ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

การตักบาตร

เริ่มโดย เณรเทือง, 00:49 น. 01 เม.ย 55

เณรเทือง

การตักบาตรตอนเช้าๆ ซึ้่งเวลานี้ถูกเปลี่ยนชื่อเรียกว่า "ใส่บาตร"
ภาพตอนเด็กๆ พระจะเดินมายืนหน้าบ้าน เมื่อยายตักบาตรเสร็จพระก็จะเดินจากไปอย่างสงบ
ภาพปัจจุบัน (โดยเฉพาะในกรุงเทพ)แต่ละคนเมื่อใส่บาตรเสร็จก็จะนั่งลงพระก็จะยืนสวดบทเจริญพร
ภาษาใต้เรียก "ปลายสัพพี" กรมศาสนาเคยมีประกาศห้ามสวดแล้ว เพราะกระทบต่อความเป็นภิกขุ
แต่ไม่อาจต้านทานกระแสนิยมได้
ท่านสมาชิกกระดานลานบุญเห็นเรื่องนี้อย่างไร
ขอท่านที่รู้จริงนะครับพยายามระงับความเห็นที่เป็นมิจฉาทิฏฐินะครับ

wareerant

สมัยก่อนเรียก ตักบาตร เพราะยังไม่มี ถุงพลาสติกมัดยาง อาหารจำพวกแกง ต้ม ที่เป็นน้ำ ต้องตักใส่บาตร คือ เน้นการตัก
สมัยนี้ มีถุงพลาสติก หยิบใส่บาตรได้เลย คือเน้นการใส่ เลยเรียกใส่บาตร

คุณหลวง

    ผมไม่แน่ใจนะครับว่า ผมรู้จริงไหม แต่อยากแสดงความคิดเห็นอยู่ดี

    ที่ผมไม่ทราบก็คือ กรมศาสนามีเหตุผลอย่างไร กระทบต่อความเป็นภิกขุอย่างไร

    แต่คาดว่าน่าจะเกิดจากข้อที่ว่าภิกษุไม่ควรคุยกับผู้หญิงเกินหกคำกระมัง??(ผิดถูก บอกด้วยครับ)

    โดยส่วนตัว ผมไม่คิดว่าจะเป็นการกระทบต่อความเป็นภิกขุนะครับ เพราะเป็นการกล่าวฝ่ายเดียว เป็นการให้กำลังใจแก่ผู้ทำบุญทำดี อนุโลมแก่ญาติโยมได้กระมัง?

    ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะจำพุทธประวัติได้ว่า พระพุทธองค์เคยอนุญาตให้พระสงฆ์กล่าวคำอวยพรในยามที่จามได้ตามประเพณี(เดี๋ยวจะหารายละเอียดเพิ่มเติม หรือใครทราบโปรดบอกด้วยครับ ขอบคุณไว้ ณ ที่นี้)

    และโดยความเอื้ออาทรแห่งสังคมไทย ซึ่งถูกหล่อหลอมมาจากพระพุทธศาสนา พระสงฆ์เป็นที่ปรึกดษาของชาวบ้านทุกเรื่อง เป็นที่พึ่งสูงสุด การไต่ถามข่าวคราว สารทุกข์สุกดิบเป็นเรื่องธรรมดา

    เพียงแต่สมัยก่อน พระสงฆ์ที่ทำตัวแย่ๆชาวบ้านเขาต่อต้านครับ พระจะอยู่ไม่ได้หากเลวเกินชาวบ้านรับได้ เดี๋ยวนี้มักไม่สนใจกันเป็นส่วนใหญ่

    อาจจะถูกมองว่าผิดจากผู้ใหญ่ฝ่ายปกครอง แต่ส่วนตัวผมว่าอนุโลมได้ครับ ส่วนการเรียกว่า "ตักบาตร" หรือ "ใส่บาตร" นั้น เป็นเรื่องของภาษษพูดที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย คงไม่ใช่สาระสำคัญมากนักกระมัง?

