กิมหยง - ตะลุงเว็บบอร์ด

ในปัจจุบัน การทำการตลาดบนโลกออนไลน์ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากสำหรับแบรนด์ต่างๆ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับ Social Media เป็นอย่างมาก ทำให้การทำการตลาดบนโลกออนไลน์ผ่าน Google Ads จะช่วยเปิดโอกาสให้แบรนด์ของเราสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับแบรนด์ที่ยังไม่มีความเชี่ยวชาญในการทำ Google Ads ก็อาจจะเกิดความกังวล ว่าจะสามารถทำด้วยตัวเองได้หรือไม่ แต่ในปัจจุบันมีหลากหลายบริษัทที่รับทำ Google Ads ให้คุณได้เลือกใช้มากมาย แต่ก่อนจะตัดสินใจจ้าง เรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับ Google Ads กันก่อนดีกว่า ว่าคืออะไร และมีกี่ประเภท


Google Ads คืออะไร
การรับทำ Google Ads คือการทำโฆษณาบน Google ซึ่งเป็น Search Engine ที่มีคนใช้งานมากมายทั่วโลก และถือเป็นตลาดออนไลน์ที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ได้มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการ และทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้น นอกจากนี้การทำ Google Ads ยังสามารถกลุ่มเป้าหมาย งบประมาณ และคำค้นหาที่สอดคล้องกับธุรกิจหรือสินค้าของเราได้ด้วย
รูปแบบการทำ Google Ads มีอะไรบ้าง

1.Search (Google Search)
Search Ads หรือ Paid Search เป็นบริการที่คนนิยมใช้กันเป็นอย่างมาก โดยการทำโฆษณาในลักษณะนี้ คีย์เวิร์ดที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ถือเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อมีการค้นหาใน Google ด้วยคีย์เวิร์ดที่เราได้ประมูลไว้ เว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดนั้นๆ ก็จะปรากฏขึ้นมาบนหน้า Google ในอันดับแรกๆ ทันที ซึ่งจะทำให้เราสามารถปิดการขายได้ง่ายขึ้น และเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเห็นเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้นด้วย

2.Display (Google Display Network หรือ GDN)
คือโฆษณาที่แสดงผลในรูปhttps://talung.gimyong.com/Themes/hatyai/images/bbc/bold.gifแบบของตัวหนังสือ (Text Ads) และแบนเนอร์รูปภาพ โดย Google จะส่งแบนเนอร์ของเราไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์และเป็นหมวดหมู่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ ซึ่งการทำโฆษณาลักษณะนี้ก็ได้รับความนิยมมากพอสมควร เพราะการกระจายโฆษณาไปยังเว็บไซต์ต่างๆ จะเป็นการเปิดโอกาสให้คนเห็นโฆษณาของเราได้มากขึ้น

3.Shopping (Google Shopping Ads)
คือโฆษณาที่แสดงบนหน้า Google โดยจะมีลักษณะเป็นรายการสินค้า ที่ให้คุณสามารถใส่รูปภาพ รายละเอียด และราคาของสินค้าเข้าไปได้ ซึ่งการทำโฆษณาในลักษณะนี้ จะกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความต้องการซื้อได้มากขึ้น เพราะสามารถเห็นสินค้า และราคาได้ในทันที ซึ่งการทำโฆษณาในลักษณะนี้ ไม่จำเป็นต้องทำการเลือกคีย์เวิร์ด เพราะ Google จะเก็บข้อมูลของสินค้า และนำไปประมวลผลเองว่าสินค้าของเราเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดใด

4.Video (YouTube)
YouTube Ads คือโฆษณาในรูปแบบของวิดีโอ ที่แสดงผลในขณะที่ผู้ใช้งานกำลังรับชมวิดีโอบน YouTube โดยคุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้โฆษณาของเราไปแสดงผลที่ไหน ซึ่งเหล่า YouTuber ก็จะได้รับส่วนแบ่งจากค่าโฆษณาเหล่านี้ด้วย หากวิดีโอที่ทำเป็นไปตามกฎที่ Google กำหนด นอกจากนี้ YouTube Ads ยังมีทั้งรูปแบบที่กดข้ามได้ และแบบที่กดข้ามไม่ได้

5.Mobile App Ads
คือรูปแบบโฆษณาเฉพาะบนแอปพลิเคชัน โดยจะเป็นการแสดงผลแบนเนอร์ หรือวิดีโอโฆษณาในขณะที่มีการใช้งานแอปพลิเคชันอยู่ ซึ่งแอปฯเหล่านั้นจะต้องอยู่ในเครือข่ายของ Google Partner ซึ่งจุดเด่นของการทำโฆษณาลักษณะนี้ คือการที่ผู้ใช้งานสามารถกดที่โฆษณาและติดตั้งแอปพลิเคชันได้ในทันที

6.Smart (Re-Marketing)
คือการนำโฆษณาไปแสดงซ้ำให้กับผู้ที่เคยคลิกเข้าชมสินค้าหรือเว็บไซต์ หรือนำโฆษณาติดตามกลุ่มเป้าหมายไปในทุกๆ ที่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าหรือบริการของเราอยู่เสมอ ซึ่งการทำการตลาดลักษณะนี้มักจะได้รับความนิยม เนื่องจากก่อนจะทำการ Re-Marketing เราจะมีข้อมูลของกลุ่มลูกค้าอยู่แล้ว ผ่านการคลิกเข้าชมสินค้าหรือเว็บไซต์ หากลูกค้ายังไม่ได้ซื้อสินค้า การทำ Re-Marketing ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเหล่านั้นกลับมาซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ของเราได้ในที่สุด

แม้ว่าในปัจจุบันจะมีหลากหลายบริษัทที่รับทำ Google Ads แต่ก่อนจะตัดสินใจจ้าง ก็อย่าลืมพิจารณาธุรกิจของตนเองก่อน ว่าต้องการทำโฆษณาในลักษณะใด รวมถึงศึกษาหรือขอคำแนะนำเกี่ยวกับการทำโฆษณาชนิดต่างๆ ให้ถี่ถ้วนก่อนเสมอ เพื่อให้การจ่ายเงินในครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจของคุณ