ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ศัลยกรรมความงาม เสริมหน้าอก เสริมจมูก กล้ามเนื้อตา ทำตาสองชั้น Jarem Clinic

เริ่มโดย wm5398, 12:33 น. 18 เม.ย 64

wm5398

หางเครื่องสายแดนซ์ ทำนมเสร็จ รับทรัพย์รัวๆ | Jarem clinic

สวัสดีค่ะ ชื่อตัวเล็กนะคะ วันนี้มีนัดตรวจหน้าอกกับคุณหมอหลุยส์ที่ Jarem Clinic ค่ะ ก็ครบ 14 วันแล้วนะคะ
เป็นอาชีพแดนเซอร์ค่ะ ก็อยากเสริมให้ตัวเองมีรูปร่างสรีระที่สวยงามขึ้นแล้วก็มั่นใจกว่านี้อะค่ะ ก็เล็กมาก เล็กจนแบบว่าใส่ฟองน้ำนดันก็เท่าไหร่ก็ไม่ขึ้นเลยอะค่ะ ขาดความมั่นใจในการใส่ขุดแดนเซอร์ เวลาขึ้นเต้นมันแบบ ใส่แล้วมันแบบไม่เต็มชุด แบบเวลาเต้นก็จะแบบมีปัญหาแบบเสื้อในเบี้ยวอะไรอย่างเงี้ย ตอนเต้นอะไรอย่างเงี้ยอะค่ะ

ทำซิลิโคน Mentor อะค่ะ ไซซ์ 300 cc ค่ะ ผิวเรียบค่ะ คุณหมอประเมินให้ค่ะ
หาจากใน Google Youtube แล้วก็ใน Facebook ตามเพจด้วยค่ะ ใช่ค่ะ ดูทุกคลิปเลยค่ะ ดูวนจนครบ จนไม่มีอะไรให้ดูแล้วอะค่ะ


ก็แอบกลัวแล้วก็ตื่นเต้นอะค่ะ แบบว่ากลัวจะเจ็บไหมอะไรอย่างที่คนเค้าว่ากันว่าแบบสิบล้อทับอะไรอย่างเงี้ย ก็กลัว กลัวมากค่ะ


ขึ้นไปก็มีคุณหมอที่คอยให้ดมยาสลบก็แบบชวนคุย เราก็รู้สึกหายความกลัวนั้นลงค่ะ ใช่

ก็ตื่นมาก็ปกติ ไม่ ไม่.. ไม่เจ็บหน้าอก มีแอบง่วงนิดนึงค่ะ ไม่เวียนเลยค่ะ ใช้ชีวิตได้ปกติเลยค่ะ เดิน เดินได้ ทำอะไรได้ปกติ ไม่มีปัญหาค่ะ

คุณหมอก็แนะนำห้ามทานของแสลงพวกของหมักดองแล้วก็อาหารทะเล แล้วก็พวกแอลกอฮอล์อะไรพวกนี้อะค่ะ แล้วก็พวกบุหรี่ก็งดสูบ ช่วงแรก ๆ คุณหมอก็แนะนำให้นอน 45 องศา ช่วงแรก ๆ ก่อน ยังไม่แนะนำให้นอนราบ แล้วก็คุณหมอก็ห้ามยกของหนัก แล้วก็งดขับรถช่วงแรก แล้วก็งดเต้นออกกำลังกายไปก่อน ใช่ค่ะ งดรับงานค่ะ


ชีวิตหลังทำนมก็แบบดี ดีค่ะ เพื่อนรอบข้างในวงชมว่าหน้าอกสวยอะไรอย่างงี้ค่ะ เวลาเต้นก็ปัง จะได้ทิปเยอะกว่าเดิม ปกติที่ไม่มีหน้าอกได้เยอะอยู่แล้วแต่นี่คือทำให้ได้เยอะกว่าเดิมค่ะ เพราะว่ามีหน้าอกมา แบบใส่เสื้อผ้าแล้วจะสวยขึ้น ใหญ่ขึ้นอะไรอย่างเงี้ยค่ะ ดูเซ็กซี่
บราเก่า ๆ ก็โละทิ้งหมดเลย ยกตู้เลยอะค่ะ คือใส่ไม่ได้แล้ว รอซื้อใหม่อย่างเดียวค่ะ
รอบหน้าเดี๋ยวมาตรวจครบรอบ 1 เดือนแล้วเดี๋ยวจะเป็นยังไง เดี๋ยวจะมาอัปเดตให้เพื่อน ๆ ฟังอีกทีนะคะ
https://jarem.co.th/reviews-breast-augmentation-27/

wm5398

บอกลานมแข็งเป็นหิน เสริมหน้าอกใหม่กับหมอหลุยส์ | Jarem clinic

สวัสดีค่ะ ชื่อปอนด์นะคะ วันนี้จะมา รีวิวการแก้ไขหน้าอกที่ Jarem Clinic ค่ะ

ปัญหาหลังทำครั้งแรกค่ะ ก็คือเป็นบล็อกค่ะแล้วก็หน้าอกแตกลายค่ะ ประมาณ 3 ปีที่แล้วค่ะ ข้างนึง 325 ข้าง 350 cc ค่ะ เพราะว่าหมอท่านเดิมบอกว่ามันไม่เท่ากันอะค่ะ ทำไม่กี่ปีแล้วก็แข็งค่ะ

แล้วก็มันเริ่มที่จะแข็งหลังจากทำมาประมาณไม่ถึงปีอะค่ะ ไม่เป็นทรงด้วยค่ะแล้วก็ไม่เท่ากันค่ะ เป็นพังผืดอะค่ะ รู้สึกผิดหวังค่ะ แล้วก็จิตตก ใส่เสื้อผ้าไม่มั่นใจค่ะ

ก็ครั้งแรกนะคะที่เสริมคือเป็นการเสริมที่ใช้ยาเบลออะค่ะ ไม่ใช่ยาสลบค่ะ แล้วก็รู้สึกว่ามันทรมานค่ะ คือเรารู้สึกตัวแต่ว่าแบบเราไม่สามารถตอบโต้อะไรได้

หาคลินิกใหม่เพื่อแก้หน้าอกครั้งนี้ดูจาก Youtube ค่ะแล้วก็เพื่อนแนะนำมาด้วยค่ะ แล้วก็ดูรีวิวแล้วเห็นว่าทรงสวยดีค่ะ ก็เลยน่าสนใจ ก็เลยแบบเข้ามาดูค่ะ


แล้วดูคุณหมอที่เป็นศัลยแพทย์เฉพาะทางแล้วก็เห็นว่าเป็นติดอันดับค่ะ แล้วก็คุณหมอหลุยส์ไม่มีเคสหลุดด้วยค่ะ แล้วก็เห็นว่าคลินิกนี้มีวิสัญญีแพทย์เฉพาะทางค่ะ แล้วก็รู้สึกปลอดภัยอะค่ะ

ก็คือหนูเป็นพังผืดระดับที่ 3 แล้วค่ะ คือมันมีทั้งหมด 4 ระดับค่ะ คือระดับที่ 3 ก็คือมันจะเริ่มรู้สึกแข็งค่ะ เป็นหินอย่างเงี้ยค่ะ ก็คือจะแก้ด้วยการเลาะพังผืดเดิมออกค่ะ แล้วก็ใส่ซิลิโคนใหม่ค่ะ แล้วก็แก้จากเหนือกล้ามเนื้อเป็นใต้กล้ามเหนืออะค่ะ
คุณหมอหลุยส์บอกว่าให้ใส่ซิลิโคนได้ 355 cc เท่ากันทั้งสองข้างค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ


ค่ะ ก็หลังจากที่เสริมที่นี่นะคะ รู้สึกว่าฟื้นตัวเร็วกว่าเดิมค่ะ มากกว่ารอบแรกค่ะ คือดีกว่าที่คิดอะค่ะ รู้สึกชิลล์แบบไม่กี่วันก็สามารถเดินห้างได้เลยอะค่ะ
ก็คือความแตกต่างนะคะ จากที่แรกค่ะ รู้สึกว่าพี่แอดมินไม่ค่อยมีความใส่ใจเราอะค่ะ ไปพบคุณหมอที่นั่นได้ตรวจ เจอคุณหมอแค่รอบเดียวค่ะ หลังจากนั้นก็คือมีแต่พี่พนักงานที่ดูแล

มาที่ Jarem พี่แอดมินเค้าใส่ใจดูแลดีมากค่ะ เจอคุณหมอทุกรอบค่ะ แล้วก็ถามเราละเอียดค่ะ แบบใส่ใจรายละเอียด คอยถามตลอดว่าเออ เป็นอย่างไรบ้างอะไรแบบนี้ค่ะ คอยแนะนำถามไถ่เราแล้วก็ห้ามกินอะไรอะไรแบบนี้ค่ะ อย่างเช่น ห้ามกินแอลกอฮอล์ ห้ามกินของหมักดอง แล้วก็ห้ามยกของหนักค่ะ

ค่ะ ฝากถึงทุกคนที่ กำลังหาคลินิกเสริมหน้าอกหรือว่าแก้ไขหน้าอกนะคะ แนะนำที่ Jarem Clinic ค่ะ เพราะว่าคุณหมอและพี่แอดมินมีความใส่ใจค่ะ รับรองไม่ผิดหวังค่ะ
https://jarem.co.th/reviews-breast-augmentation-26/

wm5398

สิ่งที่ควรกิน และอาหารต้องห้ามหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก


หน้าอก นอกจากเป็นสัญลักษณ์ส่วนหนึ่งที่แสดงออกถึงความเป็นเพศหญิง ผู้หญิงส่วนใหญ่ยังต้องการมีรูปร่างที่สมส่วน ศัลยกรรมเสริมหน้าอกให้มีขนาดตามที่ต้องการ จึงกลายเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เชื่อว่าช่วยให้มีรูปร่างสมส่วน เซ็กซี่ ดูดี และสร้างความมั่นใจในการแต่งตัว เมื่อศัลยกรรมเสริมหน้าอกเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ในบทความนี้เรามาดูกันว่าหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรดูแลตจนเองอย่างไร อะไรควรกิน และอาหารต้องห้ามมีอะไรบ้าง