สะบายดี...ครับ
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

tayphone

จริง ๆ การให้พรโยมที่ตักบาตร แบบที่ถูกต้อง ต้องไปให้ที่วัดก่อนพระจะฉัน
เมื่อโยมตักบาตรเสร็จแล้ว ถ้าจะให้พระให้พรในขณะนั้นก็ให้ได้ แต่.... ต้องจัดหาเก้าอี้ให้พระนั่ง และโยมต้องนั่งกับพื้นหรือนั่งยอง ๆ (ถอดรองเท้าด้วย) เพื่อรับพรจากพระ

ส่วนพระจะสนทนากับโยมข้อนี้ผมไม่มั่นใจ แต่เคยเห็นครูบา(สมัยผมบวชวัดสายป่า)ท่านสนทนากับโยมหลังโยมตักบาตรเสร็จแล้ว ครูบาท่านถามเรื่องสารทุกข์สุกดิบของโยมเท่านั้น แล้วครูบาท่านก็กลับวัด

ส่วนที่ยืนคอยหรือนั่งคอยให้โยมมาตักบาตรนั้น ทำไม่ถูก ที่ถูกถ้าไม่มีโยมตักบาตรก็ให้เดินไปเรื่อย ๆ ถ้ามีโยมตักบาตรจึงหยุดให้โยมตักบาตร เมื่อโยมตักบาตรเสร็จก็ให้เดินต่อไป

เณรเทือง

อ้างจาก: tayphone เมื่อ 00:17 น.  02 เม.ย 55
จริง ๆ การให้พรโยมที่ตักบาตร แบบที่ถูกต้อง ต้องไปให้ที่วัดก่อนพระจะฉัน
เมื่อโยมตักบาตรเสร็จแล้ว ถ้าจะให้พระให้พรในขณะนั้นก็ให้ได้ แต่.... ต้องจัดหาเก้าอี้ให้พระนั่ง และโยมต้องนั่งกับพื้นหรือนั่งยอง ๆ (ถอดรองเท้าด้วย) เพื่อรับพรจากพระ

ส่วนที่ยืนคอยหรือนั่งคอยให้โยมมาตักบาตรนั้น ทำไม่ถูก ที่ถูกถ้าไม่มีโยมตักบาตรก็ให้เดินไปเรื่อย ๆ ถ้ามีโยมตักบาตรจึงหยุดให้โยมตักบาตร เมื่อโยมตักบาตรเสร็จก็ให้เดินต่อไป
ผมชอบความเห็นนี้ครับ..

ธรรมในใจ

เจตนาของผู้ใส่บาตรคือความสุขของการให้  ความสุขที่ได้อุทิศบุญ  แบบไหนที่ทั้งผู้ให้ และ ผู้รับสุขใจ  ผมว่าชีวิตก็เป็นสุขครับ

คุณหลวง

อ้างจาก: tayphone เมื่อ 00:17 น.  02 เม.ย 55

ส่วนที่ยืนคอยหรือนั่งคอยให้โยมมาตักบาตรนั้น ทำไม่ถูก ที่ถูกถ้าไม่มีโยมตักบาตรก็ให้เดินไปเรื่อย ๆ ถ้ามีโยมตักบาตรจึงหยุดให้โยมตักบาตร เมื่อโยมตักบาตรเสร็จก็ให้เดินต่อไป

    การยืนคอยชั่วครู่นั้นเป็นสิ่งสมควรตามประเพณีนักบวชครับ เพราะว่าการบิณฑบาตนั้นไม่จำเพาะเจาะจง(แม้สมัยนี้มีบ้านที่ใส่ประจำ) นักบวชเมื่อประสงค์จะรับที่บ้านใดก็สามารถไปยืนให้เห็นได้ในระยะเวลาครู่หนึ่ง หากเขาไม่ถวายก็ไปเงียบๆ แต่ไม่ควรอย่างยิ่งแก่การออกปากขอ ส่วนการนั่งรอนั้นเป็นสิ่งไม่สมควรครับ

