจึงบอกให้คอยเช็ดมือให้สะอาดอยู่เรื่อยๆ ก่อนจะกินอะไรก่อนจะเอาอะไรเข้าปาก ก่อนจะเอามือแตะหน้านี่ถามตัวเองก่อนว่าเช็ดหรือยังล้างหรือยัง นี่คือสิ่งที่พวกเราทำกันได้ ที่จะช่วยทำให้การระบาดของโรคนี้ลดลงได้ และไม่แพร่ขยายและหมดไปได้ แต่เราต้องเสียสละกัน ตอนนี้เราต้องอยู่แบบพระกัน อยู่วัด อยู่บ้าน โยมก็อยู่บ้าน พระก็อยู่วัดกัน ตอนนี้ไม่ควรที่จะมาวัดทำบุญ ทำได้ก็ใส่บาตร เพราะพระยังต้องกินอยู่ พระก็ต้องไปบิณฑบาต แต่บิณฑบาตมันไม่ได้อยู่ที่เดียว มันยาวเป็นแถวยาว คนก็ไม่ได้อยู่ใกล้กัน คนที่อยู่ใกล้กันก็เป็นพวกเดียวกัน ฉะนั้นโอกาสที่จะติดเชื้อก็ยากกว่าการที่ไปนั่งอยู่ในศาลารวมกัน อยู่ในโบสถ์รวมกัน ไปนั่งไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิใกล้กัน ก็มีโอกาสที่จะแพร่โรคได้ ที่นี่ก็เหมือนกัน มา ฟังเทศน์ฟังธรรมก็ฟังผ่านทางออนไลน์ก็ได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ทีมงานยังสบายกันดีอยู่ยังไม่ ติดเชื้อ เขาก็จะมาช่วยกันถ่ายทอดสดต่อไป ไม่ต้องมาที่วัดจะดีกว่าช่วงนี้ เพื่อความปลอดภัย ฟังธรรมที่บ้านได้ นั่งสมาธิฟังไปที่บ้านได้ป ฎิบัติธรรมปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ที่นี่ก็ได้ที่บ้านก็ได้ ฉะนั้นตอนนี้เราต้องปรับพฤติกรรมของพวกเราให้มันทันกับเหตุการณ์ อย่าไปประมาท อย่าไปคิดว่าเราจะไม่ติด ไม่มีใครรู้ว่าใครจะติดไม่ติด ถ้าไม่ออกไปนอกบ้านไม่ไปเจอคนแปลกหน้าโอกาสจะติดมันน้อย ถ้าคนในบ้านไม่มีใครติด แต่ถ้าออกไปนอกบ้านเดี๋ยวไปเจอคนอื่น เราไม่รู้ว่าเขาติดมาแล้วหรือยัง โชคดีโรงเรียนของเราปิดเทอมพอดี เด็กก็เลยไม่ต้องไป แต่โรงเรียนนานาชาติได้ข่าวว่าเขาให้ปิดหมดนะ เด็กเขาไม่ให้ไปโรงเรียนกันแล้ว เพราะกลัวเดี๋ยวไปเจอกันอยู่ใกล้กัน แล้วเดี๋ยวก็คนที่มีเชื้อจะไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่นได้

นี่เป็นเหตุการณ์เหมือนสงครามโลกแล้วนะตอนนี้ คิดว่าคนอาจจะตายมากกว่าในสงครามโลก แต่ละประเทศนี้เขาเริ่มปิดกันหมดแล้ว ให้อยู่บ้านกัน ออกมาได้เฉพาะมาหาซื้ออาหารซื้อยาซื้อสิ่งจำเป็น ร้านอาหารเดี๋ยวนี้ก็ต้องปรับจากการไปนั่งกินในร้านอาหารเป็นการส่งหรือเป็นการหิ้วกลับบ้าน ไปที่ร้านอาหารเทคเอาท์ออเดอร์ แล้วก็หิ้วกลับบ้านไปกินกัน หรือไม่งั้นก็สั่งผ่านทางโทรศัพท์ให้คนไปส่งให้ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้มันจะทำให้โรคมันติดกันง่าย แล้วมันจะแพร่ขยายเป็นวงกว้างจนจะมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยมากกว่าที่โรงพยาบาลจะรับไปรักษาได้ แต่โรงพยาบาลเขาก็ต้องเลือกคน คนไหนดูว่าสภาพเป็นยังไงทรุดหนักไหมรักษาไหวไหม คนไหนรักษาไม่ไหวเขาก็ไม่รักษา รักษาแต่คนที่คิดว่ารักษาให้หายได้ นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นมาในชีวิตนี้ก็เกิดขึ้นมา ดูแต่ข่าวของสงครามโรค ดูแต่ข่าวของสงครามของประเทศอื่นว่าเขาอยู่กันยังไง ทุกข์ยากลำบากกันยังไง ของพวกเราถ้าเราไม่ระวังถ้าเราประมาท ถ้าเราไม่รีบป้องกันตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวเราก็อาจจะไปอยู่ในสภาพนั้นก็ได้ เมื่อมีคนป่วยมากๆ คนก็ตกงานก้นมาก ระบบเศรษฐกิจอะไรต่างๆ ก็จะหยุดชะงักกัน ต่อไปอาหารอาจจะขาดแคลนก็ได้ ตอนนี้เริ่มมีการกักตุนกัน คนกลัว ไปซื้ออาหารที่สหรัฐนี้ในร้านนี้มีแต่ชั้นไม่มีของ คนกลัวว่าจะไม่มีอาหารกินกัน แล้วเขาก็แนะนำด้วยว่าควรจะมีอาหารเตรียมไว้อย่างน้อยสองอาทิตย์เผื่อเวลาที่ไม่สามารถออกมานอกบ้านไปซื้ออาหารได้ แล้วควรจะมีอาหารไว้กินสักสองอาทิต ย์มีอาหารมีน้ำ ของคนไทยเราก็ข้าวสาร มาม่า ปลากระป๋อง น้ำดื่ม ยาที่จำเป็นที่ต้องใช้ประจำ ยาประจำตัว ใครมีโรคอะไรประจำตัวก็ไปขอยาเพิ่มจากหมอเผื่อไว้ ที่ต้องกินเป็นประจำ พยายามงดการที่จะต้องไปพบปะคนในที่ชุมชนชุมชน ถ้าอยู่ในที่ชุมชนก็พยายามอยู่ห่างกัน เขาเดี๋ยวนี้บังคับเวลายืนเข้าแถวนี้ให้ห่างกัน 2 เมตร ไม่ให้ใกล้กัน แล้วก็พยายามติดตามข่าวอยู่เรื่อยๆ ข่าวก็ต้องบริโภคแบบมีสติด้วย เพราะข่าวบางทีมันก็ข่าวโคมลอยก็มี ข่าวหลอกข่าวลวงก็มี งั้นต้องฟังหลายๆ ด้าน ฟังข่าวของรัฐบาลฟังข่าวของสถานีโทรทัศน์ฟังข่าวต่างประเทศบ้างก็ได้ จะได้มีอะไรมาเปรียบเทียบมาทดสอบดูว่าข่าวไหนเป็นข่าวจริงข่าวไหนเป็นข่าวปลอม แต่ข้อสำคัญให้มีสติ ให้ตั้งอยู่ในความสงบ พยายามอยู่เฉยๆ อย่าไปตื่นตระหนก อย่าไปทำอะไรที่จะทำให้เกิดความเสียหายเดือดร้อนให้ต่อกันและกันไม่เกิดประโยชน์ แย่งกันทุบตีกันทำร้ายกัน ข่าวที่อเมริกาบอกตอนนี้อาวุธปืนขายดิบขายดี คนกลัวว่าเดี๋ยวต่อไปไม่มีอาหารกินอาจจะมาปล้นมาจี้กัน ต้องเตรียมอาวุธป้องกันกัน เพราะคนเราเมื่อมันถึงขั้นวิกฤต ขั้นที่อดอยากขาดแคลนก็จะต้องมีการแย่งแย่งกัน คนที่มีอาวุธก็สามารถข่มขู่คนที่ไม่มีอาวุธได้

แต่เราใช้ธรรมะดีกว่า เราใช้ความเมตตา ถ้ามีการพอจะแบ่งปันให้กันได้ก็แบ่งปันกันไป ให้เรามีสติอย่าเบียดเบียนกัน พยามฝึกสติพุทโธพุทโธอยู่ในใจอยู่เรื่อยๆ ให้ใจนิ่งให้ใจสบายให้ใจเป็นอุเบกขา สักแต่ว่ารู้ ไม่รักไม่ชังไม่กลัวไม่หลง ตัวนี้สำคัญไม่กลัวไม่หลง ตอนนี้เราจะกลัวกันมากถ้าจิตไม่มีสติจิตไม่มีอุเบกขานี้มันอะไรมันจะเป็นแบบกระต่ายตื่นตูมไป จะมีความหวาดกลัววิตกกังวลกลายเป็นโรคปราสาทไปได้ถ้าไม่ระวัง แล้วก็จะไปทำให้คนอื่นคนที่อยู่ใกล้ชิดต้องเดือดร้อนด้วย ฉะนั้นพยายามฝึกความสงบไว้ให้ดีที่สุด เรื่องทางจิตใจนี้ต้องใช้สติใช้ปัญญา ใช้ศีลธรรม อย่าเบียดเบียนกัน อย่าฆ่าฟันกัน อย่าลักทรัพย์ของผู้อื่น อย่าโกหกหลอกลวง ละอบายมุขต่างๆ ตอนนี้อย่าดื่มสุรายาเมา อย่าแก้ความเครียดความกลัวด้วยการดื่มสุราหรือเสพยาเสพติด มันเป็นการแก้ชั่วคราว ดื่มสุราเมาแล้วก็อาจจะลืมเรื่องต่างๆ ไปชั่วคราว เดี๋ยวพอหายเมาแล้วก็เกิดความวิตกเกิดความเครียดขึ้นมาใหม่ ให้มาแก้ด้วยกันใช้สตินั่งสมาธิเดินจงกลม ควบคุมใจให้นิ่งให้สงบ แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาความเป็นจริงของชีวิต พระพุทธเจ้าบอกชีวิตของเรา เกิดมาแล้วย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ ย่อมมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ล่วงพ้นไปไม่ได้ ย่อมมีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ ย่อมมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ล่วงพ้นการพลัดพรากจากกันไปไม่ได้ พยายามพิจารณาเตือนใจสอนใจเพื่อจะได้ปลงเสีย เอาวะ! จะเป็นก็เป็นวะ! ไปเครียดไปวิตกไปเป็นโรคประสาททำไม ถ้ามันจะเป็น แต่เราก็ป้องกันให้ดีที่สุด พยายามอยู่บ้านให้มากที่สุด ออกนอกบ้านให้น้อยที่สุด ถ้าเป็นเราก็ต้องแยกตัวเราอย่าไปอยู่กับคนที่ไม่เป็น อย่าไปให้เขาต้องรับเชื้อจากเรา ก็หาที่อยู่ต่างหากไป อยู่กันห่างๆ แล้วก็ฝึกสติพยายามนั่งสมาธิ ตอนนี้ไปไหนไม่ได้ เป็นช่วงที่มีเวลาปฏิบัติกัน งานก็ไปทำงานไม่ได้ โรงเรียนก็ไปไม่ได้ จะมีเวลาว่าง คนที่ไม่เคยอยู่เฉยๆ ก็จะเครียดขึ้นมา ก็เนี่ยหัดเดินจงกรมหัดนั่งสมาธิหัดฟังเทศน์ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะเพื่อเรียนรู้วิธีการปฏิบัติจิตใจให้สงบว่าทำอย่างไร ทำให้จิตใจปล่อยวางได้อย่างไร ขั้นต้นก็ต้องมีสติทำใจให้สงบ พอมีความสงบในระดับที่มีอุเบกขาก็ใช้ปัญญาสอนใจ สอนเรื่องที่ทำให้เราทุกข์กันตอนนี้คือเรื่องอะไร ก็เรื่องโรคระบาด เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องอดอยากขาดแคลน เราก็ต้องพิจารณาตามความเป็นจริงว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายของใครไม่เว้น คนรวยคนจน คนใหญ่คนไม่ใหญ่ มีโรคภัยไข้เจ็บเหมือนกัน... ส.สู้ๆ

Dr.Red Covid-19

จดหมายถึงไวรัส

——

สวัสดี คุณไวรัส
.
.
ตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึงแต่คุณ
ไม่แน่ใจว่าคุณรู้ตัวหรือเปล่า คุณน่ะดังไปทั่วโลกแล้วนะ
.
.
เอาจริงๆ พวกเราค่อนข้างกลัวคุณเลยล่ะ
สำหรับผมแล้ว คุณทำให้บรรยากาศของสังคมมันร้อนผ่าวๆ
เพราะคุณค่อนข้างจะตีสนิทกับคนได้ง่าย
แล้วกิตติศัพท์คุณก็ร้ายไม่เบา
.
.
ผมไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังมีความสัมพันธ์อยู่กับใคร
มันไม่ใช่กงการอะไรของผมหรอก
ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องห่วงใครมากกว่ากัน
ระหว่างพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนมนุษย์ หรือตัวผมเอง
แม้ผมอยากให้คนใกล้ตัวปลอดภัย
แต่ก็ไม่อยากเค้าหรือใครมาใกล้ตัว
.
.
เข้าใจมั้ย?
นั่นแหละ เป็นไปได้ผมก็ไม่อยากให้ใครๆ เจอคุณ
และไม่อยากให้คุณไปเจอใครๆ ด้วย
นี่แหละ คือเหตุผลที่ทำให้ผมเลือกเขียนจดหมายถึงคุณ

——

ตอนสมัยประถมต้น
ผมได้ยินชื่อคุณครั้งแรก
จากเสียงเพลงที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องพี่สาวข้างบ้าน
ใช่...มีคนเอาชื่อคุณไปแต่งเป็นเพลง
"ไวรัสๆๆ...ตัวนี้น่ารัก...ไวรัสๆๆ...ไม่ใช่วายร้าย"
ผมจำชื่อคุณได้แม่นเลยล่ะ
เพราะช่วงหัวค่ำ เธอจะเปิดเพลงนี้วนซ้ำไปซ้ำมา
นานราวๆ ๒ สัปดาห์เห็นจะได้
.
.
โตขึ้นมาอีกหน่อย
จำได้ว่า อาจารย์วิชาชีวะได้สอนเรื่องครอบครัวของคุณ
แบบเรียนจัดตระกูลคุณอยู่ในพวกสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
เราเรียกกันว่า "เชื้อโรค"
ประกอบไปด้วย เชื้อราพี่ใหญ่ แบคทีเรียคนกลาง ไวรัสน้องเล็กจิ๋ว
ในหนังสือมีภาพถ่ายเต็มตัวทวดของทวดของทวดของทวดคุณด้วยล่ะ
.
.
ต่อจากนั้น ผมก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามญาติๆ ของคุณ
คุณคงรู้จัก เอดส์ ซาร์ อีโบล่า หวัดนก หวัดหมู ซิก้า
นักข่าวพากันการนำเสนอภาพที่ญาติคุณทำกับมนุษย์
ภาพมันชวนสังเวชมากเลยล่ะ
.
.
พวกคุณไม่ได้น่ารักเหมือนในเพลงเลย
แถมยิ่งนานวันยิ่งเลวร้าย
ถึงตอนนี้ ผมกำลังจะปักเชื่อไปแล้วว่า
คุณก็เป็นไวรัสเกเรเหมือนกัน

