ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

เลี้ยงนกกับ Mr.No ตอน : เรื่องเล่าจากนักเลี้ยงนก

เริ่มโดย Mr.No, 09:16 น. 25 ก.พ 55

Mr.No

[attach=1]

ผมค้างเรื่องที่จะเขียนเกี่ยวกับ "นก"กับ ไว้กับ หนูจันทร์กระจ่างฯ นานพอดู... เที่ยวนี้พอจะปะติดปะต่อเรื่องเรื่องราวเกี่ยวกับ "นก" ได้ก็เลยคิดว่าจะนำลงให้อ่านกันเล่น เย็น ๆ ใจท่ามกลางอากาศร้อนจ้าของปลายเดือนกุมภาฯ

วันนี้ขออนุญาตเขียนถึง "นก" ในลักษณะความรู้ทั่วๆไป  โดยเฉพาะเกี่ยวกับแนวคิดในการเลี้ยงนก และความเข้าใจในการเลือกจะเป็น "คนเลี้ยงนก" ถือเป็นอ่านเพลิน ๆกันครับ

ในอดีตนั้น ผมเคยเลี้ยงนกไว้สารพัด เพราะเป็นคนชอบเลี้ยง การแสวงหานกมาไว้ในครอบครอง จึงไม่แตกต่างจากกลุ่มที่มีกิจกรรมอื่น ๆ ทั่วไป บ้างชอบพระเครื่อง, ชอบสะสมปืน,บ้างชอบเลี้ยงสัตว์หลากหลาย ฯลฯ 


[attach=2]
นกขอบตาขาวเอเซีย

สมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นมาถึงหนุ่ม ๆ (หน้าตาดี ส-เหอเหอ)...ด้วยความชอบ "นก" (ไม่ใช่น้องนก)  ส.หัว  ผมเลี้ยงมันตั้งแต่นกเล็ก ๆ อย่างพวกนอกขอบตาขาว (Oriental White-eye) ที่ร้องจิ๊บ ๆ ราคาตัวละไม่กี่บาทไปจนพวกใหญ่ ๆ อย่างกระตั้วสนนราคาตัวละหลายหมื่น ที่แหกปากทีไรแทบจะถูกข้างบ้านเขี้ยวงหลังคาทุกที!...

ซึ่งในกลุ่มนี้ไม่นับบรรดานกป่าไทย  ๆอย่าง พวกกางเขนบ้าน,กางเขนดง,กระรางสารพัด,นกหัวขวาน,นกหายากอย่างพวกปรอดแม่พะ ,หรือแม้แต่ข้ามตระกูลไปยังพวกไก่ฟ้าไทย  ๆ หายาก ก็เลี้ยงมาแทบทั้งสิ้น ...

แต่การเลี้ยงนกจำนวนมาก ...โดยเอาความชอบเพียงอย่างเดียวเป็นที่ตั้งนั้น เมื่อนานไปก็จะพบว่าท้ายที่สุดแล้ว "ความสุข" ที่ว่าได้จากการเลี้ยงนก ก็อาจส่งผลกระทบให้เป็น "ทุกข์" ที่ตามมาได้ นี่เป็นสัจธรรม


เพราะการเลี้ยงที่ปราศจากความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้เกิดการสูญเสียนก และการเสียใจที่ต้องเสียของรักแล้ว ยังกลายเป็นว่า ต้องถูกสังคมวิพากษ์และตราหน้าว่า เป็นกลุ่มผู้ก่อให้เกิดปัญหา สนับสนุนการล่าสัตว์ป่า มาอีกข้อหา...แบบที่ต้องก้มหน้ารับอย่างแก้ตัวลำบาก..