    อ้อ..ทราบมาประการหนึ่งว่าพระผู้ใหญ่ท่านมองว่าการให้พรนั้นผิดวินัยเพราะวินัยบัญญัติข้อที่ว่า "ภิกษุยืนอยู่แสดงธรรมแก่ผู้ไม่ป่วยไข้นั่งอยู่ต้องอาบัติทุกกฏ" ครับ

สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

กุ้งนาง2555

ชอบคำว่า ตักบาตร มากกว่า...อนุมานว่า น่าจะมาจากคำว่า ตักข้าวใส่บาตร แล้วกร่อนให้สั้นลง เหลือเป็น ตักบาตร
การที่พระให้พร เห็นเป็นเรื่องสมควร บางอย่างก็ปรับเปลี่ยนได้ตามสมัย  แต่เรื่องที่น่าห่วงคือ เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธ เหลือแค่มุ่งการเอาเงินทำบุญและสร้างวัตถุแข่งขันกัน...จนหลงลืมแก่นแท้พระธรรมไปเยอะเลย

tayphone

อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 10:52 น.  03 เม.ย 55
    การยืนคอยชั่วครู่นั้นเป็นสิ่งสมควรตามประเพณีนักบวชครับ เพราะว่าการบิณฑบาตนั้นไม่จำเพาะเจาะจง(แม้สมัยนี้มีบ้านที่ใส่ประจำ) นักบวชเมื่อประสงค์จะรับที่บ้านใดก็สามารถไปยืนให้เห็นได้ในระยะเวลาครู่หนึ่ง หากเขาไม่ถวายก็ไปเงียบๆ แต่ไม่ควรอย่างยิ่งแก่การออกปากขอ ส่วนการนั่งรอนั้นเป็นสิ่งไม่สมควรครับ

    อ้อ..ทราบมาประการหนึ่งว่าพระผู้ใหญ่ท่านมองว่าการให้พรนั้นผิดวินัยเพราะวินัยบัญญัติข้อที่ว่า "ภิกษุยืนอยู่แสดงธรรมแก่ผู้ไม่ป่วยไข้นั่งอยู่ต้องอาบัติทุกกฏ" ครับ

สะบายดี...

ที่ผมบอกว่ายืนคอยคือ แบบในตลาดหรือที่เห็นหลาย ๆ ที่ ยืนคอยอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนเลยตั้งแต่เช้าจนสาย จึงจะไปจากจุดนั้น ยืนให้โยมตักบาตรตรงจุดนั้น ส่วนมากจะยืนใกล้แม่ค้าพ่อค้าที่ขายอาหารให้ตักบาตร ผมเจอแบบนั้นผมไม่ตักบาตรเลย

กิมหยง

คนอีสานใส่บาตรจะนอบน้อมมากครับ
จะคุกเข่าตั้งแต่ใส่บาตรเลยครับ

ส่วนเรื่องการให้พร พระอาจาย์เคยคุยให้ฟัง
ท่านบอกว่ามาใหม่ ๆ พอชาวบ้านตักบาตรเสร็จท่านก็ไปเลย
ชาวบ้านก็มองแปลก ๆ จนเขาไม่ตักบาตร

ถ้าไม่สวดให้พร ชาวบ้านจะไม่ตักบาตร
เพราะชาวใต้เรา ถือเป็นการให้พรเป็นไฮไลท์ของการทำบุญ

ดังนั้นทุกวันนี้ พระอาจารย์จำเป็นต้องให้พร ตอนญาติโยมตักบาตรครับ
สร้าง & ฟื้นฟู

wareerant

เรื่องการตักบาตรแล้วให้พร ไม่ให้พร นี่ เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาก บางคนได้ยินว่า พระไม่ควรให้พรเมื่อรับบิณฑบาต ถึงกับโมโห และไม่เข้าใจว่าทำไม