——

อย่าโกรธกันนะ ผมยังไม่ตัดสินใจเช่นนั้น
คือผมพอจะเข้าใจถึงที่ไปที่มาอยู่บ้าง
ผมเคยทำงานกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "เด็ก" มาก่อน
.
.
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากมนุษย์ตัวน้อย คือ
พวกเขาไม่ได้ตั้งใจเป็นเด็กเกเร หรือเป็นคนเลว
.
.
แต่ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง สังคม สิ่งแวดล้อม
ที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง กดดัน บีบคั้น
ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
รวมไปถึงสื่อและเทคโนโลยีต่างๆ
ทั้งหมดทั้งมวลมีส่วนทำให้เด็กๆ แสดงอาการเช่นนั้นออกมา
.
.
แล้วพวกผู้ใหญ่ก็คุมขังตีตราให้ลูกหลาน
ด้วยคำว่า "เกเร, ดื้อ, เลว, เก๊, แสบ, ไม่เอาไหน"
.
.
ผมก็เลยนึกถึงคุณ
เพราะการที่คุณเกิดขึ้นและกำลังปั่นป่วนโลกอยู่วันนี้
มันคงมีเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณต้องเป็นแบบนี้
.
.
อาจจะเป็นสภาพอากาศ ฤดูกาล พระอาทิตย์ พระจันทร์
กระแสน้ำอุ่น กระแสน้ำเย็น คลื่นทะเล แพลงตอน ปลาดาว อะมีบ้า เชื้อรา เห็ดปลวก บอนไซ ใบสน
แมลง จิ้งจก ตุ๊กแก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลือดอุ่น
หรือ แม้กระทั่ง "มนุษย์" และ "การกระทำของพวกเขา"
ที่มีส่วนทำให้เกิดคุณขึ้นมา
.
.
หากมองจากระยะไกล ด้วยหัวใจที่กว้าง
ผมก็ไม่รู้และไม่สามารถตัดสินได้ว่า
คุณนั้นเกิดมาจากสิ่งใด เพียงเหตุเดียวเดี่ยวๆ
หรือจะเรียกได้ว่า "ทุกสิ่ง" นั้นทำให้มีคุณ
มันเป็นความเหมาะสมของเหตุ ที่พอดีกับผลเช่นนี้
คุณจึงเกิดขึ้น และทำให้คุณมีพละกำลังแบบนี้
.
.เพราะ "เมื่อมีเหตุอย่างนี้ จึงมีผลอย่างนี้"
ตรงไปตรงมาที่สุด ว่าเป็นอย่างอื่นไปจากนี้ไม่ได้เลย
ถ้าผมจะเอาผิดใคร คงเป็นทุกสิ่งที่ผิด และก็มีผมอยู่ในนั้นด้วย
ผมจึงไม่สามารถเอาผิดอะไรคุณได้

——

คุณยังพอมีเวลาอ่านมั้ย? จะจบแล้ว
ผมขอแจ้งข่าวร้ายบางอย่างกับคุณ
คือ พวกเพื่อนๆ ญาติๆ ของคุณ รุ่นก่อนหน้านี้ เขาไม่อยู่แล้วล่ะ
.
.
ใช่...เขาตายแล้ว สูญหายไปก็มาก ที่รอดอยู่ ก็น้อยเต็มที
ทำใจเถอะนะ "ทุกอย่างมีเวลาของมัน"
.
.
อีกเรื่องที่ผมไม่อยากจะปกปิดคุณ
ขอโทษนะ มันอาจจะดูเสียมารยาทไปหน่อยนะ
ขอพูดอย่างไม่เกรงใจ คือ "พวกผมเริ่มรู้วิธีจัดการกับคุณแล้ว"
.
.
พวกเราเริ่มแกะรอยจับตาดูคุณ สังเกตคุณ ศึกษาคุณ
ตั้งแต่ตอนคุณโด่งดังอยู่ที่ประเทศจีนแล้ว
.
.
ก็พวกเราเป็นมนุษย์นี่
พวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มี "สติปัญญา"
เรามีอาชีพที่เรียกว่า แพทย์ พยาบาล นักวิจัย ฯลฯ
เขาไม่ปล่อยคุณไว้แน่ คุณจะซ่าได้อีกไม่นานหรอก
.
.
เรารู้แล้วว่าคุณอายุสั้น คุณแพ้สบู่
เรารู้ว่าคุณจะตายเมื่อถูกความร้อน
เรารู้ว่าคุณจะกระจอกเมื่อเจอคนแข็งแรงสุขภาพดี
และหากไม่มีใครไปถูกตัวคุณ แล้วไปป้ายหน้าขยี้ตา
คุณก็จะตายเอง และที่สำคัญ คือ เรากำลังคิดวัคซีนป้องกันคุณด้วย
.
.
เวลานี้ เรากำลังกระจายตัว เพื่อหยุดการแพร่กระจายของคุณ
เราอยู่คนเดียวมากขึ้น เราไม่ชุมนุมกัน เรามีผ้าปิดปากปิดจมูก
คุณมันขี้เหงา พอไม่ได้คุยกับใครนาน
คุณก็อกแตกตายแล้ว เราจะกำจัดคุณเงียบๆ
.
.
ถ้าเราทำให้ "เหตุแห่งการเกิดหมดไป"
คุณก็อยู่ไม่รอด กาลเวลาจะกลืนกินคุณ

——

จะบอกอะไรให้นะ สำหรับมนุษย์
ถึงกายเราแยกกันอยู่ แต่หัวใจเรารวมกัน
เห็นมั้ย เราแบ่งอาหารกัน เราเย็บหน้ากากแจกกัน
เราแยกย้ายกันสวดมนต์อธิษฐานตามบทสวดที่เราเคารพ
เราเป็นกำลังใจให้แก่กัน
.
.
"เราแยกกัน เพื่อที่จะรวมกันใหม่"
.
.
ผมขอโม้อีกนิดนะว่า
เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกผม "สามัคคี" กัน
อย่าว่าแต่คุณเลย ไม่ว่าปัญหาอะไรเราก็จะผ่านพ้นไปได้
.
.
ถึงคุณจะร้ายกาจแค่ไหน
คุณก็ทำร้ายเราได้แค่ร่างกายเท่านั้น
เพราะ "ใจ" เราแข็งแกร่งกว่าคุณ!

——

สุดท้ายนี้ ผมก็ไม่รู้หรอกว่า
ระหว่างผมกับคุณ ใครจะจากโลกนี้ไปก่อนกัน
.
.
เพราะเราต่างก็มีอายุขัย
พวกผมมีประมาณ ๗๐-๘๐ ปี
ส่วนคุณมีประมาณ ๒ ชั่วโมง ถึง ๑๐ วัน
ในที่สุด พวกเราทั้งคู่ต้องตาย ไม่เว้นว่าผมหรือคุณ
.
.
เสียใจ? ไม่มีประโยชน์หรอก
ก็ธรรมชาติมันเป็นแบบนี้ เพราะมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้
จะสอนเรื่อง "ตายก่อนตาย" ให้ปากฉีกถึงรูหู คุณก็ไม่มีทางเข้าใจ
คุณไม่ใช่มนุษย์นี่นา
.
.
นี่คงเป็นจดหมายฉบับแรกและฉบับสุดท้ายที่ผมจะเขียนถึงคุณ
ไม่ต้องเขียนตอบนะ เพราะลายมือ "หวัด" อ่านไม่ออก
ไม่ต้องมาหาด้วย ที่ที่ผมอยู่ร้อนมาก
ผมขอรักษาความสัมพันธ์ที่ระยะห่าง ๒​ เมตร
ไม่ต้องมาขอจับมือ Shake hand ผมคนไทย
แถมในเจลล้างมือที่ผมใช้เป็นประจำ
มีแอลกอฮอล์เกิน ๗๐ เปอร์เซ็นต์ด้วย
.
.
ได้โปรด อย่าพยายาม "ติดต่อ" ใครอีก
แล้วผมจะจดจำคุณว่า "ครั้งหนึ่งเหตุการณ์โควิด-๑๙ เคยเกิดขึ้นในโลก
และเราก็ผ่านมันไปได้ด้วยความรักและความสามัคคีแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์"
.
.
ด้วยรักและเข้าใจ
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "คน" บนวิถีที่เรียกว่า "พระ"

——

๒๓  มีนาคม  ๒๕๖๓
วัดร้อนจัด



Dr.Red Covid-19

"ไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่เราควรจะเกรงกลัว มีแต่สิ่งที่เราควรทำความเข้าใจ และเวลานี้คือเวลาที่เราจะต้องเข้าใจมากขึ้น เพื่อที่เราจะได้มีความหวาดกลัวน้อยลง"

ศาสตราจารย์ มารี คูรี่ (Marie Curie) เป็นสตรีคนแรกของโลกที่ได้รางวัลโนเบล เธอได้รับรางวัลในสาขาฟิสิกส์ ต่อมาได้รางวัลโนเบลอีกรางวัลหนึ่งในสาขาเคมี ทำให้เกิดกลายเป็นบุคคลแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้ง

มารี คูรี่ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลกคนหนึ่ง และทำงานบุกเบิกทางกัมมันตภาพรังสีจากการค้นพบสารสำคัญ เช่น เรเดียม (radium) ซึ่งมีผลสำคัญในการรักษาโรคร้ายแรง เธอเป็นผู้ที่ทำงานที่มีผลต่อมนุษยชาติมากมาย โดยไม่เคยรู้สึกท้อแท้ต่ออุปสรรคไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก และมักกล่าวในสิ่งที่ช่วยให้กำลังใจต่อมนุษยชาติในการต่อสู้กับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะเธอเคยกล่าวไว้ว่า

"ไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่เราควรจะเกรงกลัว มีแต่สิ่งที่เราควรทำความเข้าใจ และเวลานี้คือเวลาที่เราจะต้องเข้าใจมากขึ้น เพื่อที่เราจะได้มีความหวาดกลัวน้อยลง"

ช่วงนี้โลกต้องสู้กับการระบาดอย่างร้ายแรงของ โรคโควิด-19 คือ สงครามที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เราต้องต่อสู้ร่วมกันทั้งโลก จึงเป็นเวลาที่เราอาจนำคำกล่าวของศาสตราจารย์คูรี่ มายึดเป็นกำลังใจเพื่อที่เราจะมีความแข็งแกร่งที่จะเข้าใจและเอาชนะโรคร้ายนี้ได้

โลกเคยผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงมาหลายครั้งในอดีตนับตั้งแต่มนุษย์เข่นฆ่ากันเองในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคนในเวลาไม่กี่ปี แต่โลกฟื้นจากความหายนะได้ด้วยการกลับมาทำงานร่วมกันเพื่อฟื้นฟูชีวิตจิตใจและภาวะล่มสลายหมดสิ้นทางเศรษฐกิจจนสำเร็จในที่สุด

ความหายนะของโลกที่สืบเนื่องจากโรคระบาดร้ายแรงมีโรคไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu) ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากสเปน แต่ในสนามรบช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่หลวงที่สุดเมื่อมีประชาชนในโลกต้องสูญเสียชีวิตไป 50 ล้านคนเมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว

ความสูญเสียครั้งนั้นเมื่อคำนึงถึงจำนวนประชากรโลกที่มีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของปัจจุบัน สัดส่วนความสูญเสียครั้งนั้นนับว่ายิ่งใหญ่น่าหวาดกลัวที่สุด แต่นำไปสู่แสงสว่างของโลกด้วยการเกิดขึ้นของการดูแลทางด้านสาธารณสุขที่กว้างขวางและมีผลจริงจังมากขึ้นทั่วโลก

สภาพวิกฤติของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกใกล้ 2 แสนคน แต่มีผู้ที่ได้รับการรักษาและหายแล้วใกล้เคียงครึ่งหนึ่ง และอัตราผู้เสียชีวิตอยู่ 4% ของผู้ป่วยทั้งหมด (1% ในบางประเทศ)

แม้จะดูน่าห่วงแต่ไม่ใช่สถานการณ์ที่โลกจะหมดหวังในการต่อสู้ และขนาดของความสูญเสียก็ไม่มีทางที่จะเข้าใกล้เหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในอดีต โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความก้าวหน้าทางสาธารณสุขและทางวิทยาศาสตร์ ที่จะนำไปสู่การค้นพบวิธีการรักษาที่ดีที่สุด

ปัญหาเร่งด่วนที่สุดของโลกในขณะนี้ คือ การทดสอบวัคซีนที่จะนำมาใช้กับคนที่กำลังเริ่มต้นอยู่ทั่วโลก จากที่จีนตรวจพบพันธุกรรมของเชื้อไวรัสไว้แล้ว การตรวจคัดกรองผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะติดเชื้ออย่างกว้างขวาง เช่น เกาหลีนำมาใช้ การให้ข้อมูลในการป้องกันการติดเชื้อและข้อมูลการติดเชื้อที่ทำให้ประชาชนไปใช้ได้ในการหลีกเลี่ยง และการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น จีนกำลังให้กับอิตาลีอยู่ในขณะนี้

การที่จีนให้ความช่วยเหลือไทยโดยส่งยาประเภท antiviral ที่มีผลครอบกว้าง รวมทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกได้เดินทางไปศึกษาวิธีการในการต้านและรักษาการติดเชื้อที่จีนเพื่อนำไปให้คำปรึกษาแก่ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงทั่วโลก การที่จีนชะลอการติดเชื้อจากที่เคยสูงเป็นวันละกว่าพันคนมาเหลือเป็นร้อยคน และขณะนี้เป็นจำนวนต่ำสุดในระดับวันละเป็นสิบรายหรือไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเลยในบางวัน ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญที่ทุกประเทศนำประสบการณ์ไปใช้ได้