ศัลยกรรมเสริมหน้าอก และการดูแลตนเอง
การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก แพทย์จะให้คำแนะนำในหลาย ๆ ด้าน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเป็นสาเหตุของภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายหรือส่งผลให้หน้าอกที่เสริมเข้าไปไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการ การดูแลด้านโภชนาการคือการดูแลสุขภาพหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายให้ฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าควรกินอะไร และอาหารอะไรที่ต้องห้าม ดังนี้'
1.อาหารที่ควรกินหลังศัลยกรรมหน้าอก
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการศัลยกรรมหน้าอกก็คือแผลผ่าตัด การกินอาหารที่มีประโยชน์จึงนอกจากช่วยฟื้นฟูบำรุงร่างกายแล้ว ยังช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โอกาสในการติดเชื้อก็น้อยลง ช่วยให้เห็นผลลัพธ์จากการศัลยกรรมได้เร็ว ทำให้มีรูปร่างที่สมส่วน มีส่วนเว้าส่วนโค้ง แต่งตัวได้ง่ายและเพิ่มความมั่นใจในบุคลิกภาพของตนเองมากขึ้น อาหารที่ควรกินหลังศัลยกรรมหน้าอก ได้แก่
        - อาหารอ่อน ๆ : หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ช่วงระยะพักฟื้น 1-3 วันแรก ควรกินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊กอาหารประเภทตุ๋น หรือนึ่ง จะช่วยให้ง่ายต่อการกลืนและย่อยง่าย สามารถฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกได้เป็นอย่างดี
        - การทานไข่ : ไข่ เป็นเมนูอาหารที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าเป็นอาหารต้องห้ามสำหรับการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกหรือผ่าตัดอื่น ๆ เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นนูนขึ้นมา ที่เรียกว่า แผลคีลอยด์หรือทำให้แผลหายยาก แต่ในความเป็นจริงไข่เป็นแหล่งโปรตีนที่มีส่วนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหลังการผ่าตัด และจำเป็นต่อการสร้างเนื้อเยื่อและผิวหนังใหม่ที่ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น การกินไข่หลังศัลยกรรมหน้าอก จึงเป็นการเสริมโปรตีนให้กับร่างกาย
        - เนื้อสัตว์ : เมนูอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู ไก่ ปลา และอาหารทะเล อุดมไปด้วยโปรตีนสารอาหารที่ช่วยช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย สมานแผล ช่วยสร้างผิวหนังและเนื้อเยื่อใหม่ให้แข็งแร
        - นม และผลิตภัณฑ์จากนม : นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมพร่องมันเนย โยเกิร์ต หรือนมขาดมันเนย มีโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของเซลล์และเอนไซม์ ในระบบภูมิคุ้มกันซึ่งทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรค ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลติดเชื้อ และยังช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย แต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
        - อาหารที่มีไฟเบอร์สูง : อาหารที่มีไฟเบอร์ หรือมีกากใยอาหารสูง มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ช่วยป้องกันอาการท้องผูกที่อาจส่งผลกระทบต่อแผลผ่าตัด และยังจำเป็นต่อการรักษาแผลผ่าตัด รวมทั้งช่วยในการฟื้นตัวจากการผ่าตัด แหล่งอาหารที่มีไฟเบอร์ ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต รำข้าวโพด ผักต่าง ๆ ถั่วงอก กระหล่ำปลี มะเขือเทศ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี เมล็ดถั่วเปลือกแข็ง เผือก มัน และขนมปังโฮลวีท ผักบุ้งไทย ใบกุยช่าย ใบชะพลู สะเดา กระเจี๊ยบเขียว ผักหวาน แครอท ถั่วเขียว ฝรั่ง แอปเปิล ถั่วลิสง งา เมล็ดทานตะวัน และอื่น ๆ
        - ผลไม้ที่ให้วิตามินซี : ผลไม้โดยเฉพาะกลุ่มที่มีวิตามินซีสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ผู้ที่ผ่าตัดเสริมหน้าอก มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ช่วยให้เซลล์เนื้อเยื่อมีการเจริญเติบโตเชื่อมต่อผสานกันได้ดี ลดอาการบวมช้ำ และมีส่วนช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ผลไม้ที่ควรรับประทาน เช่น
                   - แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่นอกจากมีวิตามินซีสูง กินแล้วช่วยลดอาการอักเสบและสมานแผลผ่าตัดให้หายเร็วขึ้น ยังมีเส้นใยอาหารอยู่จำนวนมาก ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายลดปัญหาท้องผูกได้เป็นอย่างดี
                   - ส้ม ผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว นอกจากกินแล้วช่วยให้รู้สึกสดชื่น ยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและวิตามินซี ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก รวมทั้งมีแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ ที่ช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ซึ่งช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น มีสารต้านอนุมูลอิสระและสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วงพักฟื้นหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรกินส้มวันละ 2-4 ผล โดยกินสลับกับผลไม้ชนิดอื่นด้วย
                   - สตรอว์เบอร์รี่และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ส่วนใหญ่เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงโดยวิตามินซีในสตรอเบอรี่และผลไม้ตระกูลนี้ มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งทำให้ผิวเกิดการยืดหยุ่น และแผลเกิดการสมานกันได้ดีมากขึ้น
                   - ทับทิม ผลไม้ที่นอกจากทานสด ๆ แล้วยังสามารถนำไปคั้นเป็นน้ำผลไม้ช่วยลดการอักเสบของแผลผ่าตัดได้ดี แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
                   - มะละกอสุก ผลไม้ที่หาง่ายและราคาไม่แพง แต่คุณประโยชน์มากมายมีทั้งวิตามินซีและวิตามินเอสูงมาก กินแล้วจะทำให้แผลผ่าตัดหายเร็ว ช่วยกระตุ้นการแบ่งเซลล์ในกระบวนการสร้างผิวหนังใหม่ และยังช่วยป้องกันแผลติดเชื้อได้อีกด้วย

2.อาหารต้องห้ามหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก
การผ่าตัดใด ๆ รวมทั้งการศัลยกรรมเสริมหน้าอก สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก็คือรอยแผลเป็นซึ่งพฤติกรรมการบริโภคมีผลต่อการดูแลรักษาแผลหลังศัลยกรรม เนื่องจากอาหารหลายชนิดเป็นสิ่งต้องห้ามหรือควรหลีกเลี่ยง เพราะมีผลต่อภาวะแทรกซ้อนหรือทำให้แผลเกิดการอักเสบและหายยาก เช่น
         1. ผลไม้ที่มีรสหวาน : ผลไม้ แม้จะมีเส้นใยและวิตามินที่เป็นประโยยชน์ต่อสุขภาพ แต่ผลไม้หลายชนิดที่มีรสหวาน ก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหรือเป็นผลไม้ต้องห้ามสำหรับการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอก เช่น
                   - ขนุน นอกจากเป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัดแล้ว ยังถือเป็นอาหารแสลงสำหรับการผ่าตัดเสริมหน้าอก เนื่องจากกินแล้วอาจทำให้ท้องอืด เพราะแม้จะมีเส้นใยจำนวนมากแต่ย่อยยาก
                   - น้อยหน่า ผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะนอกจากมีรสหวานจัดแล้ว ยังส่งผลทำให้เซลล์ผิวสมานได้ยาก ทำให้แผลหายยากและเสี่ยงต่อการอักเสบได้ง่าย
         2. ผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อนใน : หลังผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอก ในช่วงระยะพักฟื้นควรดูแลร่างกายให้แข็งแรงป้องกันอาการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้ การรับประทานผลไม้บางชนิดที่มีฤทธิ์ร้อนใน แม้จะไม่ส่งผลโดยตรงต่อการผ่าตัดเสริมหน้าอก แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาการร้อนในจากการทานผลไม้อาจทำให้ป่วยไข้ได้ เช่น
                   - ทุเรียน ผลไม้ยอดนิยมนอกจากมีฤทธิ์ร้อนแล้ว ยังมีธาตุอาหารสูง การกินผลไม้ชนิดนี้ใรระยะพักฟื้นอาจทำให้เจ็บป่วยจากภาวะร้อนในได้
                   - ลำไย นอกจากเป็นผลไม้รสหวานจัดแล้ว ยังทราบกันดีว่าเป็นผลไม้ฤทธิ์ร้อน บางคนกินเพียงเล็กน้อยก็ทำให้มีอาการร้อนใน และอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้
                   - ละมุด เป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัด แต่คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ว่าเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อนด้วย การกินผลไม้ชนิดนีอาจทำให้มีอาการร้อนในและเป็นสาเหตุทำให้มีอาการเจ็บป่วยได้
         3. ผลไม้แปรรูปและของหมักดอง : ผลไม้แปรรูป เช่น ผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่ม และของหมักดองต่าง ๆ นอกจากมีความเค็มทำให้แผลมีอาการบวมได้แล้ว หากขั้นตอนการทำไม่สะอาดอาจส่งผลให้แผลผ่าตัดติดเชื้อได้ ช่วงระยะพักฟื้นและแผลยังไม่หายดีควรงดเว้นหรือหลีกเลี่ยงไปก่อนอาหารรสจัด :                    - อาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด หรือเป็นเมนูอาหารที่มีส่วนประกอบของเครื่องเทศสมุนไพร ที่ให้รสชาติร้อนแรง เมื่อกินแล้วความเผ็ดร้อนจะไปกระตุ้นร่างกายให้มีการหลั่งเหงื่อ และ น้ำมูก ออกมาซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะไปปนเปื้อนกับเชื้อโรคต่าง ๆ และสัมผัสกับบริเวณบาดแผลจนทำให้แผลอักเสบได้
                   - ส้มตำและอาหารประเภทยำ : ส้มตำและอาหารประเภทยำ เป็นเมนูอาหารเรียกน้ำย่อยหรืออาหารรสแซบที่มีส่วนประกอบของความเผ็ด ความเค็ม และความเปรี้ยว รวมไปถึง ปลาร้า หรือน้ำปลาร้า ควรหลีกเลี่ยงหรืองดเว้นไปก่อน เพราะการกินอาหารรสจัดอาจทำให้เกิดการคั่งของสารน้ำภายในร่างกาย ส่งผลให้แผลบวมและเสี่ยงต่อการอักเสบได้
                   - เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถือเป็นสิ่งที่ควรงดเว้นหรือหลีกเลี่ยง เพราะการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้แผลหายช้า และทำให้เกิดอาการบวมเขียวช้ำได้ง่าย