จริง ๆ ถ้าเราเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า ให้ออกบิณฑบาตเพื่ออะไร คนตักบาตร ตักบาตรเพื่ออะไร เราจะไม่เถียงกันเลย

จุดประสงค์ที่พระพุทธเจ้าให้พระสงฆ์ออกบิณฑบาต ก็เพื่อ
1. ไม่ตื่นสาย เป็นพระตื่นสาย ไม่ค่อยดี
2. ออกกำลังกาย เดินตอนเช้า ๆ
3. มีอาหารแล้วไม่ต้องทำงานรับจ้าง มีหน้าที่เผยแผ่ศาสนาอย่างเดียว
4. พบปะชาวบ้าน ไม่ใช่หลบอยู่แต่ในกุฏิ
5. ไม่สะสมอาหาร ออกบิณฑบาตทุกเช้า ไม่ต้องสะสมอาหาร ไม่ต้องซื้อตู้เย็น

จุดประสงค์ของการตักบาตร ที่พระพุทธเจ้าตั้งใจไว้คือ กำจัดความตระหนี่ คือฝึกตนไม่ให้เป็นคนขี้เหนียว ฝึกตนให้รู้จักเป็นผู้ให้ จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้ามีแค่นี้เอง

แต่อย่างว่า ศาสนาพุทธในประเทศไทยมักมีพราหมณ์เข้ามาปนด้วย จุดประสงค์ของผุ้ตักบาตร คงมีหลากหลายกันไป เช่น
อุทิศให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว (เปตชน)
หวังบุญ
หวังชาติหน้า
หวังชาตินี้
ล้างบาปชาติที่แล้ว

ประเด็นของเรื่องนี้จริง ๆ คือ

เราจะกำจัดความตระหนี่ออกจากใจไม่ได้เลย ถ้าเรายังต้องการพร หรือต้องการรวย ต้องการสวย ต้องการให้ชีวิตมีแต่โชคดี มันก็เหมือนเราซื้อพรนั่นแหละ ไม่ต่างกันเลย ซื้อจากใคร ซื้อจากพระ ที่มาบิณฑบาต พระให้พรก็เหมือนกับการ จ่ายเงิน ซื้อข้าวปลาอาหาร หลายคนบอก เฮ้ย ไม่ใช่ ไม่ใช่ซื้อขาย นี่ตักบาตรนะ จริง ๆมันก็เป็นระบบการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง (Bathor System) ตราบใดที่เราตักบาตรเพื่อหวังผลอะไรสักอย่าง การตักบาตรก็คือการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน นั่นเอง และเราก็ชอบบังคับให้พระ จ่ายพรให้เรา เหมือนจ่ายเงินซื้อของ

การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ปัจจุบันพบได้น้อย แต่ก็ไม่ใช่ไม่มี เวลามีเหตุภัยพิบัติ คนไทยก็มักช่วยกัน บริจาคสิ่งของ การบริจาคสิ่งของนี้ก็เช่น กัน ถ้าบริจาคเพื่อหวังผลตอบแทน ก็ไม่ใช่การให้ที่แท้จริง การให้ที่แท้จริง ไม่หวังอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ความสบายใจ แต่คิดว่า เป็นสิ่งที่ควรทำ

ผมเคยตักบาตร มีหลวงพ่อวัดข้างบ้านมารับบิณฑบาต หลวงพ่อเป็นพระอายุมาก บวชเมื่อแก่ ตอนจะตักบาตร ผมบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อไม่ต้องให้พรนะ ท่านก็ทำท่างง ๆ ตักบาตรเสร็จ ท่านก็ให้พร ผมบอกว่าไม่ต้องหรอกหลวงพ่อ ท่านก็งงหนัก ท่านก็จะให้ ผมเลยปล่อยเลยตามเลย ผมห้ามท่านไม่ได้จริง ๆ