ในยุคที่โลกของอินเตอร์เนตเป็นเรื่องเพ้อฝันนั้น หนังสือตำรับตำราที่เกี่ยวกับ "นก" นั้น ถือเป็นของมีค่าที่สุด เพราะแทบทั้งร้อยเปอร์เซนต์ ถ้าจะศึกษานกกันในเชิงละเอียดก็จำต้องพึ่งพาตำราต่างประเทศ อย่างในประเทศไทยยุคเก่า เราอาจได้แค่หนังสือภาษาไทยที่มีข้อมูลเกี่ยวกับนกในประเทศไทยซึ่งมีไม่กี่เล่มมาเป็นแนวทาง อย่างเช่นของ คุณหมอบุญส่ง เลขะกุล

ซึ่งแม้จะพอได้แนวทางว่านกชนิดนี้เป็นนกประจำถิ่นหรือไม่..สีสันหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ในทางลึกเช่นพฤติกรรมการกินอยู่,การขยายพันธุ์ ฯลฯ กลับน้อยมาก ๆ

การเลี้ยงแบบตามมีตามเกิดและตามความเข้าใจเอาเองของคนไทย โดยเฉพาะชาวบ้านที่นิยมเลี้ยงนกป่า ทำให้เกิดการสุญเสีย มากกว่าจะ สร้างสรรค์


สมัยที่ผมเริ่มหัดเลี้ยงพวกนกปรอทหัวโขนเคราแดง หรือนกกรงหัวจุกนั้น ลูกนกหรือที่ภาษานักเล่นเค้าเลี้ยง "ลูกใบ้" ราคาจำหน่ายแถว ๆ กรงปินัง คนมุสลิมดักมาขายตัวละยี่สิบถึงสามสิบบาท ก็ดูแพงไปแล้ว...

และคำถามที่ยากในตอนนั้นก็คือ นกพวกนี้มันกินอะไร ก็ได้ความจากผู้ขายว่า อาหารคือพวกผลไม้ เช่นกล้วย และพวกผลไม้สุกคาต้นต่าง ๆ รวมไปถึงผักอย่างพวกลูกตำลึงสุก แถมพกด้วยเทคนิคที่บังแกบอกก็คือ นกพวกนี้ชอบกินกล้วยหินเป็นพิเศษ กินแล้วร้องดีมาก

ยุคนั้นผมก็มีอันจำต้องตีรถไปถึงสามแยกบ้านเนียง จังหวัดยะลา เพื่อซื้อกล้วยหินมาไว้เป็นเครือ ๆ ทั้งดิบ ทั้งต้ม(อันหลังนี่สำหรับคนเลี้ยง) เพราะบังแกแนะนำไว้ชัด

บังแกแนะนำก็ไม่ผิดครับ..เพราะนักปักษีวิทยา ที่ศึกษาพฤติกรรมนก เค้าก็ทำแบบนี้ คือการไปติดตามดูพฤติกรรมว่า มันกินอยู่หลับนอนอย่างไร,อะไรคือศัตรู และวงจรชีวิตส่วนใหญ่ตายเมื่ออายุเท่าไหร่? 

เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ ที่เก็บของป่า หาของไพรนั้น ส่วนใหญ่จะพบเห็นนกและจดจำว่านกชนิดนี้ มันกินอะไร,ลักษณะพิเศษที่น่าสนใจเช่น สีสัน การร้อง เป็นแบบไหน เมื่อเห็นก็ชอบ...เมื่อชอบก็จับมาเลี้ยง นี่คือต้นกำเนิด

แต่หลังจากนั้นผมก็พบว่า แท้ที่จริง ๆ แล้ว การจะมีกล้วยหินหรือไม่ อาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตให้นกมีสุขภาพดี และร้องดี ทว่าความหลากหลายทางชีววิทยาที่จะเอื้อต่ออาหารที่มีอยู่มากมายต่างหากคือปัจจัยสำคัญที่สุด

นกกรงหัวจุกที่อยู่ในแถบนั้นอาจโชคดีตรงที่ อยู่ในย่านที่คนมุสลิมปลูกกล้วยชนิดนี้กันมาก ก็เป็นธรรมดาที่จะพบเห็นนกพวกนี้ไปเจาะกินกล้วยนั้น ๆ