3.คำถามเกี่ยวกับการกินและข้อห้ามที่พบได้บ่อย
สำหรับสิ่งที่ควรกินและอาหารต้องห้ามหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก ที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในช่วงพักฟื้นหรือจนกว่าแผลผ่าตัดจะหายแล้ว ยังมีคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับการกินและข้อห้ามที่แพทย์หรือคลินิกความงามมักจะต้องให้คำแนะนำแก่ผู้เข้ารับกับการผ่าตัดเสมอ ๆ ก็คือ
         1. หลังเสริมหน้าอกสามารถกินอาหารเสริมได้ไหม
                   - ปกติการกินอาหารเสริมใด ๆ ศัลยแพทย์มักจะแนะนำให้หยุดกินก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอก เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากวิตามินและอาหารเสริมบางตัวจะมีผลกับการผ่าตัดเสริมหน้าอก เช่น ทำให้การปิดบาดแผลของระบบเลือดทำงานได้ช้าลง ส่งผลให้เลือดไม่ยอมแข็งตัว ซึ่งอาจเกิดอาการบวมช้ำนานกว่าคนอื่น ๆ
                   - สำหรับการกินอาหารเสริมต่าง ๆ เช่น วิตามิน แปะก๊วย โสม น้ำมันปลา วิตามินอี หรือวิตามินบำรุงผิวพรรณ หรืออาหารเสริมประเภทพืชสมุนไพร หากหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอกไปแล้วก็สามารถกินได้ตามปกติ
                   - ส่วนคอลลาเจล ซึ่งถือเป็นอาหารเสริมชนิดหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงและเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย มีบางรายงานทางการแพทย์ระบุว่า การกินคอลลาเจลหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกมีส่วนทำให้เกิดพังผืด แม้ข้อมลจะยังไม่แน่ชัด แต่ก็ควรงดไปเลยหรือรอกินคอลาเจลหลังจากผ่าตัด 3 เดือน ขึ้นไป
         2. หลังเสริมหน้าอกสามารถกินยาลดน้ำหนักได้ไหม
                   - ยาลดน้ำหนัก ถือเป็นอาหารเสริมชนิดหนึ่งแต่มีหลายรูปแบบและหลายประเภท สำหรับคำถามหลังเสริมหน้าอกสามารถกินยาลดน้ำหนักได้ไหม ในทางปฏิบัติอาหารเสริมมีข้อห้ามว่าควรงดเว้นช่วงก่อนผ่าตัดเท่านั้น เนื่องจากอาจมีผลทำให้เลือกแข็งตัวช้า ส่วนหลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอกแล้ว ก็สามารถกินอาหารเสริมได้ตามปกติ ยาลดความอ้วนก็ถือเป็นอาหารเสริมชนิดหนึ่ง แต่น้ำหนักตัวที่ลดและเพิ่มขึ้นก็สามารถส่งผลกระทบกับหน้าอกคู่ใหม่ได้ สิ่งที่ผู้ผ่าตัดเสริมหน้าอกควรพิจารณาประกอบว่าควรกินหรือไม่กิน มี 3 ข้อ ดังนี้
อ่านเพิ่มเติม  https://jarem.co.th/eat-after-breast-augmentation/

wm5398

2 ข้อ ควรรู้ให้จริง ก่อนศัลยกรรม เสริมหน้าอก


"หน้าอก หรือทรวงอก" เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่นิยมทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกกันมาก เพราะหน้าอกคืออวัยวะส่วนที่แสดงความเป็นตัวตนของเพศหญิงได้อย่างชัด รวมทั้งการมีรูปร่างได้สัดส่วนมีส่วนเว้าส่วนโค้งสวยสมส่วน นอกจากทำให้ง่ายต่อการแต่งตัวแล้วยังเป็นการเสริมบุคลิกภาพให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ส่วนใครที่กำลังคิดจะเสริมหน้าอกแต่ยังกล้าๆ กลัว ๆ บทความนี้มี 2 ข้อ ควรรู้เกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมหน้าอก มาแนะนำค่ะ

2 ข้อ ควรรู้ให้จริง ก่อนศัลยกรรม เสริมหน้าอก


การผ่าตัดเสริมเต้านม เป็นศัลยกรรมเกี่ยวกับความสวยความงามที่คนนิยมทำอยู่ในอันดับต้น ๆ และไม่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องการเสริมหน้าอกโดยมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไปตามความต้องการของแต่ละบุคคล สาวประเภทสองหรือเพศที่สามที่มีรูปร่างเป็นชายแต่จิตใจเป็นหญิงก็นิยมผ่าตัดเสริมหน้าอก เพื่อแสดงความเป็นตัวตนของเพศหญิง ทำให้ปัจจุบันมีคลินิกศัลยกรรมเสริมหน้าอกเปิดให้บริการอยู่มากมาย แต่การศัลยกรรมที่จะเสริมสร้างความมั่นใจทั้งในเรื่องความปลอดภัย และความสวยงามของหน้าอก มีสิ่งที่ต้องรู้ให้จริงก่อนศัลยกรรม ดังนี้

1.การเตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก และการตรวจร่างกาย
เมื่อตัดสินใจหรือเริ่มวางแผนผ่าตัดเสริมหน้าอก หลาย ๆ คนอาจเตรียมความพร้อมของตัวเองเป็น
อย่างดี ทั้งการเตรียมร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง การศึกษาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งวิธีดูแลตนเองหลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอกมาแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีและถูกต้องแต่เพื่อให้การเตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย เราแบ่งการเตรียมตัวออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมความพร้อมของตนเองก่อนการศัลยกรรม และการเตรียมความพร้อมตามคำแนะนำของแพทย์
      1. การเตรียมความพร้อมของตนเองก่อนการศัลยกรรมเสริมหน้าอก
              - เตรียมความพร้อมด้านจิตใจ การเตรียมใจก่อนศัลยกรรมหน้าอก ได้แก่เตรียมใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่จะเกิดขึ้นหลังการศัลยกรรมหน้าอก ลดหรือควบคุมจิตใจไม่ให้วิตกกังวล และไม่เครียด โดยเฉพาะก่อนการทำศัลยกรรม ความเครียดอาจส่งผลให้ความดันสูง จนไม่สามารถทำการศัลยกรรมหน้าอกได้
              - เตรียมความพร้อมด้านร่างกาย ศัลยกรรมเสริมหน้าอกเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องเตรียมร่างกายและดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รวมทั้งรู้ความต้องการรู้จุดประสงค์ของตนเองก่อนเป็นสิ่งแรก เช่น ต้องการศัลยกรรมเสริมขนาดหน้าอกเพื่อเสริมบุคลิกภาพ ศัลยกรรมเสริมหน้าอกเพื่อแสดงความเป็นตัวตนของตนเองอย่างชัดเจน ศัลยกรรมเพื่อประโยชน์สำหรับการทำงานที่ต้องเน้นรูปร่างและการแต่งกาย หรือศัลยกรรมหน้าอกเพื่อแก้ไขปัญหาความผิดปกติของหน้าอก
              - เตรียมความพร้อมด้านข้อมูลข่าวสาร การผ่าตัดเสริมหน้าอกแม้จะมีคลินิกหรือสถานเสริมความงามให้บริการอยู่มากมาย แต่ความปลอดภัยและการศัลยกรรมที่ผลลัพธ์ออกมาดี ได้ขนาดหน้าอกที่เหมาะสมกับรูปร่าง หรือแก้ปัญหาความผิดปกติของหน้าอกได้ตามความต้องการ การเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลข่าวสารสำคัญมาก เช่น ข้อมูลของสถานเสริมความงามหรือคลินิกที่ให้บริการ ขนาดที่ต้องการเสริมให้เหมาะกับโครงสร้างของร่างกาย ประเภทและความแตกต่างของซิลิโคนแต่ละประเภท เป็นต้น
              - เตรียมความพร้อมด้านค่าใช้จ่าย หัวใจสำคัญของการผ่าตัดเสริมหน้าอก นอกจากการเตรียมพร้อมด้านค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการผ่าตัดซึ่งก็ไม่ยุ่งยาก เพราะคลินิกส่วนใหญ่มีเรทราคาที่เป็นมาตรฐานให้ลูกค้าได้เลือกอยู่แล้ว แต่ส่วนที่หลายคนอาจไม่ได้จัดเตรียมหรือวางแผนไว้ล่วงหน้าได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดูแลตนเองหลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก เนื่องจากต้องหยุดงานหรือหยุดการทำธุรกิจเพื่อพักฟื้น
      2. การเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอกตามคำแนะนำของแพทย์ตรวจร่างกาย ขนาดทรวงอก และลักษณะเต้านมทั้งสองข้าง
              - ตรวจเลือด ต้องไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอันตรายกับการผ่าตัด
              - เอกซเรย์ปอด
              - ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจตามเกณฑ์
              - งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัดเสริมหน้าอก อย่างน้อย 1 สัปดาห์
              - ก่อนผ้าตัดเสริมหน้าอกอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ให้งดสูบบุหรี่ หรือหยุดกินยาที่มีส่งผลกระทบต่อโรคความดันโลหิต เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
              - หยุดกินวิตามินอี น้ำมันตับปลา สมุนไพร และอาหารเสริมทุกชนิดก่อนการผ่าตัดเสริมหน้าอกอย่างน้อย 1 สัปดาห์
              - วันที่แพทย์นัดก่อนผ่าตัดต้องงดน้ำและอาหาร 12 ชั่วโมง
              - กรณีกำลังจะมีประจำเดือนในช่วงที่ต้องผ่าตัด ควรกินยาเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากการผ่าตัดหน้าอกมีการเสียเลือดมาก
              - วันที่แพทย์นัดผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรอาบน้ำ สระผมมาให้เรียบร้อย
              - ในวันผ่าตัดและออกจากโรงพยาบาลหลังการผ่าตัด ควรสวมเสื้อที่มีกระดุมหน้าแบบหลวม ๆ เพื่อให้สวมใส่ได้สะดวกโดยไม่ต้องยกแขน และควรจัดเตรียมไว้สวมใส่ขณะพักฟื้นด้วย
              - ก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรเตรียมลูกอม หรือสิ่งของที่มีรสเปรี้ยว เนื่องจากคนที่แพ้ยาชาหรือยาสลบ หลังการผ่าตัดอาจมีอาการคลื้นไส้ และอาเจียน การอมลูกอมหรือของเปรี้ยวช่วยลดอาการได้ และยังช่วยให้ไม่กระทบกระเทือนแผลผ่าตัดอีกด้วย