ผมเลยรู้สึกว่า การตักบาตรครั้งนี้ เป็นการกระทำที่สูญเปล่า และจากนั้นมา ผมไม่เคยตักบาตรอีกเลย หรืออาจจับพลัดจับผลู ต้องไปร่วมงานตักบาตร ผมจะไม่มีความรู้สึกร่วมกับงานนั้นเลย ถ้ามีการให้พร

การรับบิณฑบาตร แล้วพูดคุย ถามสารทุกข์สุขดิบกับชาวบ้านนั้น เป็นสิ่งควรทำ ดีเสียอีก จะได้รับรู้ปัญหาของชาวบ้าน แต่ไม่ใช่ไปหยอกล้อเล่นกัน เหมือนหนังเรื่องหลวงพี่เท่ง 3 นั่นก็เกินไป เล่นกันเหมือนเด็ก ๆ น่าทุเรศ แต่มันเป็นหนัง แต่ถ้ารับผิดชอบต่อสังคมบ้างก็ดี

ใครที่อ่านบทความของผมแล้ว แล้วจะเข้ามาโพสต์ในทำนอง กระแทกแดกดัน กระแนะกระแหน ประชดประชัน ก็ได้ แต่ให้สมัครสมาชิกเข้ามา อย่ามาทำแบบลับๆ ล่อๆ มันไม่เท่เลย น่าสมเพชอีกต่างหาก

คุณหลวง

อ้างจาก: wareerant เมื่อ 13:38 น.  04 เม.ย 55
ผมเคยตักบาตร มีหลวงพ่อวัดข้างบ้านมารับบิณฑบาต หลวงพ่อเป็นพระอายุมาก บวชเมื่อแก่ ตอนจะตักบาตร ผมบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อไม่ต้องให้พรนะ ท่านก็ทำท่างง ๆ ตักบาตรเสร็จ ท่านก็ให้พร ผมบอกว่าไม่ต้องหรอกหลวงพ่อ ท่านก็งงหนัก ท่านก็จะให้ ผมเลยปล่อยเลยตามเลย ผมห้ามท่านไม่ได้จริง ๆ

ผมเลยรู้สึกว่า การตักบาตรครั้งนี้ เป็นการกระทำที่สูญเปล่า และจากนั้นมา ผมไม่เคยตักบาตรอีกเลย หรืออาจจับพลัดจับผลู ต้องไปร่วมงานตักบาตร ผมจะไม่มีความรู้สึกร่วมกับงานนั้นเลย ถ้ามีการให้พร


    ก่อนอื่นครับ ขอเรียนท่าน  tayphone ก่อนว่า ผมมาฉุกคิดว่าความหมายของท่านคือแบบที่ท่านว่าก็ตอนเอ็นเตอร์ไปเรียบร้อย และไม่ได้แก้ไข ขออภัยครับผม และขอบอกว่า พระอย่างนั้นอย่าส่งเสริมแหละดีแล้วครับ สาธุ...

    กลับมาที่ท่าน wareerant ครับ ผมไม่ตำหนินะครับ แต่ส่วนที่ผมคัดมานั้น ผมอยากบอกท่านว่า นั่นไม่ใช่หนทางแห่งความพ้นทุกข์เลย เพราะท่านพยายามที่จะไม่ยึดติดประเพณีนั้น

    แต่ท่านกลับมายึดติดความไม่ยึดติดในประเพณีของท่าน จนทำให้ใจท่านหมองไปเอง ความไม่ยึดติดนั้นมิได้หมายความว่าเราจะต้องไปต่อต้านคนที่เขายึดติด แต่เพราะเราเข้าใจถึงความเป็นธรรมดาของโลกอย่างนั้นเองของมัน เราไม่ใส่ใจมันเสียก็เท่านั้น

    แต่การที่ท่านถึงกับหยุดการตักบาตร และหมดอารมณ์ร่วมบุญนี่ ถือว่าท่านเองก็ค่อนข้างยึดติดแรงไปในความไม่ยึดติดของตนเอง ซึ่งแทนที่ความเข้าใจของท่านจะทำให้ท่านมีความสุข (และบุญ)มากขึ้น กลับต้องหมองไปเพราะเห็นความผิดผู้อื่น

