ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

แนวทางในการเลือกหัวขับลม กระบอกลม และเกจวัดแรงดัน

เริ่มโดย Panitsupa, 07:11 น. 27 มี.ค 65

Panitsupa

หัวขับลม
SIRCA Pneumatic actuator หัวขับลม SIRCA
ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับในการเลือกขนาดแอคทูเอเตอร์
1)รู้ว่าแรงบิดที่แท้จริงของวาล์วหรือเครื่องมืออื่นๆจะเป็นแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงค่าสัมประสิทธิ์ความปลอดภัย (SIRCA แนะนำอย่างต่ำ 25%) แรงบิดของวาล์ว (แนะนำความปลอดภัยอย่างน้อย 25%)
2) ตัดสินใจว่าตัวควบคุมจะต้องทำหน้าที่สองครั้งหรือสปริงกลับ - การทำงานแบบ Double Act หรือ Spring Return
3) ทราบแรงดันอากาศจริงที่พร้อมใช้งาน - แรงดันใช้งานขั้นต่ำที่ใช้ได้ HOW TO SIZE แอคทูเอเตอร์คู่ (DA) - การเลือกแอคทูเอเตอร์คู่ (DA) ขนาดของแอคทูเอเตอร์แบบดับเบิลแอคทูเอเตอร์นั้นง่ายอย่างยิ่ง ควรต้องรู้แรงบิดที่ต้องการของวาล์วที่เพิ่มขึ้นขั้นต่ำ 25%) และก็ความกดอากาศที่มีอยู่จากนั้น ให้เข้าร่วมการอ้างอิงทั้งคู่และก็รับแบบจำลองแอคทูเอเตอร์ที่เกี่ยวข้องในทันที
ตัวอย่าง: ต้องทำวาล์วอัตโนมัติที่อยากได้แรงบิด 80Nm มากขึ้น 25% = 100Nm ที่ 5 บาร์ของการจ่ายอากาศ ตัวเลือกนี้ตกอยู่ที่รุ่น AP 4 DA ซึ่งพัฒนาแรงบิด 119 Nm





ข้อควรคำนึง: ค่าแรงบิดที่เลือกซึ่งกำหนดรุ่นของแอคชูเอเตอร์จำเป็นต้องไม่ต่ำกว่าค่าแรงบิดของวาล์วที่ต้องการ กำหนดแรงบิดของวาล์วที่ต้องการ ซึ่งควรรวมถึงระยะขอบความปลอดภัย 25% แล้วก็แรงดันใช้งานขั้นต่ำที่มี อ้างถึงตารางแรงบิดแรงดัน abd เลือกคอลัมน์แรงดันต่ำสุดที่ใช้งานได้ ปฏิบัติตามคอลัมน์นี้กระทั่งเจอค่าไม่น้อยกว่าที่อยากได้ ต่อไปอ่านผ่านไปที่คอลัมน์ทางซ้ายแล้วก็อ่านลำดับที่รุ่นที่จะสั่งซื้อ วาล์วทอร์คที่เลือกซึ่งกำหนดชนิดของแอคทูเอเตอร์จำเป็นต้องไม่น้อยกว่าที่กำหนด ค่าแรงบิดของวาล์ว ทอร์คแอคทูเอเตอร์

กระบอกลม (Pneumatic Air Cylinder)
หรือเรียกอีกชื่อว่า Actuator คือเครื่องมือที่ใช้ลมทำให้ก้านกระบอกลมเคลื่อนที่ไปในแนวเส้นตรง หรือหมุน 90, 180, 270 หรือ 360 องศา
เป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนแปลงพลังงานในรูปแบบความดันลมให้เป็นพลังงานกลในลักษณะของการเคลื่อนที่โดยแบ่งตามลักษณะการทำงานหรือการเคลื่อนที่ได้ 3 ประเภท คือ
1. กระบอกลูกสูบลม (Cylinder) ทำงานตามแนวเส้นตรง
2. กระบอกลม (Air Cylinder) ทำงานตามแนวเส้นรอบวง
3. กระบอกลมนิวเมติกส์ทำงานแบบพิเศษ (Special Actuator) คือกระบอกลมนิวเมติกส์ที่มีลักษณะการทำงานต่างจาก 2 จำพวกที่กล่าวมา กระบอกลมนิวเมติกส์แต่ละประเภทจะมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้งาน