2.วิธีดูแลตัวเองหลังทำนมหรือผ่าตัดเสริมหน้าอก
ในการผ่าตัดเสริมหน้าอก แพทย์จะมีหลายเทคนิควิธีซึ่งแต่ละวิธีก็ยังขึ้นอยู่กับขนาดของซิลิโคน ประเภทของซิลิโคน ตำแหน่งในการวางซิลิโคนหน้าอก และปัจจัยส่วนบุคคลซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ทำให้การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกมีแนวทางแตกต่างกันออกไปด้วย ตัวอย่างเช่น แพทย์เลือกใช้เทคนิคผ่าตัดที่เสียเลือดน้อย เวลาในการพักฟื้นก็จะไม่นาน ส่วนการดูแลตนเองหลังทำนมหรือผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ควรรู้ มีดังนี้
      1. การดูแลแผลผ่าตัด
              - ภายในสัปดาห์แรกหลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรระมัดระวังและป้องกันไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ
              - ระยะพักฟื้นควรสวมเสื้อติดกระดุมหน้าทรงหลวม ๆ เพื่อช่วยให้สวมใส่ง่ายและไม่ต้องยกแขน ช่วยลดอาการเจ็บปวดได้ดี
              - หากมีอาการปวดแผล ให้กินยาลดอาการปวด เช่น กินยาแก้ปวดทุก 6 ชม. กินยาต่อเนื่อง 1 เม็ด หลังอาหาร เช้า-กลางวัน-เย็น หรือกินตามคำแนะนำของศัลยแพทย์
              - การดูแลแผลผ่าตัดที่ยังมีอาการปวด ให้นอนศีรษะสูงเพื่อช่วยลดอาการบวมแน่น
              - หลีกเลี่ยงการใช้แขนหรือออกแรงมาก เนื่องจากบริเวณหน้าอกจะเป็นส่วนที่อยู่ใกล้แขนการออกแรงมากจะยิ่งทำให้แผลหายช้า และแผลผ่าตัดมีโอกาสอักเสบได้
              - หลังผ่าตัดวันแรก สามารถประคบเย็นได้ตั้งแต่กลับถึงบ้านและประคบได้นาน 7-10 วัน ข้อดีได้แก่ ช่วยลดอาการตึงของหน้าอก บรรเทาอาการปวด ลดความเขียวช้ำ และช่วยให้อาการบวมยุบได้เร็ว
              - การผ่าตัดเสริมหน้าอก ไหมที่เย็บแผลแพทย์จะใช้เป็นไหมละลายซึ่งต้องใช้เวลาในการสลายตัวประมาณหกถึงแปดสัปดาห์ หากหลังจากนั้นยังพบว่ามีไหมโผล่อย่าพยายามดึงออกเอง ควรโทรนัดหรือปรึกษาแพทย์เพื่อสะกิดเอาไหมออก
              - พบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจเช็คแผลผ่าตัด โดยทั่วไปแพทย์จะนัดเพื่อเปิดดูแผลประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังผ่าตัด
      2. การดูแลหน้าอกหลังใส่ซิลิโคนหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกควรนอนให้ถูกท่า โดยช่วง 3 วันแรกนอนหงายรองศีรษะให้สูง เพื่อช่วยลดอาการบวม ช่วง 7 วัน ถึง 6 สัปดาห์ ให้นอนหงายห้ามนอนตะแคงหรือนอนคว่ำหน้า เพราะอาจจะทำให้หน้าอกบิดเบี้ยวผิดรูปทรงได้
              - หลังจากศัลยกรรมเสริมหน้าอกแพทย์จะพันผ้าไว้ และให้สวมซัพพอร์ตบรา ควรเลือกซัพพอร์ตบราที่ออกแบบมาสำหรับเคสที่เสริมหน้าอกเท่านั้น เพื่อพยุงให้หน้าอกอยุ่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และช่วยป้องกันซิลิโคนลอย
              - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรหลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อในที่มีโครงอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับหรือกระแทกบริเวณหน้าอก
              - นวดหน้าอกตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากการนวดหน้าอกจะช่วยให้หน้าอกนิ่ม ไม่แข็ง ไม่ทำให้เกิดพังผืด เมื่อสัมผัสมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
              - การดูแลในระยะยาวหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรหมั่นตรวจเช็กหน้าอกด้วยตัวเองและตรวจแมมโมแกรมตามกำหนด
      3. การดูแลอื่น ๆ หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก
              - การพักฟื้นอยู่บ้านควรมีเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวอยู่ด้วยตลอดเวลา เพื่อช่วยเหลือรวมทั้งเฝ้าดูอาการหลังการผ่าตัด
              - 1-2 วันแรกหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ให้ดื่มน้ำดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ให้มาก ๆ ควรหลีกเลี่ยงหรืองดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากจะทำให้ฟื้นตัวช้า
              - เลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือ หรือมีรสเค็มในช่วงสัปดาห์แรกเพราะอาจทำให้มีอาการบวมมากขึ้น
              - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ช่วงพักฟื้นควรพักผ่อนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
              - ช่วงสัปดาห์แรก งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการสูดควันบุหรี่จากคนอื่นเช่นกัน
      4. ภาวะหรือผลข้างเคียงหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ต้องรีบไปพบแพทย์
              - หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก เมื่อกลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้วยังมีไข้สูงไม่ลด ควรรีบไปพบแพทย์เพราะอาจอักเสบหรือแผลติดเชื้อ
              - หลังกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ยังมีเลือดสดออกมากที่บริเวณแผลผ่าตัด
              - แผลผ่าตัดมีอาการบวมแดงอย่างรวดเร็วและเห็นได้ชัด ปวดแผลมากขึ้นทานยาแก้ปวดแล้วอาการไม่ลดลง
              - หลังผ่าตัดหรือช่วงพักฟื้น มีของเหลวจากร่างกายออกมาตามแนวแผลผ่าตัด
อ่านเพิ่มเติม  https://jarem.co.th/know-before-breast-augmentation/

wm5398

4 ข้อ ควรรู้หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก

เชื่อว่าทุกคนที่สนใจและมีการวางแผนผ่าตัดเสริมหน้าอก ก่อนศัลยกรรมจะต้องศึกษาข้อมูลต่าง ๆ มาแล้วเป็นอย่างดีทั้งการเลือกคลินิกที่ให้บริการ ขนาดหน้าอก ประเภทของซิลิโคน ค่าใช้จ่าย และการดูแลตนเองให้พร้อมสำหรับการผ่าตัดเสริมหน้าอก ซึ่งนอกจากศึกษาข้อมูลด้วยตนเองแล้วยังขอรับคำแนะนำจากคลินิกหรือศัลยแพทย์ได้ด้วย ส่วนในบทความนี้เรามี 4 ข้อควรรู้หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก มาแนะนำให้เป็นความรู้ค่ะ

4 ข้อ ควรรู้หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก
หลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก แพทย์จะมีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูแลตนเอง แต่อาการและปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากศัลยกรรมเสริมหน้าอกของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันไป การดูแลก็จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามอาการและตามปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากศัลยกรรมหน้าอก ดังนี้

อาการหลังเสริมหน้าอก 1 เดือน
หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก ในระยะแรก ๆ อาการและการดูแลตนเอง อาจเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น อาการปวด บวม ช้ำ หรือเลือดซึม การดูแลตนเองอย่างดีตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งใช้เวลาพักฟื้น 1-2 เดือน อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นจนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่วนอาการของแต่ละบุคคลหลังเสริมหน้าอก 1 เดือนอาจจะแตกต่างกันไป โดยปกติแล้วอาการหลังศัลยกรรมเสริมหน้าอกในแต่ละช่วง อาจมีอาการ ดังนี้
1. อาการหลังการผ่าตัดจนได้รับอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้
           - การศัลยกรรมเสริมหน้าอก เป็นการผ่าตัดที่ต้องวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ หลังจากผ่าตัดควรพักฟื้นที่โรงพยาบาล 1 คืน หากไม่มีอาการผิดปกติและผู้ที่ผ่าตัดไม่สะดวกที่จะนอนพักฟื้นในโรงพยาบาล หลังผ่าตัดแล้วควรพักไม่น้อยกว่า 3-4 ชั่วโมง หลังจากนั้นศัลยแพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้
2. อาการช่วงพักฟื้นระยะ 3-5 วันแรก
           - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอกและกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ระยะ 3-5 วันแรกจะยังมีอาการปวด บวม ช้ำ และรู้สึกระคายเคืองมาก เนื่องจากร่างกายยังไม่ชินกับสภาพใหม่ของเต้านม ในบางคนอาจมีเลือดซึมออกจากแผลเป็นระยะทำให้รู้สึกปวด หากมีเลือดออกมากผิดปกติ ควรพบแพทย์หรือปรึกษาแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด สำหรับการดูแลตนเองต้องกินยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวมาก ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลผ่าตัดกระทบกระเทือน
3. อาการหลังจากผ่าตัดได้ 1 สัปดาห์
           - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอกได้ 1 สัปดาห์ อาการปวด บวม ช้ำ และอาการระคายเคืองจะเริ่มลดลง แม้จะจะยังมีอาการปวดบวมอยู่บ้าง แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ควรระมัดระวังไม่ทำกิจกรรมหนักๆ ที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวมาก ๆ อย่างน้อย 3 สัปดาห์
4. อาการหลังจากผ่าตัดได้ 1 เดือน
           - โดยทั่วไปอาการหลังผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกจะเริ่มเป็นปกติหรือเกือบปกติ เมื่อร่างกายได้ฟื้นฟูเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 เดือน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการดูแลตนเองของแต่ละบุคคล หลังจากนั้นภายใน 2-3 เดือนร่างกายและเต้านมจะเริ่มเข้าที่และใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ควรตรวจเช็กความผิดปกติอย่างสม่ำเสมอจนกว่าซิลิโคนจะหมดอายุการใช้งาน

ปัญหาที่พบได้หลังเสริมหน้าอก
ศัลยกรรมหน้าอกนอกจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ ยังเป็นการศัลยกรรมเพื่อนำซิลิโคนหรือเต้านมเทียมใส่เข้าไปในร่างกาย ปัญหาที่พบหลังเสริมหน้าอกจึงเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบและหลายลักษณะมีทั้งอาการผิดปกติที่ต้องรีบพบแพทย์และความผิดปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ ถือเป็นเรื่องปกติของการศัลยกรรมหน้าอก ดังนี้

1. อาการผิดปกติหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ต้องพบแพทย์
          - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก หรือระยะพักฟื้นมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือหายใจหอบถี่
          - อาการบวมไม่ลดลง มีอาการแสบร้อนและมีรอยแดงบริเวณเต้านม รวมทั้งมีไข้สูงอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
          - อาการปวดผลผ่าตัดที่เกิดขึ้นเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ หรือแผลหายสนิทแล้วแต่ยังคงรู้สึกปวดอยู่
          - ปวดหลังและไหล่อย่างรุนแรง รอยแผลเขียวช้ำและมีเลือดคั่งผิดปกติ
          - สังเกตความผิดปกติของซิลิโคนที่อาจเคลื่อนหรือหมุนจนได้ หรือเต้านมแข็งผิดปกติ
          - มีตุ่มหรือก้อนแข็งบริเวณเต้านม หรือหน้าอก อาจเกิดจากซิลิโคนรั่ว
          - บริเวณใต้รักแร้มีก้อนแข็ง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกความผิดปกติของต่อมน้ำเหลือง

2. อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังเสริมหน้าอกและหายได้เอง
          - ปัญหาปวดแผลหลังผ่าตัด เป็นอาการปกติของทุกคนที่ศัลยกรรมเสริมหน้าอก โดยจะมีอาการประมาณ 3 – 4 สัปดาห์แรกหลังการศัลยกรรม ซึ่งเป็นช่วงพักฟื้น จากนั้นอาการจะเริ่มเป็นปกติ
          - รู้สึกปวดร้าวไปถึงหัวไหล่และหลัง โดยเฉพาะแผลผ่าตัดที่ใต้รักแร้มักปวดมากกว่า และหายช้ากว่าแผลที่หัวนมหรือใต้ราวนม เนื่องจากมีการเสียดสีของซิลิโคนที่เสริมเข้าไปมีขนาดใหญ่
          - รู้สึกคันรอบ ๆ เต้านมหรือคันบริเวณแผลผ่าตัด ถือเป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากการเสริมซิลิโคนเข้าไป ทำให้ผิวหนังบริเวณเต้านมตึงและมีอาการคัน โดยอาการคันจะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 1 – 2 สัปดาห์
          - อาการชาที่เต้านมหลังศัลยกรรม เป็นอาการชาที่เกิดขึ้นและหายได้เองภายใน 1 เดือน ส่วนในคนผ่าตัดเสริมซิลิโคนขนาดใหญ่เกินไป ถุงซิลิโคนก็อาจไปกดทับเส้นประสาททั้งหมดจนทำให้สูญเสียความรู้สึกและมีอาการชาซึ่งอาจเป็นไปตลอดระยะเวลาในการเสริมหน้าอก

หลังเสริมหน้าอกควรนอนท่าไหนดี
ปัญหาที่หลาย ๆ คนสงสัยหรือมักมีคำถามหลังจากศัลยกรรมเสริมหน้าอกมาแล้วก็คือ หลังเสริมหน้าอกควรนอนท่าไหนดี สามารถนอนในท่าปกติที่เคยนอน เช่น นอนคว่ำ นอนตะแคง หรือนอนหงาย ได้หรือไม่ สำหรับท่านอนที่เหมาะสมของคนที่ผ่าตัดเสริมหน้าอก ศัลยแพทย์จะให้คำแนะนำ ดังนี้
          - ในช่วงอาทิตย์แรกหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ท่านอนที่เหมาะสมคือการนอนหงาย ควรนอนให้ลำตัวส่วนบนสูงประมาณ 30-45 องศา โดยใช้หมอนรองหลัง 2-3 ใบ เพื่อให้ถุงเต้านมอยู่กับที่และรักษาแผลผ่าตัดให้หายได้เร็ว สามารถลุกนั่งได้ง่ายช่วยป้องกันแผลเกิดภาวะตึงหรือว่าเกิด Stretch ที่แผลทำให้เกิดการอักเสบได้ นอกจากนั้นการนอนให้หัวสูงจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และช่วยให้อาการบวมที่หน้าอกลดลง
          - ระยะพักฟื้นระหว่าง 7- 30 วันขึ้นไป ควรนอนหงาย เนื่องจากการนอนตะแคงหากหน้าอกยังไม่เข้าที่ นอกจากทำให้มีอาการเจ็บแล้ว หากนอนตะแคงนาน ๆ จะทำให้เกิดแรงดันต่อซิลิโคน ทำให้ซิลิโคนพลิกได้
          - หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก จึงควรสวมใส่ Post-op Bra ล็อกนมไว้ตลอดการนอน โดยเฉพาะในช่วง1-2 เดือนแรก และควรใส่ Post-opบราไว้ตลอดแม้ในช่วงเวลาปกติด้วย

หลังเสริมหน้าอกกี่วัน ถึงจะนอนตะแคงได้
หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก การดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอกให้ดีที่สุดก็คือการรักษารูปทรงของหน้าอกโดยการนอนในท่าที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ซิลิโคนเคลื่อนตัว สำหรับการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ ทำได้ ดังนี้
          - หากเป็นการผ่าตัดเสริมหน้าอกทางราวนม ช่วง 3 เดือนซึ่งเป็นระยะพักฟื้นไม่ควรนอนคว่ำ เพราะอาจเป็นอันตรายทำให้ไหมละลายที่เย็บไว้หลุดก่อนกำหนดหรือทำให้เกิดแผลกดทับได้
          - ส่วนการนอนตะแคง กรณีผ่าตัดเสริมหน้าอกทางรักแร้ หลังผ่าตัด 3 สัปดาห์หากไม่มีอาการเจ็บแผลก็สามารถนอนตะแคงได้
          - การนอนคว่ำ ต้องรอให้อาการอักเสบของกล้ามเนื้อลดลงก่อน อาจใช้เวลาหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกอย่างน้อย 2 เดือน

ศัลยกรรมเสริมหน้าอก ถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่นอกจากต้องเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัดเป็นอย่างดีแล้ว การดูแลตนเองหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกก็สำคัญและจำเป็น โดยเฉพาะคนที่ใช้วิธีการผ่าตัดเสริมซิลิโคนศัลยแพทย์จะให้ดมยาสลบก่อนผ่าตัด แต่หากเป็นการเสริมหน้าอกด้วยการฉีดไขมัน ศัลยแพทย์อาจใช้วิธีฉีดยาชาเฉพาะที่เท่านั้น แต่ไม่ว่าจะผ่าตัดเสริมหน้าอกด้วยวิธีการใด ทั้ง 4 ข้อควรรู้หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก คือแนวทางการรักษาตัวเองหลังทำศัลยกรรมหน้าอกให้ปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนและได้รูปทรงหน้าอกที่สวยเป็นธรรมชาติตามที่ต้องการ
https://jarem.co.th/know-after-breast-augmentation/

wm5398

อาการชา และรอยเขียวช้ำหลังเสริมหน้าอก เกิดจากอะไร


ศัลยกรรมเสริมหน้าอก เป็นการผ่าตัดที่ต้องดูแลและเตรียมความพร้อมของร่างกายตั้งแต่ก่อนผ่าตัดและยังต้องดูแลตนเองหลังผ่าตัดเป็นอย่างดี เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาพักฟื้นอย่างน้อย 1-2 เดือนจึงจะกลับมาทำกิจกรรมได้ตามปกติ อาการชา และรอยเขียวช้ำเป็นอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นได้หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก สาเหตุเกิดจากอะไร บทความนี้มีความรู้มาแนะนำค่ะ