    แน่ล่ะครับ ท่านอาจจะว่าท่านไม่หมองอะไร ไม่สนใจอะไร แต่ท่านตอบใจตัวเองดีกว่าครับว่าหมองหรือไม่ในยามที่ใจต้องคำนึงอยู่กับความผิด ความเข้าใจผิด ความยึดถือผิดๆของผู้อื่น

    ซึ่งว่ากันตามที่จริง การที่พระท่านให้พรก็ไม่ใช่เสียหายอะไร ท่านแค่อนุโมทนาบุญที่เราทำ ท่านอนุโมทนาที่เราได้ให้กำลังแก่ท่าน เราก็ควรสาธุเพื่อความสุขใจที่ยิ่งๆขึ้นไป แต่เมื่อท่านอนุโมทนาบุญกับเรา เรากลับไม่เอาๆ ไม่ไหวเลย ยึดติด กลับทำให้ใจเราเสียไปเองเพราะความยึดติดของท่านหรือของเรา?

    ท่านอาจจะว่าไม่ใช่อนุโมทนา แต่หากแปลยะถา สัพพี ออกมาก็จะทราบว่าอย่างไร พระท่านให้ระหว่างทางโดยย่อ เพราะไม่เหมาะ ไม่สะดวกแก่การให้เต็มสูตรเท่านั้น

    ส่วนจะถือเป็นความแลกเปลี่ยนหรือไม่ อันนี้แล้วแต่ใครระดับไหน อย่างไรครับ เราไม่อาจทำให้ทุกคนเข้าใจได้ทั้งหมด แต่เราสามารถทำเราให้เข้าใจและมีความสุขกับมัน ส่วนคนที่เขาต้องการแลกเปลี่ยนบุญ สวรรค์ ชาติหน้า อุทิศญาติ มันก็เป็นไปตามภูมิจิตภูมิใจของเขาเอง (ไม่เกี่ยวกับเรา)

    หากเราสามารถทำให้คนเราสามารถเข้าใจ เข้าถึงระดับเดียวกันมันก็คงไม่มีปัญหา จริงไหมครับ

    ส่วนเรื่องการบิณฑบาตนั้นเป็นอริยะประเพณี และเป็นประเพณีนักบวชที่จะไม่ทำงาน แต่แสวงหาความหลุดพ้นโดยส่วนเดียว คนที่เขาศรัทธาก็ช่วยเหลือเรื่องอาหารกันไป คนที่ไม่ศรัทธาก็ไม่ให้ แล้วแต่ใครๆคนนั้นจะรู้สึก และหากสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องออกแสวงหาอาหารจากชาวบ้าน เช่น สามารถอิ่มทิพย์ เสกอาหารได้ หรือญาติมาส่งทุกวัน จะไม่ออกบิณฑบาตก็มิใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด

    อันนี้ก็ขออนุญาตติติงไป แต่ด้วยใจที่ปรารถนาดีจริงๆหากพลั้งผิดล่วงเกินก็ขออภัยไว้ตรงนี้ด้วยครับผม


มีความสุขในยามใกล้สนธยาครับ...สะบายดี
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวงขลับ

.


...ตามมาอ่านความเห็นดีๆ ไม่มีพิษ ไม่มีภัย มีแต่เมตตา กรุณา ของคุณหลวง ส-ฝนเล็บ ส.หัว

wareerant

คนเราทำในสิ่งที่เราไม่เชื่อว่าดีไม่ได้หรอกครับ จะให้ผมทำอย่างไร ตักบาตรทุกวัน รับพรทุกวัน ผมคงทำไม่ได้ เลิกซะ ยังสบายใจกว่า