เกือบสามสิบปีต่อมา..ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ การเสาะหานกกรงหัวจุกในธรรมชาติ กลายเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ  และวัฒนธรรมในการเลี้ยงนกชนิดนี้ กลับเปลี่ยนไปในทางที่เป็นแฟชั่นและเป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่มารวมกลุ่มกันโดยมีนกชนิดนี้เป็นอุปกรณ์ และที่สำคัญก็คือ  มีการเดิมพันและมีการประกวดประชันกันด้วยถ้วยและเงินรางวัลที่สูงลิ่ว จูงใจให้เกิดการแสวงหาและมาเลี้ยงกันจนบัดนี้แทบจะทั่วประเทศไปแล้ว

จากนกในปักษ์ใต้..กลายเป็นต้องแสวงหานกจากที่อื่น ภาคเหนือยันอีสาน ผ่านไปลาว,เวียตนาม กลายเป็นมากขึ้นๆ จนผมเองที่ชอบเลี้ยงนกก็ยังหวั่นใจว่า ในที่สุดนกเหล่านี้ก็คงลดน้อยถอยพันธุ์ไปจนหมดอย่างน่าใจหายสักวันหนึ่ง!

ตลอดชีวิตในการเลี้ยงนก ..ผมเพียงแต่ได้ไปยืนสังเกตเค้าแข่งนกกัน... ดูการลุ้น การเชียร์ การให้คะแนนที่เค้าบอกว่า ต้องนับเป็น "ดอก" หรือพยางค์เสียงของนก

หลายตัวถูกเลี้ยงดูราวกับราชา ทั้งสนนราคากรงวิจิตร..และอุปกรณ์ในกรงที่หรูหรา ทำให้ภาพของวัฒนธรรมการเลี้ยงนกแบบแขวนฟังเพลิน ๆ หน้าร้านน้ำชาในชนบทนั้น ค่อย ๆ เลือนหายไปในที่สุด


[attach=3]
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนท

หลัง ๆ ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับนก พบว่ามีนกปรอดหัวโขนเผือกตาแดง สนนราคาหลักล้าน!  กลายเป็นเรื่องของหายาก ต่อมาก็มีนกพายด์ หรือพวกนกที่ชาวบ้านเรียก "นกด่าง" ออกมาอีกมากมาย ทำให้ผมต้องกลับมานั่งคิดต่อว่าจริง ๆแล้ว มนุษย์เรามักชอบแสวงหาสิ่งที่คนอื่นไม่มีหรือหายากนั้น ดูจะเป็นเรื่องที่คู่กับมนุษย์มานับแต่บรรพกาลละมัง

สำหรับผมแล้ว... นกเผือกหรือพวกนกพายด์ นั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่ในมุมมองของผมกลับมองว่า นกที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม มีความอ่อนด้อยในยีนส์ ทำให้เกิดการสร้างเม็ดสีที่ผิดเพี้ยนเหล่านี้ น่าจะเป็นกรณีนกที่น่าสงสารด้วยซ้ำ

อย่างในนกเผือกตาแดง ผมเคยเลี้ยงไว้หลายตัว เช่นนกในกลุ่มนกแก้วเช่น พวกนกแก้วคอแหวน (Ring-Neck Parrot), ค๊อกคาเทลเผือก (Albino Cockatiel) พวกนี้ต้องเลี้ยงแยกกับกลุ่มนกปกติ เพราะค่อนข้างอ่อนแอ บอบบาง และที่สำคัญมักถูกกลุ่มจิกทำร้ายได้ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว สัตว์จะรู้กันว่า ตัวใดที่มีความอ่อนแอ ก็จะถูกกำจัด เพื่อให้สมดุลของสายพันธุ์นั้นยืนยาวอย่างแข็งแรง (กฎนี้น่าจะจริง)