อาการและผลข้างเคียงหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก

อาการและผลข้างเคียงหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก
หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก จะมีอาการและผลข้างเคียงที่เกิดจากการศัลยกรรมทั้งในระยะสั้นที่อยู่ในช่วงพักฟื้นและอาการในระยะยาว เมื่อมีอาการเกิดขึ้นหลายคนมักกังวลว่าอาการแบบไหนกันแน่ที่ผิดปกติ และกังวลเกรงจะส่งผลต่อรูปทรงของเต้านม ซึ่งอาการและผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป ที่พบได้บ่อยมี ดังนี้
         1. มีอาการปวดและแผลบวม ซึ่งเป็นอาการปกติหลังการผ่าตัดทุกชนิด เพราะเมื่อเนื้อเยื่อได้ถูกกระทำก็จะทำให้มีอาการปวดบวมได้ โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์หลังการผ่าตัด และคุณหมออาจสั่งยากลุ่ม Arnica ให้กินเพื่อช่วยลดอาการบวม
         2. ในบางคนอาจมีเลือดหรือของเหลวอื่น ๆ ไหลออกมาจากรอยแผลผ่าตัด หากมีอาการในช่วง 1-3 วันแรกหลังผ่าตัด ถือเป็นอาการปกติที่อาจเกิดขึ้นได้และจะค่อย ๆ ดีขึ้น กรณีมีเลือดออกมากผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษา
         3. มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นในบางคนเท่านั้น เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการดมยาสลบ แพทย์อาจให้กินยาลดอาเจียนก็สามารถช่วยให้ผู้ที่มีอาการเหล่านี้ดีขึ้น
         4. อาการคันบริเวณแผลผ่าตัด เป็นอาการปกติของแผลผ่าตัดทุกชนิด เนื่องจากการกระทบกระเทือนของเส้นประสาทรับความรู้สึก มักเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 2 หลังการผ่าตัดและจะดีขึ้นเองภายใน 1-2 สัปดาห์
         5. อาการคันบริเวณรอบ ๆ เต้านม เกิดจากการที่ผิวหนังตึงเพราะมีการเสริมซิลิโคนหรือเต้านมเทียมเข้าไป ทำให้ผิวหนังบริเวณหน้าอกตึงใสจากการบวมและจากยาชาที่ฉีดขณะที่ทำการผ่าตัด และโดยทั่วไป อาการบวมตึงจะลดลงภายใน 2-3 สัปดาห์ ผิวหนังบริเวณนั้นจะดูปกติและเป็นธรรมชาติ เพื่อบรรเทาอาการคันและลดอาการตึงของผิวหนัง สามารถใช้โลชั่นทาผิวเพื่อลดอาการตึงแต่อย่าให้ถูกแผลผ่าตัด รวมทั้งใช้วิธีประคบเย็นก็ช่วยให้อาการดีขึ้นได้
         6. อาการหัวนมหรือบริเวณเต้านมไวต่อความรู้สึก หรือมีความรู้สึกลดน้อยลง ซึ่งอาการจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล อาจเกิดจากปลายประสาทได้รับความเสียหาย โดยปกติอาการหัวนมหรือบริเวณเต้านมไวต่อความรู้สึก และในบางคนอาจความรู้สึกลดน้อยลง ไม่ใช่อาการที่น่ากังวลใจ เพราะส่วนใหญ่จะค่อยๆ ดีขึ้นจนหายได้เอง
         7. มีอาการปวดร้าวที่แขนหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ปกติอาการปวดจากการผ่าตัดเสริมหน้าอกอาจแตกต่างกันไปตามภาวะของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับตำแหน่งของแผลผ่าตัด เช่น
                - การผ่าตัดใต้กล้ามเนื้อจะมีอาการปวดมากกว่าเหนือกล้ามเนื้อ
                - แผลผ่าตัดที่อยู่บริเวณรักแร้จะทำให้ปวดมากกว่าแผลที่อยู่ที่หัวนมหรือใต้ราวนม
                - ส่วนวิธีดูแลเมื่อมีอาการปวดร้าวที่แขนหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก ในช่วงนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลแพทย์อาจใช้ยากลุ่ม มอร์ฟีน เพื่อระงับอาการปวด และช่วงพักฟื้นที่บ้านสามารถใช้ยาแก้ปวดกลุ่มพาราเซตามอล ร่วมกับยาแก้ปวดอื่นได้ โดยทั่วไปอาการปวดจะดีขึ้นในช่วง 2-3 วัน นอกจากนั้นอาจแกไขโดยการประคบน้ำอุ่นร่วมกับการกินยาแก้ปวดและงดการเคลื่อนไหวที่รุนแรง
         8. มีอาการเจ็บแปลบๆ ในบางตำแหน่ง อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอก เนื่องจากการผ่าตัดอาจกระทบกระเทือนเส้นประสาทรับความรู้สึก หากมีเพียงอาการเจ็บแปลบ ๆ หลังจากพักฟื้นอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่กรณีที่มีอาการปวดและมีการบวมแดงหรือเขียวช้ำควรกลับมาให้แพทย์ตรวจโดยทันที
         9. เกิดรอยแผลเป็นหรือรอยแผลเป็นนูน ศัลยกรรมเสริมหน้าอกอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้แต่ในบางรายหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกแล้วอาจเกิดแผลเป็นนูนที่เห็นริ้วรอยได้อย่างชัดเจน การแก้ไขรอย แผลเป็นทำได้หลายวิธีแพทย์อาจแนะนำยาที่ช่วยลดปัญหาแผลเป็น เช่น วิตามิน E ฮีลูดอยด์ สเตียรอยด์ รวมทั้งการนวดบริเวณแผลเป็น ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้แผลนิ่มและแบนลง ช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นที่เป็นรอยนูนได้
         10. อาการอัดอัดและแน่นหน้าอก หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอกเมื่อผ่านระยะพักฟื้นหรือแผลเริ่มหายดี และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่บางคนอาจรู้สึกอึดอัดแน่นหน้าอก อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากยังไม่ชินกับซิลิโคน
         11. ผิวหนังบริเวณหน้าอกมีรอยเหี่ยวย่น ปัญหานี้มักเกิดกับคนที่มีรูปร่างอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน เมื่อผ่าตัดเสริมหน้าอกแล้วมีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว หรือมีการลดน้ำหนัก เมื่อเวลาผ่านไปผิวหนังบริเวณหน้าอกอาจมีรอยเหี่ยวย่นมากกว่าปกติ แม้จะเอาซิลิโคนหรือเต้านมเทียมออกก็ไม่สามารถช่วยได้
         12. ขนาดหน้าอกไม่เท่ากัน โดยทั่วไปเต้านมข้างซ้ายและข้างขวาจะมีรูปร่างแตกต่างกันเสมอตั้งแต่ก่อนผ่าตัด หลังการผ่าตัด การหายของแผลแต่ละข้างก็จะแตกต่างกันโดยที่ข้างหนึ่งเจ็บแต่อีกข้างหนึ่งจะไม่รู้สึกเจ็บ หรือข้างหนึ่งอาจบวมกว่าอีกข้างหนึ่ง แต่หลังจากแผลหายสนิทแล้วทั้งสองข้างจะดูใกล้เคียงกันและเป็นธรรมชาติ


อาการชาหลังเสริมหน้าอก เกิดจากอะไร
อาการชาหลังเสริมหน้าอก ก็เป็นอีกภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ลักษณะการชาคือจะรู้สึกชาที่หัวนม ซึ่งอาการในแต่ละบุคคลก็จะแตกต่างกันออกไป ผู้ที่ผ่าตัดเสริมหน้าอกบางรายอาจมีอาการชาที่หัวนมเพียงข้างเดียวในขณะที่บางคนมีอาการชาทั้งสองข้าง โดยอาการเหล่านี้เป็นภาวะที่เกิดการยืดขยาย เกิดการบาดเจ็บและการบอบช้ำต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยงความรู้สึกของหัวนม ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งของการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก แต่ไม่เป็นอันตรายต่อท่อน้ำนมหรือส่วนอื่น ๆ และอาการมักดีขึ้นเองลักษณะและอาการชาที่หัวนม

อาการชาหัวนมที่เกิดขึ้นชั่วคราว
        - หลังศัลยกรรมเสริมหน้าอกอาจเกิดอาการชาที่หัวนมหรือบริเวณเต้านมได้ แต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นไม่นานและสามารถหายเป็นปกติได้เมื่อพักฟื้นอย่างเพียงพอ ส่วนสาเหตุหลัก ๆ เกิดจากการกระทบกระเทือนเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียงกันซึ่งเกิดขึ้นจากการผ่าตัดแต่เส้นประสาทเหล่านั้นสามารถเชื่อมต่อกันได้เอง
        - อาการชาหัวนมถาวร อาการเหล่านี้จะมีลักษณการชาที่หัวนมหรือบริเวณเต้านมเช่นเดียวกับอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่อาการชาจะไม่หายไปและจะเป็นอย่างถาวร เนื่องจากขณะผ่าตัดเสริมหน้าอก เกิดการกระทบกระเทือนเส้นประสาทที่แยกห่างออกจากกันมาก จนไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้เอง

อาการชาที่หัวนมเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง
อาการชาหัวนมหรือชาบริเวณเต้านมที่เกิดขึ้นหลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก ทั้งเกิดขึ้นชั่วคราวสามารถหายได้เองหลังจากพักฟื้นอย่างเพียงพอ และอาการชาหัวนมถาวร นอกจากมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากการกระทบกระเทือนของเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียงกันและแยกห่างออกจากกันมาก ๆ แล้ว ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
        - การเสริมซิลิโคนหรือเต้านมเทียมที่มีขนาดใหญ่เกินไป
        - เกิดจากการผ่าตัดที่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยงหัวนม
        - เกิดจากการผ่าตัดเสริมซิลิโคนเข้าทางปานนม
        - เกิดจากการผ่าตัดเสริมซิลิโคนในตำแหน่งเหนือกล้ามเนื้อ
อ่านเพิ่มเติม  https://jarem.co.th/ruising-after-breast-augmentation/

wm5398

เสริมหน้าอก ทำนม อยู่ได้กี่ปี Jarem Clinic


ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องของผู้หญิงและหน้าอกเป็นสิ่งที่อยู่เคียงคู่กัน นอกจากหน้าตาที่ช่วยเสริมเสน่ห์ให้แก่สาวๆ แล้ว การที่มีรูปร่างและสัดส่วนที่เข้ารูปและสวยงามก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของผู้หญิงเกือบทุกคน อีกทั้งการที่มีหน้าอกที่พอดีและเหมาะสม ได้รูปและมีขนาดตามที่ต้องการยังสามารถช่วยส่งเสริมการสวมใส่เสื้อผ้าให้ออกมาดูดีและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ก็มีทางเลือกในการเพิ่มเสน่ห์ให้กับเรือนร่างและหน้าอก นั่นก็คือ การทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกหรือ ทำนม ที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมมาอย่างยาวนาน แต่แน่นอนว่าการทำศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องที่สามารถตัดสินใจได้ง่ายมากนัก ต้องมีการศึกษาข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของอายุการใช้งานและการหมดอายุของซิลิโคนหน้าอกที่ทำให้คนมีข้อสงสัยว่าจะอยู่ได้กี่ปี ต้องเปลี่ยนตอนช่วงเวลาไหน สามารถใช้งานได้ตลอดชีวิตหรือไม่ เราจะพาคุณไปหาคำตอบเพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมตัว เสริมหน้าอก ทำนม กัน

การเสริมหน้าอก ทำนม คืออะไร?
การเตรียมความพร้อมในการศัลยกรรมเสริมหน้าอก หรือ Breast Augmentation เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยวัตถุประสงค์ในการ ทำนม หรือ ผ่าตัดเสริมหน้าอก ก็มีอยู่หลายเหตุผล เช่น ปัญหาเรื่องหน้าอกหย่อนคล้อย, หน้าอกมีขนาดเล็ก, ปัญหาหน้าอกไม่เท่ากัน อีกทั้งในปัจจุบันนี้การเสริมหน้าอกยังสามารถผ่าตัดได้ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่จำเป็นต้องตัดเต้านมออก ในรายที่รักษาหายขาดแล้วก็สามารถใช้การผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกเข้ามาเป็นตัวช่วยในการเสริมหน้าอกให้กลับมาเท่ากันตามปกติ

การผ่าตัดทำนม เป็นการศัลยกรรมที่มีการพัฒนาสูงด้วยปัจจัยทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องของหน้าอกได้อย่างแท้จริง อีกทั้งยังปลอดภัยและทำได้อย่างง่ายดาย โดยความหมายตรงตัวของการทำศัลยกรรมหน้าอก คือการผ่าตัดเพื่อเพิ่มขนาดหน้าอก รวมถึงการเสริมหน้าอกให้มีรูปทรงที่ดียิ่งขึ้น แก้ไขขนาด รูปทรงที่มีความผิดปกติ ปัญหาเต้านมหย่อนคล้อย นั่นเอง

เสริมหน้าอก ทำนม หมดอายุได้หรือไม่?
หลังจากที่เราทำความรู้จักเกี่ยวกับความหมายและรายละเอียดของการศัลกยรรมเสริมหน้าอกแล้ว เรื่องของอายุการใช้งานก็เป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจเช่นเดียวกันว่าซิลิโคนในการเสริมหน้าอกสามารถอยู่ได้นานหรือไม่ โดยเราจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ นั่นคือ อายุการใช้งานของ ตัวถุง และ สารที่อยู่ภายในถุงซิลิโคน ซึ่งในกรณีที่เป็นตัวถุงซิลิโคน หรือ ตัวซิลิโคน นั้นมีอายุการใช้งานที่ยืนยาวมากกว่าอายุคนและสามารถคงสภาพได้อย่างยาวนานมาก

สำหรับ สารที่อยู่ในตัวถุงซิลิโคน หรือ ซิลิโครเจล  ที่จะเป็นสารที่บรรจุไว้ภายในถุงและมีคุณสมบัติในการสามารถจับตัวกัน ไม่กระจายตัว โดยซิลิโคนที่ถูกเสริมเขาไปยังมีอายุที่ยืนยาวมาก อย่างไรก็ตาม อัตราการรั่วไหลของซิลิโคนในทุกยี่ห้อจะมีอายุการใช้งานราวๆ 10 ปี ต่อ 10% ทำให้ในหลายคนที่ทำศัลยกรรมหน้าอกมักจะเกิดปัญหาด้านการแข็งตัว รูปร่างของเต้านมที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มาจากผู้เสริมหน้าอกในด้านของพฤติกรรมและการใช้ชีวิตประจำวัน

โดยก่อนหน้านั้น หลายๆ คนอาจจะได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการศัลยกรรมหน้าอก ว่าควรมีการเปลี่ยนซิลิโคนในทุกๆ ระยะเวลา 10 ปี เนื่องจากการเสื่อมสภาพจากที่กล่าวไปข้างต้นจากปัญหาการรั่วซึมของซิลิโคน อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวก็ลดน้อยลงอย่างมากเนื่องจากการพัฒนาของซิลิโคนที่มีความทันสมัยและใช้เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมาปรับเปลี่ยนจนทำให้เกิดมาตรฐานที่ดียิ่งกว่าเดิม อีกทั้งยังผ่านการรับรองและมีการันตีอย่างถูกต้องถึงการใช้งานที่ไม่มีวันหมดอายุ ถ้าหากไม่เกิดปัญหาใด ผู้เสริมหน้าอกสามารถที่จะใช้ชีวิตตามปกติไปได้ตลอดชีวิตนั่นเอง

กล่าวได้ว่า การเสริมหน้าอก ทำนม อยู่ได้กี่ปี ก็ต้องบอกเลยว่าสามารถอยู่ได้ตลอดชีวิต เนื่องจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและซิลิโคนที่ดียิ่งกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม ผู้เสริมหน้าอกควรมีการหมั่นตรวจสอบเกี่ยวกับหน้าอกตนเองอยู่เสมอ รวมถึงการเตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก ทำนม ว่าควรจะเลือกซิลิโคนที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานที่ดีที่สุด สำรวจเกี่ยวกับรูปทรง ขนาดซิลิโคนที่เหมาะสม และถ้าหากเกิดสิ่งผิดปกติใดในการเสริมหน้าอกก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเร่งด่วน

การดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอกให้ซิลิโคนอยู่ยาวนาน
หลังจากที่เราสามารถรู้คำตอบได้แล้วว่า เสริมหน้าอก ทำนม อยู่ได้กี่ปี จะเห็นได้ว่าสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาอายุการใช้งานของซิลิโคนก็คือ การดูแลตนเองของผู้เสริมหน้าอก ที่แนะนำว่าควรสวมสปอร์ตบราหลังจากเสริมราวๆ 2 – 4 สัปดาห์ เพื่อที่จะช่วยให้หน้าอกเข้ารูปและพยุงซิลิโคนให้มีรูปทรงที่เหมาะสม นอกจากนี้หลังจากเสริมหน้าอย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ ไม่ควรยกของหนัก หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องเผชิญกับแรงกระแทกและหนัก เช่น การกระโดด การว่ายน้ำหรือการวิ่ง เป็นต้น

และนี่ก็เป็นเรื่องราวควรรู้สำหรับการตัดสินใจเสริมหน้าอก ทำนม ว่าสามารถอยู่ได้กี่ปี มีวันหมดอายุหรือไม่ เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจถึงหลักการเตรียมความพร้อม ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจและลดความกังวลในการศัลกยกรรมเสริมหน้าอก เพื่อให้การทำนมออกมาสมบูรณ์แบบ เข้ารูปและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดหล้งจากศัลยกรรมเสริมหน้าอกนั่นเอง
https://jarem.co.th/how-years-breast-augmentation-last/

wm5398

รอบรู้เรื่องยกทรง สำหรับการฟื้นฟูหลังผ่าตัดโดยเฉพาะ


การศัลยกรรมเสริมหน้าอก ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขนาดหรือการยกกระชับทรวงอก รวมไปถึงผ่าตัดเพื่อการลดขนาด ทุกการผ่าตัดหน้าอกเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจะต้องมีการดูแลในช่วงฟื้นฟูหลังผ่าตัดอย่างถูกต้องเหมาะสม การสวมใส่ยกทรงสำหรับการฟื้นฟูหลังผ่าตัดโดยเฉพาะ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการฟื้นฟูหลังผ่าตัด

รอบรู้ เรื่องยกทรงสำหรับการฟื้นฟูหลังผ่าตัดโดยเฉพาะ
การฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก เป็นเรื่องสิ่งสำคัญเพราะนอกจากทำให้แผลผ่าตัดหายเร็ว ทำให้หน้าอกเข้าที่และได้หน้าอกที่สวยเป็นธรรมชาติแล้ว ยังป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ และโดยทั่วไปหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก แพทย์มักแนะนำให้ใช้ยกทรงสำหรับสวมใส่หลังการผ่าตัดโดยเฉพาะ เพื่อให้การฟื้นฟูเห็นผลอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยพยุงรูปทรงหน้าอกหลังผ่าตัดให้อยู่ทรงและได้รูปอีกด้วย

ข้อดีของ ยกทรงสำหรับการฟื้นฟูหลังผ่าตัดโดยเฉพาะ
        - การสวมใส่ยกทรงสำหรับฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกโดยเฉพาะ ช่วยป้องกันไม่ให้ซิลิโคนหรือถุงเต้านมเทียมเคลื่อนตัว ทำให้หน้าอกไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการ
        - ช่วยให้การขับของเหลวในร่างกายเป็นไปได้สะดวก และลดภาวะเสี่ยงจากอาการเลือดออกในเนื้อเยื่อ
        - ช่วยให้โลหิตไหลเวียนสะดวกยิ่งขึ้น ลดอาการอักเสบจากแผลผ่าตัดได้ดี
        - ช่วยป้องกันการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด
        - ทำให้การฟื้นฟูเป็นไปได้เร็วขึ้น เพราะยกทรงจะยึดกระชับกับรูปทรงหน้าอกที่เสริมเข้าไปใหม่

วิธีเลือกซื้อ ยกทรงสำหรับการฟื้นฟูหลังผ่าตัด
        - เลือกยกทรงที่เป็นตะขอหน้า การปลดจากด้านหน้าจะช่วยลดการเคลื่อนไหวร่างกายบริเวณไหล่ และหน้าอก ช่วยป้องกันการอักเสบได้เป็นอย่างดี
        - เลือกเสื้อยกทรงที่ไม่มีโครง เมื่อสวมใส่แล้วไม่กดทับรอยแผลหรือกดทับซิลิโคน
        - เลือกเนื้อผ้าที่มีส่วนผสมของไนล่อน สเปนเด็กซ์ และคอตตอน ช่วยให้สวมใส่สบาย และระบายอากาศได้ดี ช่วยป้องกันอาการอับชื้นจากเหงื่อที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
        - เนื้อผ้าควรมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อช่วยลดแรงตึงของผิว สวมใส่ไม่รู้สึกอึดอัด และช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
        - สามารถปรับสายรัดได้ตามสรีระ มีตะขอปรับได้หลายระดับ

การเลือกยกทรงสำหรับผู้ที่ศัลยกรรมเสริมหน้าอก
ยกทรงสำหรับสวมใส่ช่วงฟื้นฟูหลังผ่าตัด

โดยทั่วไปหลังจากศัลยกรรมเสริมหน้าอก ในช่วงพักฟื้นแพทย์จะแนะนำให้สวมใส่ยกทรงซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ผ่าตัดเสริมหน้าอก ซึ่งใช้สวมใส่ในช่วงพักฟื้นเพื่อให้หน้าอกเข้าที่ประมาณ 4 สัปดาห์ ดังนั้นผู้ที่ศัลยกรรมหน้าอกควรจัดเตรียมเสื้อยกทรงให้เพียงพอสำหรับช่วงพักฟื้น

เสื้อยกทรงสำหรับสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
เสื้อชั้นในหรือยกทรงที่เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่าตัดเสริมหน้าอก และสามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้ควรเป็นยกทรงประเภท สปอร์ตบรา สำหรับการฟื้นฟูระยะยาว และควรเริ่มสวมใส่ในชีวิตประจำวันตั้งแต่ช่วง 1 เดือนแรกหลังผ่าตัด เพื่อช่วยประคองหน้าอกให้อกชิดสวยได้รูป และยังช่วยพยุงเต้านม ให้สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆในชีวิตประจำวันได้ตามปรกติ

การผ่าตัดเสริมหน้าอก เป็นการผ่าตัดใหญ่เพื่อเสริมหน้าอกให้มีขนาดตามความต้องการ ซึ่งผลลัพธ์ทั้งความปลอดภัย และความสวยงามของรูปทรง นอกจากขึ้นอยู่กับการเลือกคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว การดูแลตนเองในช่วงฟื้นฟูก็มีส่วนสำคัญ "รอบรู้เรื่องยกทรงสำหรับการฟื้นฟูหลังผ่าตัดโดยเฉพาะ" ก็เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลตนเองเพื่อให้ได้หน้าอกที่สวยงามเป็นธรรมชาติ
https://jarem.co.th/bras-specifically-breast-augmentation/

wm5398

อาการตาไม่เท่ากัน สาเหตุและลักษณะที่ควรรู้ก่อนศัลยกรรม Jarem Clinic


เชื่อว่าอาการตาไม่เท่ากัน คิ้วสูงต่ำไม่เท่ากัน หรือความผิดปกติอื่น ๆ บนใบหน้าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน กรณีเกิดขึ้นเล็กน้อยไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหรือทำให้บุคลิกภาพมีปัญหา ก็ไม่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ส่วนความผิดปกติบนใบหน้าที่นิยมศัลยกรรมมากที่สุดได้แก่ อาการตาไม่เท่ากัน ปัญหานี้เกิดจากสาเหตุใด และอาการอย่างไรที่ควรศัลยกรรม บทความนี้มีคำแนะนำค่ะ

อาการตาไม่เท่ากัน คืออะไร
อาการตาไม่เท่ากัน คือภาวะที่ขนาดของตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน โดยบางคนสามารถมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ส่วนในบางคนอาจเห็นชัดเมื่อยิ้มหรือมีปฏิกิริยายาต่าง ๆ เกิดขึ้นบนใบหน้า เช่น อาการเหนื่อยล้า หรือตื่นตกใจ ซึ่งอาการตาไม่เท่ากันที่เห็นได้อย่างชัดเจน ยังเป็นปัญหาต่อบุคลิกภาพทำให้หลาย ๆ คนขาดความมั่นใจในตัวเองจนส่งผลต่อคุณภาพการใช้ชีวิตอีกด้วย

สาเหตุของอาการตาไม่เท่ากัน
       - อาจเกิดจากโครงหน้าทั้งสองข้างของบุคคลนั้นไม่เท่ากัน
       - มีปัญหาภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ส่งผลทำให้ชั้นตาและการเปิดของตาดำไม่เท่ากัน
       - เกิดจากความสูงต่ำของคิ้ว และโหนกแก้มทั้งสองข้าง

ประเภทและลักษณะของตาไม่เท่ากัน
ประเภทและลักษณะของอาการตาไม่เท่ากันมีหลายรูปแบบ บางรูปแบบเช่น ตาดำไม่เท่ากันได้แก่ตาดำข้างหนึ่งใหญ่อีกข้างหนึ่งเล็ก แม้จะเกิดขึ้นได้ยากแต่ก็สามารถพบเจอได้ ส่วนลักษณะตาไม่เท่ากันที่พบได้ทั่วไป จะเป็นอาการที่เกิดจากเปลือกหรือเบ้าตาไม่เท่ากันเป็นส่วนมาก ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการศัลยกรรม ซึ่งต้องพบแพทย์หรือจักษุแพทย์เพื่อวิเคราะห์ประเภทและสาเหตุที่ตาไม่เท่ากันเสียก่อน เช่น

อาการตาไม่เท่ากัน จากเปลือกตาด้านบนตก
อาการตาไม่เท่ากันจากสาเหตุนี้พบได้มากที่สุด เกิดจากอาการเปลือกตาด้านบนตกหรือหย่อนคล้อง ซึ่งจะทำให้ด้านที่มีเปลือกตาตกดูเล็กลง อาการตาไม่เท่ากันประเภทนี้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งเปลือกตา

อาการตาไม่เท่ากัน จากเปลือกตากลวง
อาการตาไม่เท่ากันจากเปลือกตากลวง หมายถึง การมีเปลือกตาข้างใดข้างหนึ่งกลวงหรือโบ๋ลงไปอาจจะทำให้ตาของคุณดูไม่เท่ากันได้ อาการแบบนี้สามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัดแต่อาจจะทำการ ฟิลเลอร์บริเวณดวงตา หรือการฉีดไขมันเข้าไป

เปลือกตาด้านบนร่น
เปลือกตาด้านบนร่น เป็นหนึ่งในความผิดปกติของอาการตาไม่เท่ากันที่พบได้บ่อย หมายถึงลักษณะเปลือกตาด้านบนร่นขึ้นทำให้เปลือกตาดูสูงกว่าอีกข้าง และทำให้ขนาดของตาอีกข้างหนึ่งดูใหญ่ อาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเป็นอาการของโรคที่เกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเช่นกัน

อาการตาไม่เท่ากัน จากเปลือกตาด้านล่างร่น
อาการตาไม่เท่ากันจากเปลือกตาด้านล่างร่น ลักษณะอาการคล้ายกับตาไม่เท่ากันจากเปลือกตาด้านบนร่น หากเปลือกตาด้านล่างร่นลง จะทำให้ตาดูใหญ่กว่าอีกข้างซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากกรรมพันธุ์หรือเกิดขึ้นเพราะทำการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็ง วิธีการรักษาเราอาจทำการยกเปลือกตาด้านล่างขึ้นด้วยการสลายไขมันได้

อาการตาไม่เท่ากัน จากปัญหาคิ้วไม่เท่ากัน
กรณีถ้าคิ้วทั้งสองข้างสูงต่ำไม่เท่ากัน อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตาดูไม่เท่ากัน จากตำแหน่งคิ้วของแต่ละบุคคลจะถูกกำหนดโดยยีนส์และรูปทรงของกระดูกบริเวณใบหน้า กล้ามเนื้อและเส้นประสาทและฐานตา หากมีอาการเปลือกตาด้านบนตก ก็อาจทำให้คิ้วดูสูงจากตามากขึ้นเมื่อคิ้วแต่ละข้างสูงต่ำไม่เท่ากัน ก็ส่งผลทำให้ตาไม่เท่ากันได้ด้วย

อาการตาไม่เท่ากันที่เกิดจากอาการตาโปน
อาการตาโปนเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุรวมถึงพันธุกรรม โรคคอพอก การมีเบ้าตาที่ตื้น หรือมีโหนกแก้มเรียบก็ทำให้เกิดอาการตาโปนได้ และกรณีที่ตาข้างใดข้างหนึ่งปูดหรือโปนขึ้นมามากกว่าตาอีกข้างหนึ่ง ก็จะทำให้ตาข้างที่โปนดูใหญ่ขึ้น วิธีการรักษาจะต้องใช้การผ่าตัดเพื่อศัลยกรรมให้ลูกตากลับลึกเข้าไป

ตาไม่เท่ากัน จากอาการตาลึกหรือตาจม
ตาไม่เท่ากันจากอาการตาลึกหรือตาจม จะมีลักษณะตรงข้ามกับตาปูดตาโปน เพราะอาจจะมีตาข้างใดข้างหนึ่งลึกเข้าไปและทำให้ตาดูเล็กลง ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุรวมถึงกรรมพันธุ์ หรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้กระดูกเบ้าตาแตก มีอาการไซนัส  ก่อนศัลยกรรมจึงต้องตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการตาลึกเพื่อหาแนวทางผ่าตัดเพื่อศัลยกรรมให้ตาดูดีและเท่ากันมากขึ้น

อาการตาไม่เท่ากัน จากปัญหาเบ้าตาไม่เท่ากัน
เบ้าตาไม่เท่ากันเกิดจากโครงกระดูกของใบหน้า ซึ่งอาจทำให้อาการตาไม่เท่ากันเกิดขึ้นเพียง เล็กน้อยไปจนถึงอาการตาไม่เท่ากันที่สังเกตเห็นได้ชัด เช่น ตาข้างหนึ่งสูงกว่าอีกข้างหนึ่ง ปัญหานี้อาจไม่สามารถรักษาให้หายได้สมบูรณ์ แต่สามารถศัลยกรรมตกแต่งเพื่อปกปิดได้ เช่น ทำการผ่าตัดฝังเบ้าตาเทียม หรือทำการบีบเบ้าตา การรักษาขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคลที่อาจมีภาวะความรุนแรงแตกต่างกันในแต่ละบุคคล

สำหรับผู้ที่มีปัญหาตาไม่เท่ากัน การผ่าตัดตกแต่งหรือผ่าตัดทำศัลยกรรมคือแนวทางรักษาที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเห็นผลลัพธ์ แต่ทั้งนี้การเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญก็คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การผ่าตัดออกมาสมบูรณ์แบบและแก้ปัญหาตาไม่เท่ากันได้ดีที่สุด
https://jarem.co.th/causes-unequal-eye-symptoms/