ในระยะเริ่มแรกของการระบาดของโควิด-19 ไทยเป็นประเทศที่ 2 รองจากจีนที่เริ่มมีการติดเชื้อที่น่าเป็นห่วงว่าจะรุนแรงตามจีน ทั้งนี้ เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่าไทยรับนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นจำนวนมาก อาจจะเกินกว่า 10 ล้านคนต่อปี และมีนักท่องเที่ยวจากมณฑลหูเป่ยที่เป็นศูนย์กลางของการขยายตัวของไวรัสเป็นจำนวนเป็นหมื่นราย

ในช่วงแรกที่มีการขายหุ้นไทยทิ้งโดยกองทุนต่างประเทศก็มีสาเหตุมาจากการสูญเสียความเชื่อมั่นในภาวะหุ้นไทย เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะถูกกระทบจากการระบาดตัวของไวรัสอย่างรุนแรงที่สุดต่อจากจีน หลังจากการระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลก

และไทยจำกัดการติดเชื้อไว้ได้ในระดับไม่สูงนัก จนอันดับการติดเชื้อในโลกลดลงมาอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลงมาก ถึงแม้ว่าเรายังคงต้องเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ศึกโควิด-19 ต่อไปไม่น้อย ผลลัพธ์จากการปฎิบัติการของฝ่ายสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล ที่ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต้องถือว่าทำให้มีความเชื่อมั่นสูงในระดับหนึ่ง

จากข้อมูลของดัชนีโลกด้านความปลอดภัยของสุขภาพ ไทยได้รับการจัดอันดับที่ 6 ของโลก โดยได้คะแนนสูงทางด้านการป้องกันโรค การตรวจจับและรายงาน และการตอบสนองต่อปัญหาอย่างรวดเร็ว ส่วนด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนดสากลยังต้องได้รับการปรับปรุง แต่เวลานี้ประเทศที่มีคะแนนสูงกว่าไทย คือ สหรัฐ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และแคนาดา มีปัญหาการติดเชื้อสูงกว่าไทยมากทั้งนั้น

นอกจากนี้การเตรียมพร้อมของไทยโดยไม่ประมาท แม้ทั่วโลกจะไม่มีการทำนายว่าจะเกิดภัยจากไวรัสอย่างรวดเร็วและรุนแรงขนาดนี้ ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากมายก็ได้คำนึงถึงความเป็นไปได้ของภัยพิบัติทำนองนี้อย่างชัดเจน โดยในยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้กำหนดมาตรการไว้อย่างชัดเจนว่า

"ให้มีการพัฒนาสร้างระบบรับมือปรับตัวต่อโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพครอบคลุมประชากรกลุ่มเสี่ยง"

ซึ่งเป็นแผนพัฒนาหลักทางยุทธศาสตร์ชาติที่กำลังมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดอยู่ในขณะนี้ และจะมีความสำคัญสูงยิ่งต่อไป ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศไทยจะต้องมีการทุ่มเทลงทุนทั้งทางด้านบุคลากรและเครื่องไม้เครื่องมืออย่างเร่งด่วนและเต็มความสามารถทางงบประมาณต่อไป

องค์การอนามัยโลกจัดอันดับ (ต้นเดือน มี.ค.นี้) ความพร้อมของประเทศต่างๆ ในการรับมือกับโควิด-19 โดยมีประเทศจัดอยู่ใน 5 กลุ่ม กลุ่มระดับ 5 เป็นกลุ่มที่มีความพร้อมสูงสุด กลุ่มระดับ 1 มีความพร้อมต่ำสุด ไทยถูกจัดอันดับความพร้อมอยู่ในกลุ่มระดับ 4 ถือว่าเป็นรองแค่กลุ่มที่มีศักยภาพสูงสุดเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

เนื่องจากภาวะคับขันและการตื่นกลัวการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับ การวิพากษ์วิจารณ์และโจมตีการทำงานของรัฐบาลแทบทุกประเทศในโลกโดยเฉพาะประเทศที่ประสบปัญหารุนแรงย่อมเกิดขึ้นโดยไม่มีการละเว้น ไม่ว่าประเทศนั้นจะได้พยายามอย่างที่สุดแล้วหรือไม่

การปฎิบัติการของรัฐบาลไทยแม้จะได้ผลในระดับหนึ่งตามนัยที่ได้กล่าวแล้วก็ยังต้องผ่านการตรวจสอบโดยสื่อมวลชนอย่างเข้มข้น ทั้งที่ในวาระที่คับขันเช่นนี้เราควรต้องร่วมกันปรับเปลี่ยนความคิด และแทนการเสนอข่าวที่เน้นแต่ในเชิงลบมาเป็นการช่วยกันคิดช่วยกันทำที่จะก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในระบบที่ไทยมีประสิทธิภาพไม่น้อยไปกว่าที่อื่น และควรให้เกิดกำลังใจอย่างสูงสุดต่อผู้ที่ต้องรับภาระโดยตรง

โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบทางงานด้านสาธารณสุขและด้านการจัดสรรอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆในการป้องกันและรักษาโรค การสร้างความขัดแย้งทางการเมืองและการหาผลประโยชน์ทางการเมืองในช่วงที่ประเทศมีปัญหาคับขันเช่นนี้เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างที่สุด

เมื่อเกาหลีประสบปัญหาการขาด "หน้ากากอนามัย" ในระยะแรกของการต่อสู้กับภัยจากไวรัส รัฐบาลก็ถูกโจมตีรุนแรง แต่การทำงานร่วมกันของสังคมเกาหลีนำไปสู่มาตรการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางบวก โดยเฉพาะที่เกาหลีมีความพยายามขยายโรงงานและเพิ่มบุคลากรในการผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นอย่างสุดความสามารถ ซึ่งน่าเป็นความพยายามของประเทศไทยในทำนองเดียวกัน

น่าเสียดายที่ในไทยเราไม่ได้มุ่งไปทางด้านการสร้างสรรค์เช่นนี้ร่วมกัน แต่กลับมีการเน้นย้ำสถานการณ์การขาดแคลนหน้ากากอนามัยที่นำไปสู่ความขัดแย้งและความเข้าใจในสถานการณ์ที่คลาดเคลื่อน โดยในที่สุดมีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงของราชการที่ไม่ช่วยให้เกิดสถานการณ์ที่ดีขึ้น และยังนำไปสู่การสูญเสียของขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติการที่ต้องรับผิดชอบอย่างมากมายอีกด้วย

นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานแล้วจะพบความเป็นจริงว่าหากมีความต้องการของประชากรไทยเพียงบางส่วนของประชากร 68 ล้านคนที่เพิ่มอย่างมหาศาลในเวลาอันสั้น กำลังการผลิตที่มีอยู่ปัจจุบันเพียงประมาณวันละล้านกว่าชิ้นก็ต้องไม่เพียงพออยู่แล้ว

ข้อมูลทางด้านการส่งออกหน้ากากอนามัยหลังประกาศเป็นสินค้าควบคุมซึ่งหน่วยงานราชการอาจจะมีข้อมูลคำนิยามไม่เหมือนกัน ก็ควรจะได้รับการพิจารณาระหว่างหน่วยงานราชการด้วยกันให้ถูกต้องก่อนที่การปล่อยข่าวที่อาจจะสร้างความสับสนออกไป

สิ่งที่เป็นความสวยงามของสังคมไทยที่ปรากฏได้ชัดทั้งในเมืองและชนบท คือ หน่วยงานราชการและเอกชน ชมรมและสมาคมต่างๆ ทั่วประเทศทั้งในระดับหมู่บ้านและประเทศ ต่างร่วมกันสอนวิธีการตัดเย็บหน้ากากอนามัยที่ใช้ผ้าแทน มีทำการร่วมกันผลิตในระดับชุมชน

รวมทั้งการผลิตเป็นกรณีพิเศษให้กับภิกษุสงฆ์ นับเป็นวาระของความร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอย่างแท้จริง ที่ควรเป็นแบบอย่างของลักษณะที่งดงามแท้จริงของสังคมไทยที่ต้องได้รับการออกข่าวและยกย่องสรรเสริญมากที่สุด

การต่อสู้กับภัยจากโรคระบาดของไทยยังอาจจะต้องเข้มข้นขึ้นอีก เมื่อมีการตรวจคัดกรองพบผู้ติดเชื้อมากขึ้น ส่วนสำคัญจะเป็นภัยที่มาจากภายนอกและภัยจากการสัมผัสต่อเนื่องภายในจากการเข้ากลุ่ม งานสังคม สังสรรค์ หรือการชุมนุมต่างๆ ในระดับโลกปัญหาก็จะน่าจะคล้ายกันที่จะนำไปสู่มาตรการที่ประเทศจีนใช้อย่างได้ผลมากที่สุด คือ ให้ประชาชนยอมรับว่าทุกคนต้องปฏิบัติตนประหนึ่งว่าได้ติดเชื้อไวรัสแล้วจึงต้องสร้างวินัยให้กับตนเองที่จะไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้อื่นแต่อย่างใดเลย เช่น ด้วยการยอมรับว่าจะต้องมีการจำกัดการเคลื่อนไหวของตนเอง

การจำกัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่าธรรมดา เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ การจำกัดการเคลื่อนไหวจากการเข้าออกประเทศและชายแดน และการจำกัดการเคลื่อนไหวระหว่างเมืองและชุมชนต่างๆ ขณะนี้กระบวนการเช่นนี้เรียกกันว่า การรักษาระยะทางสังคม (social distancing) ซึ่งหากทุกปัจเจกชนให้ความร่วมมือ เราจะสามารถจำกัดการแพร่กระจายของโรคระบาดได้ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็นับเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มมาตรการที่ฝ่ายรัฐบาลไทยได้นำมาเริ่มปฏิบัติอยู่แล้วและกำลังเพิ่มความเข้มงวดขึ้น ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ในขณะนี้ไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจนว่าเราจะหยุดโรคระบาดได้เมื่อไหร่แน่ แต่จากข้อมูลของประเทศในเอเชีย เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ก็เป็นตัวอย่างที่เป็นแสงสว่างของความสำเร็จในระดับหนึ่งของการต่อสู้กับโรคร้ายแรงนี้

จากแนวโน้มของการชะลอตัวของการติดเชื้อก็พอมีความหวังได้ว่าวิกฤตโรคระบาดในเอเชียมีโอกาสจะสงบลงได้ก่อนทวีปอื่น ในระดับโลกความร่วมมือที่มาจากองค์กรต่างๆ ของโลกทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด โดยเฉพาะที่สำคัญกว่าการเศรษฐกิจคือการค้นคว้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อที่จะค้นพบวัคซีนป้องกันรักษาโรคให้ได้โดยเร็วที่สุด

ข่าวดี คือ มีการทดลองใช้ยาบางประเภทที่เริ่มให้ผลดีในบางกรณี แต่ก็จะต้องมาพร้อมกับการยับยั้งการเกิดขึ้นของกรณีผู้ป่วยรายใหม่อีกด้วย จากข้อมูลในช่วงการระบาดของ Sars (ปี 2002-04) และ Mers (ปี 2012) ปรากฏว่าโรคระบาดถูกหยุดยั้งได้ก่อนมีการผลิตวัคซีนออกมาใช้

มาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจคงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่รัฐบาลและเอกชนต้องมีวาระร่วมกันอย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่จะเป็นการจัดสรรเงินงบประมาณให้ลงสู่พื้นที่ที่เป็นภัยที่สุดก่อนเท่านั้น แต่ต้องกำหนดพื้นที่ของปัญหาอย่างถูกต้องเมื่อวางยาทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องที่สุด

ปัญหาในขณะนี้ที่ทั้งโลกเห็นพ้องกันคือปัญหาทางด้านอุปทานการผลิตและไม่ใช่ปัญหาหลักทางด้านอุปสงค์ กระบวนการแก้ไขด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยหรืออัดฉีดสภาพคล่องจึงทำได้โดยมีผลเพียงแค่กำลังใจ แต่จะไม่ทำให้สังคมที่จำเป็นต้องมี 'การรักษาระยะทางสังคม' มีสภาวะที่กระเตื้องขึ้นได้

โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องการให้ทุกคนเคลื่อนไหวน้อยที่สุด จำกัดตนเองมากที่สุด การสร้างอุปสงค์เทียมตามขึ้นมาแล้วก็รังแต่จะก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อมากขึ้นโดยไม่จำเป็น และทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของผู้คนมากขึ้น จนทำให้การต้านการระบาดของเชื้อโรคเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

รัฐบาลประเทศต่างๆ นำนโยบายที่เน้นด้านคลังมาใช้เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจที่ทั่วโลกต้องเตรียมรับสถานการณ์ที่จะทรุดลงและถดถอยได้ระยะหนึ่ง ทั้งหมดจะขึ้นกับความสามารถของโลกที่จะยับยั้งการแพร่กระจายของโรคไวรัสนี้

นโยบายที่จะช่วยทุเลาปัญหาเศรษฐกิจ คือ นโยบายด้านการสาธารณสุขที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เอกชน และสังคม ในทุกทางที่เป็นไปได้ ทั้งทางด้านงบประมาณ กำลังคน อุปกรณ์การแพทย์ รวมทั้งกำลังใจและความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน

สิ่งสำคัญที่รัฐบาลร่วมกับเอกชนต้องช่วยกันประคับประคองไม่ให้เกิดขึ้น คือ การล้มละลายของธุรกิจอย่างเป็นลูกโซ่ ดังนั้น ธุรกิจใหญ่ต้องช่วยดูแลธุรกิจย่อยและมาตรการพยุงเศรษฐกิจของรัฐต้องเข้าให้ถึงรายย่อยที่จะมีความจำเป็นคล้ายๆ กันคือสายป่านทางการกู้เงินต้องยาวขึ้น พักการชำระหนี้ชั่วคราว เลื่อนการชำระภาษีอากร และได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐเพื่อไม่ให้มีการเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมากพร้อมๆ กัน

เนื่องจากปัญหาครั้งนี้ไม่ใช่เกิดจากโครงสร้างและนโยบายเศรษฐกิจ การใช้มาตรการกระตุ้นแบบเดิมอาจจะให้ผลได้ไม่เต็มที่ การแจกเงินควรจะถูกทดแทนด้วยการชดเชยอุดหนุนค่าจ้าง

รวมทั้งการให้ทุกจังหวัดสร้างโครงการเพื่อจ้างงานเพิ่ม เช่น โครงการสร้างแหล่งน้ำเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งในปัจจุบัน และเนื่องจากปัญหาครั้งนี้ไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจโดยตรง เมื่อโลกเริ่มหยุดการขยายตัวของโรคระบาดได้ สมรรถภาพทางการผลิตที่เราช่วยกันรักษาไว้ได้จะพร้อมทำงานด้วยตนเองได้ทันทีโดยไม่ต้องมากระตุ้นเพิ่มเติม