[attach=4]
กรณีพวกเผือก ผมอยากให้ลองนึกภาพของคนเผือก ที่ตัวขาวเผือกอมชมพู ผม,คิ้ว,ขนตา ขาวโพลน เดินไปไหนต้องหรี่ตาเพราะแพ้แสง, นัยน์ตากลายเป็นสีชมพูอมแดงเพราะสะท้อนฮีโมโกลบิน(เลือด)ออกมา (แทนที่จะเป็นสีเข้ม) แบบนี้คือตัวอย่างของกลุ่มที่เรียกว่า "เผือก" (Albinism)

[attach=5]
อย่างในนกพายด์ หรือนกด่าง นั้นก็คล้าย  ๆกัน  แต่การด่างของนกอาจแตกต่างกันได้สองวิธีคือ ด่างจากกรรมพันธุ์ กับ ด่างจากคนเลี้ยง

อันแรกนั้น ไม่ยากในการอธิบาย แต่อันหลังนี่น่าสนใจ...

เพราะครั้งหนึ่งเคยมีการเสนอขายนกแก้วด่างให้ผู้ซื้อรายหนึ่งในราคาสูงลิ่ว...แต่หลังจากเลี้ยงไปได้พักใหญ่ ๆ ไอ้ที่ด่างดูสวยงามกลับหายไป กลายเป็นนกแก้ว ธรรมด้า..ธรรมดาไปเสียนี่  ส.หัว


เรื่องมาบางอ้อ...ก็เพราะมารู้ว่า นกที่ซื้อมานั้น ถูกเลี้ยงมาแบบกินอาหารจำกัดชนิด...คือเลี้ยงอาหารซ้ำกันทุกมื้อตลอด การขาดวิตามินสำคัญ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติดังนั้น สรุปความว่า นกตัวนั้นไม่ได้ด่างจริง..แต่ด่างเพราะเลี้ยงไม่ดี...และจัดอยู๋ในกลุ่ม "นกป่วย"


ส่วนผู้ขายกับผู้ซื้อรายนี้จะว่ากันอย่างไรในเวลาต่อมา..อันนี้จำไม่ได้จริง ๆ ครับ


ที่เล่าเรื่องนี้ เพื่อเป็นของว่างเบิกทาง สำหรับการนำไปสู่ตอนต่อไป ที่ จะได้มารู้จักและทำความเข้าใจว่า  "เลี้ยงนกอย่างไรให้มีความสุข และไม่ถูกตราหน้าว่ามีส่วนในการทำลายสัตว์ในธรรมชาติ" กันครับ
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

จันทร์กระจ่างฟ้า

กว่าหนูจันทร์กระจ่างฯจะมาอ่าน ก็ล่วงเข้ากลางเดือนมีนาคม
ขออภัยด้วยค่ะ งานเยอะมาก  ส.มองลอดแว่น

ขอบคุณสำหรับสาระความรู้เกี่ยวกับนกค่ะ

ตอนนี้ที่บ้านก็เลี้ยงนกเหมือนกัน แต่จะเรียกว่าเลี้ยงคงไม่ถูกต้องนัก
ที่ถูกต้องบอกว่า ให้ที่พักอาศัยภายในบ้านจะดีกว่า
นกมาทำรังในบ้านเยอะมากค่ะ เป็นนกกระจิบกับนกเขาเสียมาก
วันหยุดนั่งมองนกบินคาบเศษกิ่งไม้ใบหญ้ามาทำรัง ก็เพลินไปอีกแบบ
ตอนนี้ก็ยังอยากจะเลี้ยงนกอยู่เหมือนกัน แต่ติดที่เวลาไม่ค่อยมี
นึกถึงตอนไล่จับนกมาจับตะเกียบแยกเพศก็สนุกแล้วค่ะ  ส-ดีใจ
ในโลกนี้ มีคนเพียงแค่ 2 คนที่ไม่มีความทรงจำ คนหนึ่งยังไม่เกิด ส่วนอีกคนตายไปแล้ว