กระบอกลม Air Cylinder ประเภทต่างๆ
1. กระบอกลมมาตรฐาน (Standard Cylinder)
ส่วนประกอบของกระบอกจะผลิตด้วยวัสดุที่เป็นอลูมิเนียมเหลว ที่ถูกอัดลงบนแม่พิมพ์กระบอกลมอีกทีหนึ่ง กระบอกลมชนิดนี้จะมีมาตรฐาน ISO 15552 มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน อย่างเช่น กระบอกลมแบบติดวาล์วควบคุมทิศทาง (Pneumatics Control), กระบอกลมแบบสี่เสา(Tie Red Type Cylinders), กระบอกลมแบบโปรไฟล์ (Profile Type Cylinders) และก็กระบอกลมที่เป็นแบบล็อคก้านสูบได้ (Lock Cylinder)
2. กระบอกลมขนาดเล็ก (Mini Cylinder)
เหมาะสำหรับงานที่ใช้แรงดันลมไม่มากนัก งานสร้างสำหรับงานเฉพาะทาง โดยมีขนาดต่างๆยกตัวอย่างเช่น กระบอกลมแบบมินิ (Mini Cylinders), กระบอกลมปากกา (Pen Sign Cylinders)
3. กระบอกลมแบบคอมแพค (Compact Cylinder)
มีความเด่นในเรื่องประสิทธิภาพการใช้งาน ลักษณะของกระบอกจะเป็นแบบสี่เหลี่ยม แบบทรงแผ่น รวมทั้งแบบมีเพิ่มก้านนำทาง
1. กระบอกลมแบบไม่มีก้านสูบ (Rodless Cylinders)
มีความต่างจากกระบอกลมประเภทอื่นตรงที่ไม่มีก้านลูกสูบ มีการใช้งานกันอยู่ 2 ประเภท คือ
– แบบแมคคานิคอลจ๊อย(Mechanically Jointed Rod less Cylinder)
– แบบใช้แรงดูดของแม่เหล็ก (Magnetically Coupled Cylinder)
รูปแบบการทำงานของกระบอกลมประเภทนี้คือ กระบอกลมจะเคลื่อนที่บนแกนเพลาที่ยึดหัวเเละท้าย เคลื่อนที่ได้จากแรงของแม่เหล็กที่เคลื่อนไป-มาอยู่ตลอดเวลา กระบอกลมชนิดนี้เหมาะกับงานที่ต้องการช่วงชักยาว
4. กระบอกลมแบบเลื่อน/สไลด์ (Slide Table Cylinder)
คุณสมบัติเด่นของกระบอกลมจำพวกนี้คือ สามารถเลื่อนได้ (Slide Table Air Cylinder) ซึ่งกระบอกลมจำพวกอื่นทำไม่ได้ แบ่งได้ 3 ประเภท
1. แบบแผ่นเลื่อนความแม่นยำสูง (Air Slide Table/Precision Cylinder)
2. แบบเลื่อนยาว (Air Slide Table/Long Stroke)
3. แบบเลื่อนประเภทคอมแพ็ค (Compact Air (Cylinder) Slide Table) สามารถปรับแต่งช่วงชัก หรือตำแหน่งการติดตั้งได้อย่างอิสระ

เกจวัดแรงดัน (pressure gauge)
เป็นเครื่องมือจำเป็นสำหรับในการใช้วัดหรืออ่านค่าแรงดันก๊าซและของเหลว เกจวัดแรงดันแบ่งได้เป็นหลายประเภทมาก การจะเลือกซื้อเกจวัดแรงดันไปใช้ให้ถูกงานนั้นต้องพิจารณาถึงชนิดต่างๆของเกจวัดความดันดังต่อไปนี้
เกจวัดแรงค่าดันจะแบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆด้วยกัน คือ
1.General pressure gauge ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าบวก
2. Vacuum gauge ใช้วัดแรงดันที่เป็นย่านค่าลบ
3. Compound gauge สามารถวัดแรงดันได้ทั้งค่าบวกรวมทั้งลบได้ในตัวเดียวกัน
เกจวัดแรงดัน (Pressure Gauge) เป็นเครื่องมือวัดที่ทนต่อแรงสั่นเพื่อใช้สำหรับการวัดความดันซึ่งควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยสามารถแบ่งเกจได้เป็นทั้งยังแบบอนาล็อกและเกจดิจิตอล





เกจวัดแรงดัน อนาล็อกหรือดิจิตอล
1. เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอล จะมีราคาสูงกว่าเพจอนาล็อกแต่ว่าจะมีจุดเด่นกว่าตรงเกจแบบดิจิตอลมีความเที่ยงตรงมากยิ่งกว่า เหมาะกับงานที่ต้องการการวัดความดันถูกต้องแม่นยำสูง ยิ่งกว่านั้นเกจวัดแรงดันแบบดิจิตอลในหลายรุ่นสามารถเชื่อมต่อข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ทำให้สามารถอ่านค่าได้จากระยะไกลได้ด้วย
เพรสเชอร์เกจแบบดิจิตอล เกจวัดแรงดันแบบดิจิตอล
2. เกจวัดแรงดันแบบอนาล็อก (แบบเข็ม) มีจุดเด่นคือราคาถูกกว่าไม่ต้องการการบำรุงรักษามากเมื่อเทียบกับเกจแบบดิจิตอล โดยเกจวัดแรงดันแบบอนาล็อกนั้นแบ่งออกอีกเป็น 2 จำพวก คือ
2.1 เกจวัดแรงดันอนาล็อกปรกติ มีข้อดีคือ ราคาถูก แต่ว่าจะรับแรงสะเทือนสูงไม่ได้
ปกติสำหรับการสั่งซื้อสิ่งที่ควรระบุสำหรับเครื่องไม้เครื่องมือวัดแรงดันมีดังนี้
- หน่วยวัด(Unit) คือ หน่วยความดันบนหน้าปัดที่พวกเราอยากให้เครื่องมือวัดแสดง
- ย่านการวัด (Range) คือ ช่วงความดันต่ำสุด-สูงสุด ที่อุปกรณ์ตัวนั้นสามารถวัดให้เราได้
- ขนาดหน้าปัด (Dial Size) คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของหน้าปัดอุปกรณ์วัด มักกำหนดเป็น นิ้วหรือมม.
- ประเภทวัสดุ คือ ประเภทของวัสดุที่ใช้เป็นตัวเรือน : เหล็ก / พลาสติก / สแตนเลส / ทองเหลืองและก็วัสดุใช้ทำเกลียว : ทองเหลือง / สแตนเลสแบบ/ขนาดของเกลียว (Type/Thread size) คือ ขนาดของเกลียวที่จะใช้ต่อกับเครื่องมืออื่น มีทั้งแบบออกด้านล่างแล้วก็ออกด้านหลัง ตัวอย่างขนาดเกลียวมาตรฐาน NPT และ BSP
- ออฟชั่นพิเศษต่างๆตัวอย่างเช่น แบบมีน้ำมัน มีปีกยึดติดตู้