การทรุดลงของตลาดหลักทรัพย์มีลักษณะคล้ายๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง วิกฤตการเงินซับไพรม์ ที่ตลาดหุ้นทรุดตัวไปกว่า 70% แต่การฟื้นตัวในครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งก่อนมากที่จะเกิดขึ้นอย่างเสียเวลาน้อยกว่ามาก

ทั้งนี้เงื่อนไขสำคัญคือการใช้กระสุนเม็ดเงินตรงเป้าที่ต้องป้องกันการล้มละลายเป็นลูกโซ่ และการอุดหนุนการจ้างงานในช่วงเวลาระยะสั้นที่เร่งด่วนขณะนี้ และการที่โลกต้องกลับมาเปิดโอกาสให้ตลาดการค้าโลกทำงานได้อย่างปกติและเต็มที่โดยไม่มีข้อขัดแย้งเข้ามาเป็นอุปสรรคเช่นในปีที่ผ่านมา

- ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ)
- กรุงเทพธุรกิจ

ไข่แดง เจ็ดแน่

✽ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทาน #พระคติธรรมเป็นกำลังใจในสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ความว่า

"ไม่มีชีวิตใดประสบแต่ความเกษมสุข ปราศจากทุกข์ภัยไปได้ตลอด เมื่อเกิดมาแล้ว จึงจำเป็นต้องขวนขวายสั่งสม 'สติ' และ 'ปัญญา' สำหรับเป็นอุปกรณ์บำบัดความทุกข์อยู่ทุกเมื่อ เพื่อให้สมกับที่ดำรงอัตภาพแห่งมนุษย์ผู้มีศักยภาพต่อการพัฒนา

ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดซึ่งก่อให้เกิดความหวาดหวั่นครั่นคร้ามกันทั่วหน้า #ทุกคนมีหน้าที่แสวงหาหนทางเพิ่มพูน '#สติ' และ '#ปัญญา' #พร้อมทั้งแบ่งปันหยิบยื่นให้แก่เพื่อนร่วมสังคม อย่าปล่อยให้ความกลัวภัยและความหดหู่ท้อถอย คุกคามเข้าบั่นทอนความเข้มแข็งของจิตใจ ในอันที่จะอดทน พากเพียร เสียสละ และสามัคคี

มีธรรมภาษิตบทหนึ่งในพระพุทธศาสนา พึงน้อมนำมาเตือนใจในยามนี้ ว่า '#เมื่อถึงยามคับขันประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ, #เมื่อถึงคราวปรึกษางานต้องการผู้ที่ไม่พูดพล่าม, #ยามมีข้าวน้ำต้องการผู้เป็นที่รัก, #ยามเกิดปัญหาต้องการบัณฑิต'
ขอทุกท่านจงเป็น '#ผู้กล้าหาญ' ที่จะละความดื้อด้านเห็นแก่ตัว ความเคยตัว และความไม่ระมัดระวังตัว ขอจงเป็น '#ผู้ที่ไม่พูดพล่าม' โดยปราศจากสาระ ก่อความร้าวฉานชิงชัง ในยามที่สังคมต้องการสาระ คำปรึกษาหารือ และกำลังใจ แต่จงประพฤติตนเป็น '#บัณฑิต' ผู้รู้รักษากายใจของตัวให้ปลอดจากโรคกายโรคใจ เป็นผู้ฉลาดศึกษา ค้นคว้า วางแผน ชี้แนะ และลงมือทำ

ทั้งนี้ ถ้าแต่ละคนแม้เพียงตั้งจิตไว้ในธรรมฝ่ายสุจริต ไม่ถลำลงสู่ความคิดชั่ว อันนำไปสู่การพูดชั่วและทำชั่วซ้ำเติม ก็นับว่าได้ช่วยบรรเทาปัญหาของโลกแล้ว และยิ่งหากท่านมีดวงจิตผ่องแผ้วด้วยเมตตาการุณยธรรม นำความปรารถนาดีเผื่อแผ่ไปสู่ทุกชีวิตอย่างเสมอหน้า ความทุกข์ยากที่เราทั้งหลายต่างเผชิญ ย่อมจะคลี่คลายได้ในไม่ช้า


Dr.Red Egg

#พ่อหลวงกับบุคคลากรการแพทย์
พวกเราทราบหรือไม่ว่า
#ค่านิยมองค์กรสาธารณสุข คือคำว่า "MOPH"
M : Mastery เป็นนายตนเอง บุคลากรต้องมีภาวะผู้นำ เป็นผู้นำที่ดี เอาชนะโลภ โกรธ หลงให้ได้
O : Originality เร่งสร้างสิ่งใหม่ ทั้งนโยบาย นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
P : People centered approach ใส่ใจประชาชน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทำงาน และ
H : Humility ถ่อมตนอ่อนน้อม โดยการปฏิบัติตัว และใช้คำพูดที่ดี เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลสุขภาพ

ค่านิยมทั้ง 4 ข้อเป็นไปตามพระราชดำรัส
ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
-------------------------------------------
เมื่อครั้งที่ ร. 9
#ประทับรักษาพระอาการประชวร
ณ โรงพยาบาลศิริราช
ช่วงนั้นทรงทราบว่ามีปัญหา
คนไข้ฟ้องแพทย์มากขึ้น รับสั่งว่า
"ให้พวกเราอ่อนน้อมถ่อมตน
ทุกคนมีดีอย่าไปดูถูกใคร
ให้เกียรติต่อทุกคน
ไมตรีจิตก็จะเกิดขึ้น"

ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2550-2554 และหัวหน้าคณะแพทย์ผู้ถวายงานครั้งที่ประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช
-----------------------------------------------
ในหลวงรัชกาลที่ 9 รับสั่งว่า"ถ้าคิดว่าดี ทำต่อไป"
#พระองค์ท่านเคยรับสั่งไว้ครั้งหนึ่งว่า
#"สุขภาพพลเรือนเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าพลเรือนมีสุขภาพที่เสื่อมโทรมประเทศชาติก็พัฒนาไม่ได้"
ดังนั้นหน้าที่ของศิริราชคือดูแลสุขภาพคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ด้อยโอกาส ตราบใดที่ศิริราชยังอยู่คู่แผ่นดินไทย ยืนยันว่าพระราชปณิธานตั้งแต่รัชกาลที่ 5 สืบทอดมายังรัชกาลที่ 9 จะสืบทอดต่อไปไม่เลือนหายไปจากสังคมไทย

ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
----------------------------------------------
"เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓  ภายหลังจากที่ทำพระทนต์ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พระองค์ท่านรับสั่งถามว่า "เวลาที่พระองค์ท่านมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน มีทันตแพทย์มาช่วยกันแลดูรักษา  แล้วราษฎรที่อยู่ห่างไกลความเจริญมีหมอช่วยดูแลรักษาหรือเปล่า" 
- ศ. (พิเศษ) ทพ.ญ.ท่านผู้หญิงเพ็ชรา   เตชะกัมพุช  ผู้อำนวยการหน่วยทันตกรรมพระราชทานและทันตแพทย์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9
-----------------------------------------
#วันหนึ่งเสด็จเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดขอนแก่น
มีราษฎรคนหนึ่งเป็นผู้สูงอายุ ร่างกายซูบผอม ไม่สบาย  พระองค์ท่านรับสั่งถาม "เป็นอะไร ไม่สบายหรือ ? "
ราษฎรผู้นั้นทูลตอบว่า  "ไม่สบาย ฟันไม่มี กินอะไรไม่ได้" พระองค์ท่านจึงบอกว่า "ไปใส่ฟันซะ แล้วจะเคี้ยวอะไรได้   ร่างกายจะได้แข็งแรง" 
ในปีต่อมาเมื่อพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดขอนแก่นอีกครั้ง  ราษฎรผู้นั้นได้มาเฝ้าและทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร. 9 ว่า
"ไปใส่ฟันมาแล้วตามที่ในหลวงแนะนำ 
ตอนนี้กินอะไรได้สบายแล้ว"
-----------------------------------------
#พระบรมราโชวาท 
"การเข้าถึงประชาชน  ท่านจะต้องช่วยบำบัดบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนโดยทั่วถึงไม่ว่าจะเป็นท้องที่ใดและกาลเวลาใด  ขอให้เตรียมใจให้พร้อมเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้  และจงเชื่อมั่นว่าการทำประโยชน์และความเจริญแก่ส่วนรวมนั้นย่อมเป็นประโยชน์และความเจริญของตนด้วยเสมอ.."

บทความพิเศษฉลองสิริราชสมบัติครบ  ๕๐ ปี  ของสำนักข่าวไทย ประจำวันที่ ๑๓, ๑๖ มิถุนายนและวันที่  ๒๖, ๒๗, ๒๙  พฤศจิกายน๒๕๓๙
----------------------------------------------
"...#การรักษาความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย
เป็นปัจจัยของเศรษฐกิจที่ดีและสังคมที่มั่นคงเพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้นโดยปกติจะอำนวยผลให้สุขภาพจิตใจสมบูรณ์และเมื่อมีสุขภาพสมบูรณ์ดีพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์สร้างสรรค์เศรษฐกิจและสังคมของบ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือเป็นผู้แต่งสร้างมิใช่ผู้ถ่วงความเจริญ..."
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
แก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ.2522

#น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
ธ สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์

#ใครอ่านถึงตรงนี้ จะเข้าใจได้แล้วว่า
บุคคลากรการแพทย์นั้นต้องเหนื่อย
หนักหนาสาหัสแค่ไหน เพื่อพวกเรา
#ทำไมพ่อหลวงถึงทุ่มทั้งใจเพื่อทำให้
ระบบสาธารณสุขของไทยดีขึ้นถึงทุกวันนี้

#ด้วยความเคารพและห่วงใย
ขอมอบทุกกำลังใจที่มีอยู่ให้
บุคคลากรการแพทย์

พวกเรารู้ว่าพวกคุณเหนื่อยหนักหนา
เราจะไม่สร้างปัญหาให้แน่นอน
ลูกขอสัญญา
Thammasak Orachoonwong
#ก้าวนี้เพื่อคนบนฟ้า
#คิดถึงพ่อหลวงสุดหัวใจ

ขอบคุณที่มา
komchadluek.net/news/edu-health/298990
trueplookpanya.com/learning/detail/79-00
ขอบคุณภาพวาดจากเพื่อนโก้
Ghuntawat Charoenphol

Red Kob junk

อย่าเคยชินกับความเคยชิน

——

ทฤษฎีกบต้ม
คือ หลักอธิบายเรื่องโทษของความชะล่าใจ
ให้เห็นภาพได้ชัดเจน
.
.
เรื่องมันมีอยู่ว่า
หากเราต้องการจะต้มกบ
เราก็ใส่น้ำลงในหม้อ จุดเตาไฟ
รอให้น้ำเดือดแล้วจึงค่อยหย่อนกบใส่ลงไป
ตอนที่กบเจอน้ำร้อน มันก็จะกระโดดหนีทันที
เพราะสัญชาตญาณมันเป็นเช่นนั้น
.
.
ถ้ายังใช้อุปกรณ์เหมือนเดิม
จะทำอย่างไร เพื่อให้กบไม่สามารถกระโดดหนีได้
.
.
วิธีการคือ
ต้องเอากบใส่หม้อพร้อมกับน้ำอุณหภูมิปกติ
จากนั้นก็เปิดไฟอ่อนๆ
.
.
และเพราะกบเป็นสัตว์เลือดเย็น
มันจึงสามารถปรับตัวตามอุณหภูมิน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นได้
น้ำเย็นก็อยู่ได้สบายๆ น้ำอุ่นก็รู้สึกเฉยๆ
.
.
นานเข้าๆ
น้ำก็เริ่มร้อนมากขึ้นๆ จนใกล้เดือด
กบเพิ่งรู้สึกตัวว่า ตอนนี้ตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
.
.
มันจะกระโดดหนี
แต่! ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ขามันสุกไปเรียบร้อยแล้ว
ฉากจบคงไม่ต้องบรรยาย

——

วานก่อนดูคลิปวิดีโอของผู้ติดไวรัสโคโรน่า ชาวไอร์แลนด์
เขากำลังนอนซมอยู่ในห้องไอซียู
บอกเล่าถึงอาการเจ็บปวดที่ปอดอย่างแสนสาหัส
มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง คือ
.
.
"อย่าคิดว่าคุณจะไม่ติดไวรัสนี้  แม้แต่วินาทีเดียว"
.
.
นี่เป็นการสื่อสารที่ตรงประเด็นมาก เรียกว่า "พูดออกมาจากหัวใจ" เลย
รับรู้ได้เลยว่าประโยคนี้ เขาได้เรียนรู้และกำลังประสบมันด้วยตัวเอง
คงเป็นสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับพวกเราผู้ยังไม่ติดเชื้อมากที่สุด
.
.
วันนี้ ตอนนี้
ท่านคงกำลังปรับตัวกับสถานการณ์วิกฤตนี้ได้
เริ่มรู้จังหวะอยู่บ้านบ้าง อาจจะหาโอกาสออกไปข้างนอกบ้าง
พออยู่คนเดียวเหงาๆ เบื่อๆ ก็หาทางไปรวมกลุ่มกันบ้าง
ล้างมือบ้าง ล้างแล้ว ไม่ล้างก็ไม่เป็นไร
พวกนี้คนรู้จักกันทั้งนั้น ใกล้กันหน่อยก็คงได้มั้ง
.
.
"ไม่เป็นไร" "ก็ได้" บ่อยๆ เข้า
หารู้ไม่ว่านั่นคือ "ความเคยชิน"
ที่กำลัง "เปิดช่อง" ให้เกิดโอกาสติดเชื้อ
.
.
พระพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้แล้ว
มีธรรมะข้อหนึ่งที่พุทธองค์ทรงตรัสสอนทุกวันๆ ละ ๒ ครั้ง
.
.
ลองคำนวนดู ๔๕ ปีๆ ละ ๓๖๕ วันๆ ละ ๒ ครั้ง
รวมเป็น ๓๒,๘๕๐  ครั้ง ที่พระพุทธองค์ทรงเตือนว่า
"อย่าประมาท"
.
.
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสถามกะพระอานนท์ ว่า
"ดูก่อน อานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง"
พระอานนท์​ ผู้พุทธอุปฐาก กล่าวตอบ
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันละ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า"
"ยังห่างมาก อานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"

——

"นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก" และ
"อย่าคิดว่าคุณจะไม่ติดไวรัสนี้  แม้แต่วินาทีเดียว"
.
.
เป็น ๒ ประโยคนี้มีความหมายเดียวกัน
คือ "อย่าประมาท"
.
.
หากท่านอ่านมาถึงบรรทัดนี้
หมายความว่า ท่านกำลังมีชีวิตอยู่
ด้วยเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมดทั้งมวล "ในอดีต"
ทำให้ท่านยังอยู่กลุ่มที่ยังมีชีวิต และยังไม่ติดไวรัส
.
.
แต่อะไรๆ ก็ไม่แน่ สำหรับวิกฤตการณ์นี้
จุดเปลี่ยนอยู่ที่ ท่าน "เคยชิน" หรือ "รู้สึกตัว"
และมันมีความสำคัญถึงชีวิต
.
.
การไม่ระมัดระวัง ทำสิ่งเดิมๆ ตามความเคยชิน
ก็ไม่ต่างจาก "กบ" ไม่ประสีประสา นอนแช่น้ำอุ่น
.
.
การไม่เชื่อฟังคำแนะนำของแพทย์และรัฐบาล
แล้วไม่สนใจอะไร ก็ไม่ต่างจากการปิดฝาหม้อเสีย
แล้วยอมโดนต้มแต่โดยดี
.
.
หากท่านหวงแหน และยังยินดีกับชีวิตที่มีอยู่
ขอจงสร้างเหตุปัจจัยใหม่ ในปัจจุบัน!
.
.
ยินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และรัฐบาล
ยินดีที่จะระมัดระวังตัว
ยินดีกับการอยู่คนเดียว
.
.
ยินดีกับการรู้สึกตัว
ยินดีกับลมหายใจ
"ยิ้ม" และ "หายใจ" ให้กับชีวิตและทุกสิ่ง
.
.
ท่านจะปลอดภัยทั้งกายและใจ

——

แม้นม่านหมอกแห่งความกลัว ยังไม่หมดไป
แม้นแสงร่ำไรแห่งความหวัง ยังส่องมาไม่ถึง
ขอให้ยืนหยัดบนสองเท้า ด้วยจิตคิดคำนึง
ว่านี่เป็นอีกวันหนึ่ง เพื่อยินดีกับชีวิตและความจริง

——

อปฺปมาโท อมตํ ปทํ    ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ    เย ปมตฺตา ยถา มตา ฯ
.
.
ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย
ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
คนไม่ประมาท ชื่อว่าย่อมไม่ตาย
คนประมาทเหมือนคนหูหนวกตาบอดตายทั้งเป็น... ส.สู้ๆ




ดร.เจตนา ไข่แดง

"เหตุที่พุทธสูญสิ้น ที่อินเดีย"
โดย...(ป. อ. ปยุตฺโต)

๑.ใจกว้างจนลืมหลัก เสียหลักจนถูกกลืน
ชาวพุทธใจกว้าง แต่ศาสนาอื่นเขาไม่ใจกว้างด้วย บางทีก็กว้างเลยเถิดไป จนลืมหลัก ไม่มีหลัก ไม่ยืนหลักของตัวไว้ เลยกลายเป็นกลมกลืนกับเขา จนศาสนาของตัวเองหายไปเลย เป็นเหตุสำคัญให้พระพุทธศาสนาสูญสิ้นไป (คำสอนฮินดูปลอมปน+มุสลิมปราบฆ่าเผาวัดตำรา-บังคับเปลี่ยนศาสนา)

๒.จุดที่เสื่อม คือ ชาวพุทธลืมหลักกรรม
ไม่เอาการกระทำของตัวเองเป็นหลัก ไปหวังพึ่งเทพเจ้า-ฤทธิ์-ปาฏิหาริย์ ไม่กระทำด้วยตนเอง ก็งอมืองอเท้า มันก็มีแต่ความเสื่อมไป

๓.เฉยมิใช่ไร้กิเลส แต่เป็นเหตุให้พระศาสนาสิ้น
ภัยกระทบกระเทือนส่วนรวม ชาวพุทธไม่น้อยที่วางเฉย ไม่เอาเรื่อง แล้วเห็นลักษณะนี้เป็นดีไปว่าไม่มีกิเลส ในทางตรงข้าม ถ้าไปยุ่งก็ว่ามีกิเลส อันนี้ อาจจะพลาดจากคติพุทธศาสนาไปเสียแล้ว และจะกลายเป็นเหยื่อเขา คติที่ถูกต้องนั้น สอดคล้องกับหลักความจริงที่ว่า "พระอรหันต์ หรือ ท่านผู้หมดกิเลสนั้น เป็นผู้บรรลุประโยชน์ตนสมบูรณ์แล้ว หมดกิจที่จะต้องทำเพื่อตนเองแล้ว จึงมุ่งแต่จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น ขวนขวายในกิจของส่วนรวมอย่างเต็มที่"

๔. การฝากศาสนาไว้กับพระอย่างเดียว (ฆราวาสทอดธุระ)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระศาสนานั้นอยู่ด้วยบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่จะต้องช่วยกัน" เหมือนโจรผู้ร้ายเข้ามาปล้นบ้านของเรา แทนที่จะรักษาทรัพย์สมบัติของเรากลับยกสมบัตินั้นให้โจรไปเสีย... ส.สู้ๆ

ไอ้ไข่แดง ยันหว่าง

วิบัติ ๔ ประการที่เกิดขึ้นจากการทำบุญไม่ถูกวิธี
    ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจวิธีทำบุญที่ถูกต้องเหมาะสมในทางพระพุทธศาสนา ท่านจัดไว้ว่าการทำความดีที่ไม่ถูกต้อง ๔ ประการ เป็นเหตุทำให้วิบัติ เป็นทางเสื่อม ไม่เจริญ ได้แก่ ทำความดีไม่ถูกที่ ทำความดีไม่ถูกบุคคล ทำความดีไม่ถูกกาลถูกเวลา และทำความดีแล้วไม่ตามความดี ของตนนั้น  พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ได้เมตตาเผยรายละเอียดไว้ดังนี้

วิบัติ 4
  ๑. การทำความดีไม่ถูกที่
ท่านว่าการทำความดีไม่ถูกที่ ก็คือ เราจัดอะไรต่างๆ เช่นอาหารการกิน เครื่องใช้สอยต่างๆ ว่าเอาไปทำบุญ บูชาบวงสรวงผีสางนางไม้ ไร่นาเรือกสวน ต้นไม้ ภูเขา หอผี ศาลพระภูมิ ทำเอาไว้ในสถานที่ต่างๆ เราก็คิดว่าเราพากันไปทำบุญที่ถูกต้อง แล้วเราก็จะได้บุญ ตามที่คณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลายพากันทำอยู่เป็นส่วนมาก แต่นักปราชญ์ทั้งหลายมี พระพุทธเจ้าเป็นต้น ตรัสว่า เราทำบุญบูชาไม่ถูกต้อง เราจะไม่ได้รับผลบุญนั้นเลย เพราะเราพากันทำบุญไม่ถูกที่นั้นเอง

๒. การทำความดีไม่ถูกบุคคล
คือ ตัวบุคคลผู้รับสิ่งของที่เราให้เขานั้นไม่ดี เราก็ทำความดีกับเขา ตัวอย่างเช่นบุคคลเหล่านั้นเป็นคนพาล โจรขโมยปล้นจี้ฆ่าเจ้าของเอาสิ่งของ สูบกัญญา ยาฝิ่น แค็ป เฮโรอีน ผงขาว ยาเสพติดให้โทษ ทำให้เสียสติมัวเมาลุ่มหลง ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ จิตใจหยาบช้า ทุกตี ฆ่าฟันรันแทงกันอยู่ในทุกวันนี้ ให้มีความเดือดร้อนไม่สงบอยู่ทุกมุมเมืองทั่วไป บัณฑิตทั้งหลายเรียกว่าคนพาล ถ้าหากพวกเราท่านทั้งหลายไปสงเคราะห์ทำความดี ขวนขวายช่วยเหลือดูแลอุปถัมภ์บำรุง ส่งเสริมให้กำลังแก่คนพาลเหล่านี้นั้น เช่น พวกเราเอาอาหารการกินไปบำรุงให้กินอิ่ม เอายาเสพติด สุรายาเมา กัญญา ยาฝิ่น แค็ป เฮโรอีน ผงขาว ให้เขาดื่มกิน สูบสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ หรือ เราเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ ปืน ระเบิด ของแหลมคม เครื่องมือใช้เปิดงัดแงะขโมยสิ่งของต่างๆ เรานำเอาสิ่งของดังกล่าวมานี้ ไปให้เขา ช่วยเขา บำรุงส่งเสริมให้เขามีกำลังมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คนพาลทั้งหลายเหล่านั้นมีกำลังมากขึ้นทุกๆ วัน ภัยอันตรายทั้งหลาย และความวุ่นวายไม่สงบสุขอยู่ทุกมุมเมืองทั่วทุกประเทศในโลกนี้ ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์เป็นผล แต่ทุกคนเราก็คิดว่าเรากระทำความดีกับเขาทุกคน เพราะเราไม่เข้าใจในการทำความดีนั้นเอง เหตุนั้นบัณฑิตเจ้าทั้งหลายจึงเรียกว่า เราทำความดีผิดคน


๓. การทำความดีถูกกาลถูกเวลา
ได้แก่การที่เราจะไปเลี้ยงพระ เราก็ดูว่าเราจะไปเวลาไหน จึงเตรียมของอะไรไปถวายบ้าง เช่น น้ำส้ม น้ำหวาน และเราเองจะไปทำอะไรบ้าง เช่น น้ำส้ม น้ำหวาน และเราเองจะไปทำอะไรบ้าง เช่น ไปทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ไปฟังเทศน์ ตามกาลตามเวลาที่มีอยู่ เราควรรู้ว่าสิ่งของอะไรบ้างที่จะถวายพระในตอนเช้าได้ หรือสิ่งของอะไรบ้างที่จะถวายพระในตอนบ่ายได้ เช่น ถ้าเราเอาอาหารไปถวายพระตอนบ่าย เราไม่ต้องไปประเคนท่าน เพราะหากว่าท่านรับประเคนอาหารนั้นแล้ว ในวันต่อไปพระท่านจะฉันอาหารที่ได้รับประเคนไว้แล้วนั้นไม่ได้ เพราะผิดศีลของพระ เหตุฉะนั้น ญาติโยมจึงควรนำอาหารเหล่านั้นไปเก็บไว้ที่โรงครัว เพื่อจะได้ให้โยมวัดนำเอาอาหารมาถวายพระในวันต่อไป อย่าไปบังคับให้พระท่านรับประเคนไว้ ส่วนมากแล้วญาติโยมทั้งหลายยังไม่เข้าใจ เรื่องการถวายสิ่งของต่างๆ กับพระ ไม่รู้อะไรควรประเคนพระในตอนเช้า ไม่รู้ว่าอะไรควรประเคนในตอนบ่ายแล้วไป อะไรพระฉันได้ทุกกาลทุกเวลา เราต้องศึกษาให้รู้ให้เข้าใจว่าอะไรที่เป็นอาหาร เราก็ประเคนพระในตอนเช้าไปถึงแค่เที่ยงวัน สิ่งที่ประเคนพระได้ตั้งแต่ตอนบ่ายไปจนถึงเที่ยงคืนก็คือ "น้ำปานะ" เภสัชที่รับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้ ๗ วัน คือ น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาลทราย เนยใส เนยข้น แต่เภสัชอย่างอื่นรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้ตลอดชีวิต สิ่งที่ควรประเคนพระได้ทุกกาลทุกเวลา ก็คือ ยารักษาโรคทุกชนิด

๔. การทำความดีแล้วให้ตามความดีของตน
ถ้าเราไม่เคยไปทำบุญในวัดเลย แต่เราเคยสร้างถนนหนทาง เราเคยทำความสะอาด แนะนำสั่งสอนลูกหลาน และเพื่อนฝูงที่ไม่ดีให้ทำความดีอยู่เรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้เข้าวัด เราเคยสงเคราะห์คน ให้เงินทองข้าวของอาหารการกินแก่คนอื่น หรือพี่น้องทั้งหลาย เราควรที่จะมีเมตตาเจือจานสงเคราะห์เขาไปเรื่อยๆ เช่น สงเคราะห์คนจนเป็นต้น โดยที่ยังไม่ได้เข้าวัด เมื่อเห็นคนอื่นได้รับความวิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วม ทรัพย์สินเสียหายหมด ไฟไหม้บ้านเรือน เราก็ช่วยกันสงเคราะห์เขา ถ้าเขาขาดอาหารการกิน เราก็ช่วยเขา นี่เป็นการทำบุญนอกวัด ยังไม่ได้เข้าวัด ก็เรียกว่าเป็นบุญด้วย สมควรที่เราจะค่อยๆ ทำไปตามกำลังความสามารถที่เราจะช่วยเหลือกันได้ ถ้าเรามาทำในวัด เราเคยทำ ทำตามกำลังของเรา เราก็พยายามสร้างบุญกุศลไปเรื่อยๆ เราเคยรักษาศีล เราก็พยายามจะรักษาศีลของตนเพื่อให้ดีมากขึ้น ที่เคยรักษามาแล้วไม่ได้ละทิ้งให้เสื่อมลงไป ศีลข้อไหนยังไม่ดี ก็พยายามรักษาปรับปรุง เพื่อจะให้ดีขึ้นให้เป็นผู้มีศีลธรรมขึ้น ก็รักษาศีล ๕ เรามีศีล ๕ บริสุทธิ์แล้ว ต่อมาเราอยากได้ศีล ๘ เราก็พยายามที่จะรักษาศีล ๘ ให้เราเป็นผู้มีศีล มีฐานะสูงขึ้น เป็นศีลพรหมจรรย์ ได้แค่วันหนึ่งก็เอา มันยังไม่ได้มาก ต่อมาลงมาอยู่ศีล ๕ ออกจากวัดมา ประคองศีล ๕ ไว้ ถึงวันพระ วันโกน ก็ไปตั้งใจรักษาศีล ๘ อีกต่อไป ให้พากันพยายามขวนขวายรักษาศีลตามกำลังของตน


พอมีศีลดีแล้วก็ฝึกทำสมาธิ ถ้าจิตใจของเรายังไม่สงบเป็นสมาธิ เราก็พยายามฝึกไปเรื่อยๆ ต้องการให้จิตใจของเราสงบเป็นสมาธิ หมั่นเดินจงกรมอยู่เสมอ พอจิตใจสงบเป็นสมาธิเพียงขณิกสมาธิ ก็พยายามให้ได้ถึงอุปจารสมาธิ และจิตใจของเราสงบ เป็นอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียว เราก็พยายามรักษาจิตใจของเราให้สงบเป็นสมาธิอยู่บ่อยๆ เพื่อให้จิตใจของเราสงบเป็นสมาธิอยู่ทุกเวลา เมื่อจิตใจสงบหนักแน่นมั่นคงดีแล้ว เราก็ไม่ละความเพียรของตน ต่อไปเราจึงจะได้พิจารณาธรรมะ ถ้าพิจารณาธรรมะยังไม่เห็นแจ้งชัดในธรรมะนั้น เราก็ทำไปเรื่อยๆ เหมือนกับคนซักผ้าขาวที่เปรอะเปื้อนสกปรก ถ้าผ้ายังไม่สะอาดดี ก็เพียรซักอยู่นั่นแหละ ถูมันอยู่นั่นแหละ เอาน้ำล้างมันอยู่นั่นแหละ พยายามอยู่จนผ้านั้นสะอาดตามความประสงค์ของตน ยกตัวอย่างเช่นคนเราเกิดมาหลายปีแล้ว ยังไม่ได้เข้าวัดชำระกิเลสออกจากจิตใจของตน พากันซักแต่ผ้า เครื่องนุ่งห่ม ล้างแต่มือเจ้าของ แต่ใจไม่ล้างสักที เราก็มาพยายามฝึกฝนอบรมจิตใจของเรา มันเคยมีโลภะมาก เคยโกรธคนนั้นคนนี้ เกลียดคนนั้นคนนี้ เราก็จะมาดูจิตใจของตน เพื่อซักล้าง โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจให้สะอาดหมดจด คนมีความเพียรอยู่ตลอด เรียกว่าตามความดี ก็ย่อมมีความเจริญเกิดขึ้นแก่ตนเอง

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

ไอ้ไข่แดง ยันหว่าง

ทุกคนเตรียมตัวกันไว้ด้วยนะ‼️

วันที่ 10 ประกาศเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงทั่วประเทศ ห้ามออกนอกบ้านน่าจะ 11-17 เตรียมอาหารน้ำดื่มให้พร้อม รถส่งอาหารทุกอย่างหยุดส่งหมด ห้ามทุกอาชีพ

❌ยกเว้นหมอพยาบาลเตรียมตุนอาหารให้เพียงพอนะ จะมีการเคอร์ฟิว24ชม. ทั้งประเทศ

ควายตาบอด VS วัวหูหนวก

หลังจากข่าวบังคับให้พระสังฆาธิการ ๒ รูปสึกอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีกระบวนการนิคหกรรมตามกติกาของคณะสงฆ์แล้ว ในสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่ภาพประกาศคณะสงฆ์ในอดีตที่มุ่งกำกับพฤติกรรมของพระมิให้เป็นไปในทางเสียงหาย ที่มีบทลงโทษคล้ายๆ กันว่า "ให้สึกเสีย" กันอย่างกว้างขวาง

แม้การส่งต่อข้อมูลดังกล่าวอาจทำด้วยความหวังดี ต้องการปรามภิกษุที่จะประพฤติผิดพระวินัยให้กลับมาอยู่ในกรอบที่ดีงาม และคิดว่าการกระทำดังกล่าวมิได้สร้างความเดือดร้อนใดๆ ต่อพระที่ประฟฤติดีปฏิบัติชอบ แต่หากข้อมูลเหล่านั้นไม่ถูกต้องก็อาจก่อความเสียหายต่อพระดีๆ ได้เช่นกัน

เป็นเรื่องที่ต้องทำให้กระจ่างว่าบรรดาประกาศคณะสงฆ์ที่อายุเกินกว่ากึ่งศตวรรษเหล่านั้น ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่หรือไม่? ถ้ายังใช้บังคับอยู่เหตุใดจึงไม่ถูกพูดถึง หรือไม่มีข่าวการนำมาบังคับใช้เลยตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งที่ยังมีพระที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมอยู่ หรือความจริงประกาศเหล่านี้ถูกยกเลิกโดยกฎหมาย ระเบียบ หรือประกาศที่ตราขึ้นภายหลังไปหมดแล้ว

ใน พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ที่ใช้เป็นกฎหมายหลักในการปกครองคณะสงฆ์ไทยทุกวันนี้ มีข้อความระบุไว้ในมาตรา ๔ อย่างชัดเจนว่า "ภายในระยะเวลาหนึ่งปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ บรรดากฎกระทรวง สังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ข้อบังคับ และระเบียบเกี่ยวกับคณะสงฆ์ ที่ใช้บังคับอยู่ในวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา ให้คงใช้บังคับต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้จนกว่าจะมีกฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ข้อบังคับหรือระเบียบของมหาเถรสมาคม ยกเลิก หรือมีความอย่างเดียวกัน หรือขัดหรือแย้งกัน หรือกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น" ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วประกาศเหล่านั้นน่าจะขัดแย้งกับ พรบ.ฉบับนี้

นอกจากนี้ยังมีข้อบังคับที่ออกตาม พรบ. คณะสงฆ์ ดังกล่าว เช่น กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ซึ่งระบุไว้ในข้อ ๓ ว่า "นับแต่วันใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลิกกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๐๖) ว่าด้วยการลงนิคหกรรมแก่พระภิกษุ และให้ยกเลิกข้องบังคับ ระเบียบหรือคำสั่งอื่นเกี่ยวกับคณะสงฆ์ในส่วนที่บัญญัติไว้แล้วในกฎมหาเถรสมาคมนี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งกฎมหาเถรสมาคมนี้" และยังมี "กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ.๒๕๓๘) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ" ที่ระบุกระบวนการที่จะนำไปสู่การสึกพระภิกษุไว้แล้วอย่างชัดเจนอีกด้วย (ซึ่งย่อมทำให้วิธีการบังคับให้สึกที่ระบุไว้ในประกาศในอดีตนั้น ใช้ไม่ได้อีกต่อไป)

หากกฎกติกาที่ยกขึ้นอ้างเพื่อใช้สึกพระ ๒ รูปที่เป็นข่าว รวมทั้งประกาศในอดีตที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นเป็นกติกาที่ถูกยกเลิกไปแล้วจริง การกระทำของเจ้าหน้าที่ที่สึกพระนั้นย่อมไม่ชอบธรรมและการส่งต่อข้อมูลดังกล่าวเป็นเรื่องเสียหายที่สร้างความเข้าใจผิดให้กับชาวพุทธในวงกว้างได้ เปิดโอกาสให้มีการกลั่นแกล้ง และใช้อำนาจในทางที่ผิดตามมา การกระทำที่ถูกต้อง แต่ด้วยวิธีการที่ผิด ย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องไปไม่ได้เลย สมควรที่สังคมพุทธที่เชิดชูปัญญา และความถูกต้องมาโดยตลอด ควรช่วยกันทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง

เราจึงขอเรียกร้องอีกครั้งหนึ่ง.... ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องต่อกรณีนี้ทุกฝ่าย โปรดแสดงความรับผิดชอบออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงให้ชาวพุทธได้รับทราบ เพื่อหยุดยั้งอวิชชา (ความไม่รู้ ความรู้ที่ผิด) เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิด สร้างความแตกแยก และความเสียหายอื่นๆ ตามมา

และขอเรียกร้องมายังนักการเมืองที่ตั้งใจปกป้องพระพุทธศาสนา นักวิชาการศาสนาที่คร่ำหวอดในเรื่องกฎระเบียบ สื่อมวลชนที่สนใจ (มาก) ในการเสนอข่าวพระที่กระทำผิด รวมทั้งนักกฎหมายที่อาสาปกป้องประชาชน ได้โปรดเข้ามาช่วยทำความชัดเจนในเรื่องนี้ให้ปรากฏ

และขอเรียกร้องมายังชาวพุทธ ว่าอย่าได้หยุดอยู่เพียงความปรารถนาดีอยากกำจัดอลัชชีออกจากศาสนา แต่นี่เป็นเรื่องของหลักการ วิธีการ ที่ต้องการความถูกต้องชัดเจน อันจะนำไปสู่ความเสมอภาค ความเป็น "ธรรม" และ ความยุติ (โดย) ธรรม อย่างแท้จริง มิฉะนั้นพระดีที่เราบูชาเมื่อถึงเวลาก็อาจถูกอำนาจแห่งอวิชชานี้รุกรานได้... ส.สู้ๆ

ไอ้ไข่แดง ยันมืด

ความเข้าใจผิด...
(คำสอนของท่านพุทธทาส ภิกขุ)

1) เข้าใจผิดว่า...
ทำดี ต้องได้ดี ทำบุญต้องได้บุญ
ที่ถูก คือ..
ทำดีไม่ได้อะไร ได้แค่ละกิเลส
ทำบุญ ได้แค่สบายใจ

2) เข้าใจผิดว่า...
ดีกับใคร คนนั้นต้องดีตอบ
ที่ถูก คือ..
เรามีหน้าที่ทำดี ใครจะดีกับเรา
ไม่ดีกับเรา ไม่ใช่เรื่องของเรา

3) เข้าใจผิดว่า...
ให้อะไรใคร ต้องได้กลับคืน
ที่ถูก คือ..
การ "ให้" คือ ยินดีเสียสละ
ให้แล้วคาดหวัง..ไม่ใช่การให้
อ้างบุญคุณไม่ได้

4) เข้าใจผิดว่า..
แก่แล้วทำอะไรก็ได้
ที่ถูก คือ..
แก่แล้วต้องยิ่งสำนึก
ทำชั่วไม่ได้ เวลาเหลือน้อย

5) เข้าใจผิดว่า...
ต้องทำเพื่อความมั่นคง
ของชีวิตในภายหน้า
ที่ถูก คือ..
ความมั่นคงไม่มีในโลก
ตายได้ทุกเมื่อ

6) เข้าใจผิดว่า...
ความต้องการของตัวเอง
สำคัญที่สุด เราสำคัญที่สุด
ที่ถูก คือ..
ไม่มีความต้องการนั่นแหละสำคัญที่สุด
ไม่มีเราต่างหากสำคัญที่สุด

7) เข้าใจผิดว่า...
เข้าวัด ใจสงบ
ที่ถูก คือ วัดอยู่ในใจ ใจสงบ

8) เข้าใจผิดว่า...
ความสบายเลือกได้
ที่ถูก คือ..
เกิดมาก็ทุกข์แล้ว มันเลือกไม่ได้
ไม่มีใครสบายตลอดชาติ

9) เข้าใจผิดว่า...
สิ่งของ คนของเรา ตัวตนของเรา
เราต้องยึดไว้ รักษาไว้
ที่ถูก คือ..
ไม่มีอะไร หรือใคร
ให้ต้องยึด ต้องรักษา
ทุกอย่างไม่ใช่ของเรา
และที่สุดแล้ว..ก็ ไม่ มี... ส.สู้ๆ

ควายตาบอดVSวัวหูหนวก

ธรรมปีติ : - หลักใจพ้นภัยโควิด

ทรัพย์
.
.
ไวรัสโควิด-๑๙ ที่กำลังระบาดหนักอยู่ในช่วงนี้
ส่งผลให้ผู้คนไม่สามารถดำเนินชีวิตแบบเดิมได้
งานลักษณะที่ผู้คนมาอยู่ใกล้ชิดกันมากๆ ก็จำเป็นต้องหยุดพัก
บางโรงงานเริ่มมีนโยบายให้คนออก บางบริษัทก็เริ่มลดเงินเดือน
ทุกภาคส่วนโดนผลกระทบไปตามๆ กัน�.
.
อีกไม่นาน ภาวะความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจจะมีมากขึ้น
อาจจะก่อเกิดเป็นปัญหาลุกลามบานปลาย
ก่อนที่เหตุการณ์ความยากลำบากนั้น
การมีหลักธรรมะบางประการ ที่เกี่ยวกับการจัดการเรื่อง "เงิน"
ย่อมเป็นหลักชัยที่สามารถช่วยผู้กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาปากท้อง
ด้วยวิธีการใช้จ่ายทรัพย์อย่าง "ไม่เป็นทุกข์"

——

คำว่า "เงิน" หมายถึงโลหะธาตุหนึ่ง
แต่เราใช้ในความหมายของ ทรัพย์สิน, สมบัติ, ของมีค่า
.
.
คำว่า ทรัพย์ เป็นสันสกฤต  ทฺรวฺย.  แปลง ว เป็น พ
.
.
โดยมีที่มาจากภาษาบาลี คือ ทุ ธาตุ ในอรรถ คติยํ  ในการไป, ทำให้ไปได้
แปลง อุ เป็น อว, แปลง ว เป็น พ 
จะอยู่ในรูปศัพท์ว่า ทพฺพ
.
.
ทัพพะ  แปลว่าของมีอยู่, สภาพมีอยู่, คุณสมบัติ
.
.
คำว่า "สมบัติ"
คำนี้มีส่วนประกอบคือ  สํ (เสมอ) +  ปท  (ถึง)
สมบัติจึงแปลว่า สิ่งอันถือเอาได้เสมอ, หยิบใช้ได้ง่าย
.
.
คนที่มีทรัพทย์สมบัติ หรือคนรวย เราจะเห็นได้ว่าเขาสามารถถือเอาสิ่งไหนก็ได้ตามปรารถนา
จับจ่ายใช้สอยได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องคิดมากอย่างคนไม่มี�.
.
บาลีอีกคำหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ "ธน" อันแปลว่า เงิน, ทรัพย์​
เราจะคุ้นเคยกับคำว่า ธนบัติ, ธนาคาร, ธนารักษ์
.
.
มีรากศัพท์ที่หลากหลาย คือ
- ธน  ธญฺเญ  ในความสมบูรณ์
มีความหมายเดียวกันกับ ธัญญพืช หรือข้าว
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของทำให้ชีวิตสมบูรณ์ กินอยู่อย่างอิ่มหนำ

- ธน  สทฺเท  ในการส่งเสียง 
หมายความว่า ใครมี "ทรัพย์" ก็จะมีชื่อเสียงใครๆ ก็กล่าวถึง
และแปลได้ในอีกบริบทหนึ่ง คือทรัพย์ แปลว่า เป็นเหตุส่งเสียงของ จากพวกขอทานนั่นเอง

- ธน  อิจฺฉายํ  ในความปรารถนา  (ต้องการ, ปรนเปรอ)
ความหมายนี้เข้าใจได้ง่ายที่สุด
เพราะใครๆ ก็ต้องการทรัพย์ ปรารถนาที่จะมีมากๆ มีไม่จำกัด
เมื่อมีแล้วก็จะสามารถปรนเปรอความสุขให้ตนเองได้
สามารถความสบายให้ญาติพี่น้องครอบครัวได้

——

ทางพุทธศาสนา จะแบ่งทรัพย์เป็น ๒ ประเภทคือ
๑ โภคทรัพย์ 
๒ อริยทรัพย์
.
.
โภคทรัพย์ คือ ทรัพย์สินเงินทอง, บ้านเรือนอสังหาริมทรัพย์, ทาสหญิงทาสชาย
สัตว์เลี้ยง ที่ดิน อาณาจักร สิ่งให้ที่สามารถหล่อเลี้ยงกายให้มีความสุขก็นับเนื่องในส่วนนี้
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแนะนำการใช้โภคทรัพย์ไว้ดังนี้
.
.
วิธีการบริหารทรัพย์* Fourfold division of money.
คือ หามีทรัพย์อยู่ประมาณหนึ่ง ทั้งที่ได้รับมา หรือ ที่สะสมอยู่ ก็ได้
ให้แบ่งเสียเป็น ๔ ส่วนเท่ากัน
อันดับแรก ใช้ "๑ ใน ๔"  เพื่อจ่ายเลี้ยงตน เลี้ยงคนที่ควรบำรุง และทำประโยชน์
อันดับสอง ใช้ "๒ ใน ๔"  ลงทุนประกอบการงาน
อันดับสุดท้าย ที่เหลือ "๑ ใน ๔" ต้องเก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็น
.�.
หลังจากจัดสรรได้แล้ว
พระพุทธองค์ก็ทรงแนะนำหลักเกี่ยวกับการใช้จ่ายเลี้ยงชีพ**
เรียกว่า หลัก "สมชีวิตา" คือการทำชีวิตให้เสมอ
โดยให้แบ่งทรัพย์ที่หามาได้เป็น ๕ ส่วน ดังนี้
.
.
"ใช้หนี้เก่า-ให้เขากู้-ใส่ปากงู-ฝังดินไว้-ทิ้งลงเหว"
.
.
๑ ใช้หนี้เก่า ๑ ส่วน คือ ใช้เงินทองในการบำรุงเลี้ยงดูพ่อแม่
บุพพการี ผู้มีพระคุณ ตลอดถึงเหล่าญาติและมิตรสหาย
เพราะเราได้รับการอุปการะจากท่านเหล่านี้มาก่อนแล้ว
จึงเปรียบเหมือนหนี้ที่ต้องใช้
.
๒ ให้เขากู้ ๑ ส่วน คือ ให้เลี้ยงดูบุตรธิดาศึกษาเล่าเรียน
ถือเอาว่าให้เขาในวันนี้ เป็นการให้กู้เพื่อต่อทุน
เป็นการเผื่อไว้ว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาอาจจะกลับมาเลี้ยงดูเรา
แต่อันที่จริงการให้กู้ ก็เพื่อเราก็ไม่ต้องเป็นห่วงกับชีวิตความเป็นอยู่ของเขานั่นเอง
.
๓ ใส่ปากงู ๑ ส่วน คือ ฝากภรรยาเก็บไว้ยามขาดแคลน
เผื่อเอาไว้ยามป่วยไข้ จะได้ไม่ลำบากในการรักษาพยาบาล
เป็นการวางแผนอนาคตเผื่อว่าวันข้างหน้า
เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น หรือ ลูกหลานไม่ได้กลับมาเลี้ยง
.
๔ ฝังดินไว้ ๑ ส่วน คือ ให้ทำบุญ หรือบริจาค
ไม่จำกัดว่าต้องเป็นในส่วนใดกับใคร แต่เป็นไปเพื่อการทำลายความตระหนี่ในใจ
ส่วนนี้ผู้ใดทำเป็นประจำก็จะมีที่พึ่งทางใจ ว่าตนเองในยามมีก็ได้จุนเจือผู้อื่น
ยิ่งได้ทำบุญทำทานไว้ในบวรพุทธศาสนา ก็เปิดโอกาสให้ได้เข้าใกล้ธรรมะของพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น
.
๕  ทิ้งลงเหว ๑ ส่วน คือ สำหรับใช้จ่ายบริโภค
คือ ให้อุปโภคบริโภคในการส่วนตัว จะกินอะไรหรือซื้ออะไร
ทรัพย์ ๑ ใน ๕ นี้ก็มีไว้เพื่อความสุขความพอใจส่วนตัว

——

สำหรับคนที่ไม่มีทรัพย์
คงไม่รู้ว่า การมีทรัพย์เป็นอย่างไร
ศึกษาเรื่องการบริหารหรือการใช้เงินทองคงเป็นเรื่องไกลตัวไปเสียหน่อย
เช่นนั้นแล้วคงต้องเรียนรู้ การได้มาซึ่งทรัพย์
อย่างที่เราเคยได้ยิน "คาถาเศรษฐี" หรือ "อุ-อา-กะ-สะ"
ซึ่งก็เป็นคำย่อมาจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
.
.
เราเรียกว่า
"ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม ๔ ประการ *
Virtues conducive to benefits in the present
.
๑  อุฏฐานสัมปทา
คือ ขยันหมั่นเพียรในการอาชีพอันสุจริต
รู้จักใช้ปัญญาสอดส่อง หาอุบายวิธี พัฒนาตนพัฒนางาน
.
๒ อารักขสัมปทา
คือ รู้จักเก็บรักษาทรัพย์ไม่ให้เป็นอันตรายหรือสูญหาย
.
๓ กัลยาณมิตตตา
คือ รู้จักคบเพื่อนที่ดี มีอัธยาศัยพาให้ดำรงตนอยู่ในคุณธรรม
และกล้าแนะนำ บอกในสิ่งที่ถูก ชี้โทษในสิ่งที่ผิด
.
๔ สมชีวิตา
คือ การวางตัวเหมาะสม รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ที่พอเพียง เลี้ยงชีวิตแต่พอดี
.
ผูกเป็นคำคล้องจองว่า
"ขยันหา-รักษาดี-มีกัลยาณมิตร-นำพาชีวิตให้พอเพียง"

——

ไม่ว่าจะบริหาร หรือใช้โภคทรัพย์ได้ดีขนาดไหนก็ตาม
แต่ทรัพย์สินเหล่านั้นก็จะอยู่ได้เพียงชีวิตหนึ่งชีวิตเดียวเท่านั้น
วันสุดท้ายก็ต้องคืนให้แก่โลก เพราะร่างกายก็ตายเป็นธรรมดา
.�.
ทรัพย์ที่สำคัญที่สุดที่พุทธองค์ทรงให้ขวนขวายหาสะสมไว้
อันจะเป็นสิ่งติดตามตัวไปไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม
ไม่มีวันสูญสลาย เราเรียกสิ่งนั้นว่า "ทรัพย์อันประเสริฐ"
.
.
อริยทรัพย์ ๗  Noble treasures)

๑  ศรัทธา  ความเชื่อที่มีเหตุผล มั่นใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทำ
.
๒ ศีล การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ประพฤติถูกต้องดีงาม
.
๓ หิริ  ความละอายใจต่อการทำความชั่ว
.
๔ โอตตัปปะ  ความเกรงกลัวต่อความชั่ว
.
๕ พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก
.
๖ จาคะ  ความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
.
๗ ปัญญา ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล ดีชั่ว ถูกผิด คุณโทษ
สิ่งไหนเป็นประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ รู้คิด รู้พิจารณา
.
.
ทรัพย์อันประเสริฐเหล่านี้จะอยู่ภายในจิตใจ
และเป็นสิ่งล้ำเลิศกว่าทรัพย์ภายนอก เพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ไม่สูญหาย
ทำใจให้ไม่เหี่ยวแห้ง อ้างว้าง ยากจน และเป็นกำลังใจให้สร้างทรัพย์ภายนอกได้อีกด้วย

——

กับสถานการณ์โควิด-๑๙
ทั่วทั้งโลกต่างประสบกับความยากลำบากกันทั้งนั้น
เรากำลังเป็นผู้ร่วมชะตากรรมนี้ร่วมกัน
ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมี ที่เคยหาได้ นั่นเป็นอดีตไปแล้ว
.
.
ปัจจุบัน คือช่วงเวลาที่เป็นโอกาส
ยังมีชีวิต ยังไม่ตาย การไปมัวคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วย่อมไม่ทำให้เกิดผลดีอะไร
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด "พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส"
ลุกขึ้นมาใช้สติปัญญา อยู่กับความเป็นจริง
นี่คือจังหวะที่ต้องฝึกฝนตัวเอง พัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อแสวงหาทรัพย์
.�.�และเมื่อหาทรัพย์ทางกายแล้วได้แล้ว ก็อย่าลืมสะสมทรัพย์ที่ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น
คือ อริยทรัพย์ ที่พึ่งอันประเสริฐของท่าน
เป็นการสร้างความสุขที่แท้จริง สามารถนำพาให้ถึงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด

——

พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ
พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต
เมื่อเล็งเห็นประโยชน์สูงสุด
พึงสละทั้งอวัยวะและชีวิต เพื่อรักษาธรรม

——

ล้างมือบ่อยๆ - ล้างใจบ่อยๆ
อยู่ห่างๆ กัน  - กันกิเลสให้ห่างๆ จิต
ให้กำลังใจตนเอง และผู้อื่น
พูดเรื่องที่ถูกต้อง พาให้ผู้คนพ้นทุกข์
.
.
ยินดีกับชีวิต หายใจสบายๆ
#ทักษะเพื่อผ่านพ้น
#พระจะไม่นิ่งดูดาย
#อย่าคิดว่าจะไม่ติดไวรัสนี้แม้แต่วินาทีเดียว

——

อ้างอิง
*โภควิภาค ๔ www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=163
** หลักการใช้ทรัพย์ ๕ http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1872
*** คาถาเศรษฐี ๔ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=144
****อริยทรัพย์ ๗ http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=292


ตาอินกับตานา(แดง)

คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด

ธรรมประจำใจ

พูดมาก เสียมาก    พูดน้อย เสียน้อย     ไม่พูด ไม่เสีย     นิ่งเสีย โพธิสัตว์ ละได้ย่อมสงบ

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ

สันดาน
ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได ้ แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก

ชีวิตทุกข์
การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ

เมื่อเราจะออกจากบ้าน
ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย

บรรเทาทุกข์
การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ

ยากกว่าการเกิด
ในการที่เราเกิดมา   ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย   แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย

ไม่สิ้นสุด
แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น

ยึดจึงเดือดร้อน

ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่
ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ   ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากล

จักรวาลโลกมนุษยนี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุกคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน   เกิดการฆ่าฟันกัน เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ   ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

อยู่ให้สบาย
ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด   อยู่กันอย่างไม่ยินดี   อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์ เหนือคำสรรเสริญ   เหนือนินทา   เหนือความผิดหวัง   เหนือความสำเร็จ   เหนือรัก   เหนือชัง

ธรรมารมณ์
การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน   เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้ว ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส   เสียใจน้อยใจ   เป็นทุกข์

กรรม
ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างทีว่า เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์   มีความรื่นเริง

มารยาทของผู้เป็นใหญ่
ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน   ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ

โลกิยะ หรือ โลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ   ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้ คนที่เดินทางโลกิยะ   ย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก   เพราะอะไร ? ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ?
ถ้าเป็นไปได้   พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ ? แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน เราต้องตัดสินใจ   ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง

ศิษย์แท้

พิจารณากายในกาย   พิจารณาธรรมในธรรม   พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
รู้ซึ้ง ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ   เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล   ผลนั้นเกิดจากเหตุ
เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว   เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา

ใจสำคัญ
การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา
ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย

หยุดพิจารณา
คนเรานี้   ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว   จิตมันจะฟุ้งซ่าน
และถ้าภาวะนั้น   ตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ หยุดพิจารณา แล้วค้นสัจจะของ   ศีล   สมาธิ   ปัญญา     ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้

บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ   จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก
การสวดมนต์เป็นการภาวนา   การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก  นี่คือเรื่องของนามธรรม

ทำด้วยใจสงบ
เราจะทำบุญก็ดี   เราจะทำอะไรก็ดี   จงทำด้วยความสงบ
อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น   มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน   เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง   จงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน   เมื่อจิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้ว   จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก

มีสติพร้อม
จะทำสิ่งใดก็ตาม   เราต้องมีสติพร้อม คือ อย่าให้มีโทสะ   อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล มาอยู่เหนือความจริง

เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว    มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว    มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก    มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า

พิจารณาตัวเอง
คืนหนึ่งก็ดี   วันหนึ่งก็ดี   ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่า   ที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง   คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้   มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด   ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง

คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวด
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม... ส.สู้ๆ

ขุนทองแดง จะนะ

"ทรัพย์สิน" นั้นสำคัญ แต่เราต้อง...
รู้ทัน และ ข้ามพ้นจุดอ่อน ของมัน
.
"มีความแตกต่างหลายประการ ระหว่างทรัพย์ภายนอก และทรัพย์ภายใน
ทรัพย์ภายนอก ที่เป็นวัตถุหรือทรัพย์สินเงินทองนั้น แม้จะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ จำเป็นสำหรับชีวิต แต่มีข้อบกพร่องหลายประการ...จะขอยกตัวอย่าง เช่นว่า ทรัพย์ภายนอก คือ ทรัพย์สินเงินทองนั้น เป็นสิ่งที่สูญหายได้ โจรลักได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องระวังรักษา เป็นเหตุให้เกิดความห่วงใย เป็นต้น
.
แต่ทรัพย์ภายใน คือความรู้ และความดีนั้น ไม่สูญหาย ท่านบอกว่าโจรลักไม่ได้ ทรัพย์ภายในคือความรู้และความดีนั้น ไม่มีใครมาลักเอาไปได้ เราไม่ต้องกลัว ไม่ต้องรักษา มันไม่หายไปไหน มันอยู่กับตัวของเราเป็นของประจำ

ประการต่อไป ทรัพย์ภายนอก ที่เป็นวัตถุทรัพย์สินเงินทองนั้น ยิ่งใช้ยิ่งสิ้นเปลือง ยิ่งใช้ยิ่งหมดไป เราจะต้องหามาเพิ่ม ต้องหามาชดเชย แต่ทรัพย์ภายใน คือความรู้ และความดีนั้น ตรงกันข้าม แทนที่จะใช้แล้วหมด หรือใช้แล้วสิ้นเปลือง กลับเป็นว่า ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม จะเห็นว่า ความรู้ ยิ่งใช้ ยิ่งเพิ่ม ยิ่งมีความชำนาญ ยิ่งมีความจัดเจน
.
ส่วนความดีก็เช่นกัน ยิ่งประพฤติ ความดีนั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น เพราะฉะนั้น ทรัพย์ภายในยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม
.
ประการต่อไป ทรัพย์ภายนอกนั้น ไม่เป็นหลักประกันที่แท้จริงของชีวิต คนที่มีทรัพย์ภายนอก แต่ไม่มีทรัพย์ภายใน ไม่มีความรู้ ไม่มีความดี ไม่มีความขยันหมั่นเพียร แม้แต่มีทรัพย์อยู่แล้ว เช่นบิดามารดาให้มา ก็ไม่สามารถรักษาทรัพย์นั้นไว้ได้ ส่วนทรัพย์ที่ยังไม่มีก็ไม่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ รวมความว่า ทรัพย์ที่ยังไม่มี ก็ไม่สามารถทำให้เกิดมี ทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว ก็หมดสิ้นไป เพราะไม่รู้จักรักษา ไม่มีหนทาง ไม่มีความสามารถที่จะทำให้เกิดมีและรักษาไว้ได้
.
แต่คนที่มีทรัพย์ภายใน มีความรู้ มีความดีงาม มีความขยันหมั่นเพียร กลับมาช่วยสร้างช่วยรักษาทรัพย์ภายนอกด้วย ทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว ก็รักษาไว้ได้ ทรัพย์ที่ยังไม่มี ก็สามารถทำให้เกิดขึ้นมีขึ้นได้
.
เพราะฉะนั้น ทรัพย์ภายในนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ท่านจึงย้ำในเรื่องทรัพย์ภายในไว้ว่า จะต้องมีเป็นคู่กันกับทรัพย์ภายนอก
.
ประการต่อไป ก็คือ ผลทางจิตใจ ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ทรัพย์ภายนอกนั้น เป็นไปด้วยความห่วง ความหวงแหน อาจจะทำให้เกิดความมัวเมา จิตใจขุ่นมัว เศร้าหมอง ตลอดจนกระทั่งว่าในทางสังคมทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท บาดหมาง ความแตกสามัคคีแย่งชิงกัน แต่ทรัพย์ภายในนั้น เราไม่ต้องห่วง มันอยู่ข้างในของเราเอง กลับออกมาทำให้คนช่วยเหลือ อยู่ร่วมกันด้วยดี และมีแล้ว ก็ทำให้จิตใจผ่องใส ที่สำคัญก็คือว่า ทรัพย์ภายนอกไม่สามารถทำให้คนเป็นคนดี หรือเป็นคนประเสริฐ ไม่สามารถทำคนให้หมดทุกข์ หมดกิเลสได้ ดังบาลีภาษิต ที่ยกขึ้นเป็นบทตั้ง ในเบื้องต้นแห่งพระธรรมเทศนานี้ว่า

" น หิรญฺญสุวณฺเณน ปริกฺขียนฺติ อาสวา "
แปลว่า : กิเลสทั้งหลาย จะหมดสิ้นไปด้วยเงินทอง ก็หาไม่
แต่ทรัพย์ภายในนั้น ทำให้คนเป็นคนดี ทำให้คนเป็นคนประเสริฐ ทำให้คนที่มีทุกข์ ก็หมดทุกข์ ทำให้คนที่มีกิเลส ก็หมดกิเลส แม้กระทั่งบรรลุพระนิพพานเป็นพระอรหันต์ก็ได้ เพราะฉะนั้น อริยทรัพย์นี้จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และในทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงเน้นความสำคัญของทรัพย์ภายใน ดังได้กล่าวมานี้
.
คนเราอยู่ในโลกนั้น หลายคนอาจจะประสบความสำเร็จ มีชัยชนะทุกอย่างทุกประการ แต่ในที่สุดมาแพ้อะไร ก็แพ้อารมณ์ในใจของตนเอง แม้จะเป็นราชา เป็นจักรพรรดิ เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ หรือเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มีทรัพย์มหาศาล ชนะมาทั่ว ประสบความสำเร็จมาทั่ว แต่มาแพ้อารมณ์ในใจของตัวเอง ไม่รู้จะเอาชนะอย่างไร เพราะฉะนั้น ชัยชนะในใจของเรานี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะเป็นความสำเร็จ ซึ่งจะทำให้มีความสุขได้อย่างแท้จริง
.
ทำอย่างไรเราจึงจะมีชัยชนะที่แท้จริง คือชนะทั้งภายในและภายนอก ชัยชนะที่แท้ ที่จะไม่ก่อให้เกิดเวรภัย ไม่ก่อให้เกิดการเบียดเบียน ก็คือชัยชนะภายใน ด้วยการชนะอารมณ์ในใจของตัวเอง หรือชนะใจของตัวเอง ทำจิตใจให้ไม่หวั่นไหวได้
.
ลองพิสูจน์ตนเองอยู่เสมอ ด้วยอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหละ
.
เมื่อมันเข้ามาแล้ว เราถูกมันกระทบ ถ้าใจเราไม่หวั่นไหว เรารู้เข้าใจเท่าทันมันแล้ว รักษาใจของเราให้ผ่องใสเบิกบานสดชื่นได้เสมอ อันนี้คือชัยชนะที่สำคัญ เป็นชัยชนะอันสูงสุด
.
พุทธศาสนิกชนรู้หลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังกล่าวมานี้แล้ว พึงพยายามสร้างทรัพย์ภายในให้เกิดขึ้น
.
เมื่อตนเองประสบความสำเร็จในการสร้างทรัพย์ ยศ ตำแหน่งฐานะภายนอกแล้ว ก็ไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ไม่ลุ่มหลงมัวเมา แต่ใช้ทรัพย์ภายนอกนั้นเป็นปัจจัยเกื้อหนุนในการที่จะพัฒนาสร้างสรรค์ทรัพย์ภายใน ให้เกิดคุณธรรม ความดี และปัญญาความรู้ขึ้นมา
.
เมื่อนั้น ก็จะมีทรัพย์สมบูรณ์ทั้งภายนอกและภายใน จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ จะมีความสำเร็จทั้งภายนอกและภายใน มีชัยชนะอันสูงสุด ดังที่อาตมภาพได้กล่าวมา"
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : พระธรรมเทศนาแสดง ณ  ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๘ พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ในวันขึ้นปีใหม่ ๒๕๓๙

Red UFO นะจ๊ะ

จดหมายจากไวรัสโคโรน่าถึงมนุษยชาติ.
Coronavirus Letter To Humanity .

โลกกระซิบแต่คุณไม่ได้ยิน
โลกเปล่งวาจา
แต่คุณไม่ฟัง
โลกกู่ร้องแต่คุณ
ไม่สนใจ

และแล้วฉันก้อถือกำเนิด...

ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อลงโทษคุณ...
ฉันเกิดมาเพื่อปลุกคุณให้ตื่น...

โลกร้องขอความช่วยเหลือ...

อุทกภัยก้อครั้งแล้วครั้งเล่า คุณไม่ฟัง
ไฟป่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าคุณไม่
ฟัง
เฮอริเคนรุรแรงลูกแล้วลูกเล่า คุณไม่ฟัง
ทอร์นาโดน่าสะพรึงกลัวโหมกระหน่ำแต่คุณก้อไม่หัง

คุณไม่ยอมฟังแม้สัตว์ใต้ท้องทะเลกำลังตายจากขยะในทะเอ
น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายในระดับที่ส่งสัญญาณอันตราย
มหันตภัยแล้ง

คุณไม่สนใจว่าโลกกำลังถูกคุกคามอย่างหนักหนาสาหัสเพียงใดจากมลพิษต่างๆ

สงครามที่ไม่มีวันยุติ
ความโลภที่ไม่รู้จักพอ

คุณยังคงดำเนินชีวิต
ตามใจปรารถา...
ไม่สนใจว่ามีความเกลียดชัง
ไม่สนใจว่ามีการฆ่าฟันกันหลายรายทุกวัน...
คุณคิดว่าการจะได้ไอโฟนรุ่นล่าสุดมาครองสำคัญกว่าสิ่งที่โลกพยายามจะบอกคุณ

แต่เวลานี้ฉันมาอยู่ที่นี่แล้ว

และฉันได้หยุดวิถีต่างๆของโลกและทำให้คุณต้องยอมฟังในที่สุด
ฉันทำให้คุณต้องหลบภัย
ฉันหยุดตัณหาในวัตถุนิยมของคุณ

เวลานี้คุณก้อเหมือนโลก...
คิดถึงแต่การเอาตัวรอด

เป็นยังไงละ?

ฉันให้คุณมีไข้ตัวร้อน
...เหมือนไฟป่าที่เกิดขึ้นบนโลก
ฉันให้คุณมีปัญหาต่างๆเกี่ยวกับระบบหายใจ...
เหมือนปัญหามลพิษในอากาศของโลก
ฉันให้คุณอ่อนแอเหมือนโลกทีถูกทำให้อ่อนแอลงทุกวัน

ฉันเอาความสะดวกสบายไปจากคุณ...
การท่องเที่ยวกับญาติมิตร
และความสำราญต่างๆที่คุณใช้เพื่อจะลืมคิดถึงปัญหามลพิษและความเจ็บปวดของโลก

และฉันได้ทำให้โลกทั้งใบ
หยุดหมุน

และเวลานี้...
ประเทศจีนมีคุณภาพอากาศดีขึ้น..ท้องฟ้าสีครามสดใสเพราะโรงงานทั้งหลายหยุดพ่นควันพิษขึ้นไปในอากาศของโลก
น้ำในเวนิสสะอาดใสมองเห็นปลาโลมาเพราะเรือกอนโดลาทั้งหลายที่ทำให้น้ำสกปรกจอดนิ่งไม่มีคนใช้บริการ

คุณจะต้องใช้เวลานี้ใคร่ครวญดูว่าสิ่งใดสำคัญในชีวิต

ขอย้ำอีกครั้งว่าฉันไม่ได้มาเพื่อลงโทษคุณ..ฉันมาเพื่อปลุกคุณให้ตื่นขึ้น...

โปรดฟังเสียงโลก
โปรดฟังเสียงเพรียกจากหัวใจของคุณ
หยุดสร้างมลพิษบนโลก
หยุดทะเลาะวิวาทต่อสู้กัน
หยุดไขว่คว้าวัตถุนิยม
และหันมารักเพื่อนบ้าน
เริ่มต้นรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมและสัตว์โลกน้อยใหญ่
เรื่มเชื่อในพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่ง

เมื่อทุกอย่างจบลงและฉันจากไปแล้ว...โปรดจดจำโมเมนต์ต่างๆนี้ไว้...

เพราะครั้งหน้าฉันจะกลับมาและรุนแรงกว่านี้...

ลงชื่อ,
โคโรน่าไวรัส

วิเวียน อาร์ รีช เขียน
ดร.บรรจง ชมภูวงศ์ 
ศิษย์เก่าปรินส์
มนุษย์ 15 (ม.ช.)
ถอดความภาษาไทย
3เมษายน ค.ศ.2020

The earth whispered but you did not hear.
The earth spoke but you did not listen
The earth screamed but you turned her off.

And so I was born...

I was not born to punish you..
I was born to awaken you..

The earth cried out for help...

Massive flooding. But you didn't listen.
Burning fires. But you didn't listen.
Strong hurricanes. But you didn't listen.
Terrifying Tornadoes. But you didn't listen.

You still don't listen to the earth when.
Ocean animals are dying due to pollutants in the waters.
Glaciers melting at an alarming rate.
Severe drought.

You didn't listen to how much negativity the earth is receiving.

Non-stop wars.
Non-stop greed.

You just kept going on with your life..
No matter how much hate there was..
No matter how many killings daily..
It was more important to get that latest iPhone than worry about what the earth was trying to tell you..

But now I am here. 

And I've made the world stop on its tracks.
I've made YOU finally listen.
I've made you take refuge.
I've made you stop thinking about materialistic things..

Now you are like the earth...
You are only worried about YOUR survival.

How does that feel? 

I give you fever.. as the fires burn on earth.
I give you respiratory issues.. has pollution fill the earth air.
I give you weakness as the earth weakens every day. 

I took away your comforts..
Your outings. 
The things you would use to forget about the planet and its pain. 

And I made the world stop...

And now...
China has better air quality.. Skys are clear blue because factories are not spewing pollution unto the earth's air.
The water in Venice is clean and dolphins are being seen.  Because the gondola boats that pollute the water are not being used. 

YOU are having to take time to reflect on what is important in your life. 

Again I am not here to punish you.. I am here to Awaken you...

When all this is over and I am gone... Please remember these moments..

Listen to the earth.
Listen to your soul.
Stop Polluting the earth.
Stop Fighting among each other.
Stop caring about materialistic things.
And start loving your neighbors.
Start caring about the earth and all its creatures. 
Start believing in a Creator.

Because next time I may come back even stronger....

Signed,
Coronavirus

Written by: Vivienne R Reich

อลัชชี สีแดง

มารยาทชาวไทย สืบสานจาก"ศีลาจารวัตร"

การบัญญัติมารยาท เป็นกฎเกณฑ์ใช้สืบต่อกันมา ต้นบัญญัติมารยาทต่างๆ ที่เก่าแก่และถือเป็นต้นแบบของมารยาทของชาวไทยปัจจุบัน คือ "เสขิยวัตร" ซึ่งเป็นหมวดพระวินัยในพระพุทธศาสนา

ความสง่างามใน "ศีลาจารวัตร" ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า #ยังความเลื่อมใสศรัทธาแก่ผู้พบเห็น และพระพุทธองค์ทรงอบรมสั่งสอนพระภิกษุสงฆ์ให้มี " ศีลาจารวัตร" ที่งดงามเรียบร้อย โดยทรงบัญญัติหมวด "พระวินัยเสขิยวัตร" ขึ้น

ครั้นเมื่อพระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติตามพระวินัยหมวดนี้แล้ว ทำให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย สงบ สำรวม สง่างาม แก่ผู้ที่มาพบเห็นเข้า #เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษไทยต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงในประเทศไทย ชนชาติไทยจึงได้คุ้นเคยกับ "ศีลาจารวัตร" อันงดงามของพระภิกษุสงฆ์ จนซึมซับและถ่ายทอดกิริยามารยาทที่นุ่มนวลนั้น มาอบรมสั่งสอนลูกหลานสืบทอดต่อๆ กันมา

"เสขิยวัตร" จึงเปรียบเสมือน #เพชรน้ำหนึ่งที่ทำให้คนไทยพิเศษ มีความอ่อนโยน นุ่มนวล น่ารัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยมีปรากฏในชนชาติอื่นมากนัก

จึงสมควรที่ลูกหลานไทยยุคปัจจุบันจะต้องกลับมาทบทวน ฝึกฝนตนเองอีกครั้งหนึ่งเพื่อรักษาวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า และเป็นเอกลักษณ์ของชนชาวไทยนี้ไว้...  ส.สู้ๆ