ตอนนี้ผมก็ปล่อยวางแล้ว เรื่องการตักบาตร เรื่องพิธีกรรมทางศาสนา พูดให้ถูกคือผมปล่อยวางศาสนาพุทธไปแล้ว มีแต่หลักการดีๆ บางอย่างที่เก็บเอาไว้ และมาประยุกต์ใช้กับตัว


Gemini

อันนี้ ก็แล้วแต่ ความเชื่อ และ ความศรัทธา ของแต่ละคน
ใครชอบสิ่งไหนก็ทำสิ่งนั้นแหละ
ทำดี ทำได้กันทุกคน
ส.อ่านหลังสือ ส.อ่านหลังสือ
"ไม่สวย ไม่หล่อ หาหมอศัลยกรรม  ความคิด จิตต่ำ ศัลยกรรมช่วยไม่ได้จริง ๆ"

ธรรมในใจ

อ้างจาก: gemini เมื่อ 22:17 น.  04 เม.ย 55
อันนี้ ก็แล้วแต่ ความเชื่อ และ ความศรัทธา ของแต่ละคน
ใครชอบสิ่งไหนก็ทำสิ่งนั้นแหละ
ทำดี ทำได้กันทุกคน
ส.อ่านหลังสือ ส.อ่านหลังสือ

การทำดี ไม่เห็นว่าจะต้องหวังอะไร  ก็เหมือนการที่เราให้ของกับใคร เราก็อยากได้ยินคำขอบคุณ  เพียงแต่การตักบาตรก็ยังเป็นประเด็นในการให้พรของพระ  จะให้พร หรือ ไม่ให้พร  หากผู้ให้มีเจตนาที่ดีไม่หวังผลตอบแทน  ผมว่ามันก็สุขใจแล้วครับ

คุณหลวง

อ้างจาก: wareerant เมื่อ 19:08 น.  04 เม.ย 55
คนเราทำในสิ่งที่เราไม่เชื่อว่าดีไม่ได้หรอกครับ จะให้ผมทำอย่างไร ตักบาตรทุกวัน รับพรทุกวัน ผมคงทำไม่ได้ เลิกซะ ยังสบายใจกว่า

ตอนนี้ผมก็ปล่อยวางแล้ว เรื่องการตักบาตร เรื่องพิธีกรรมทางศาสนา พูดให้ถูกคือผมปล่อยวางศาสนาพุทธไปแล้ว มีแต่หลักการดีๆ บางอย่างที่เก็บเอาไว้ และมาประยุกต์ใช้กับตัว

    แล้วความเชื่อของท่านมันถูกต้องหรือไม่ครับ มันเกิดจากทิฏฐิของท่านหรือเปล่า ในเมื่อท่านยังเชื่อ แล้วท่านเชื่อสิ่งนั้นๆด้วยเหตุผลใด ท่านเองไม่เคยมีความผิดเลยหรือ ท่านไม่ตักบาตรเพียงเพราะไม่อยากรับพร(หรือเพราะยังมีเหตุผลอื่นร่วมด้วย)

    ถามท่านตรงๆการรับพรมันไม่ดีตรงไหนหรือครับ หากว่าท่านไปพบผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านยกมือไหว้ ท่านให้พร เออๆ อายุมั่นขวัญยืนนะลูก คุณมิต้อง ไม่เอาๆ แล้วก็เกลียด แล้วก็ไม่ทำอีกเลยอย่างนั้นหรือไม่

    พระท่านให้พรก็ไม่ต่างกับที่ผู้เฒ่าผู้แก่ ปู่ย่าตายายให้พรหรอกครับ คือ สาธุต่อความดีที่เราได้ทำ แล้วมันไม่ดีตรงไหน แน่ล่ะครับ มันอาจจะดูว่าเป็นการแลกเปลี่ยนอะไรๆตามที่ใครๆเป็นกัน แต่ท่านเป็นอย่างนั้นด้วยหรือไม่ ทำไมต้องทุกข์ใจกับความไม่รู้ของคนอื่น กับความยึดถือของคนอื่นๆ แล้วมันก็กลายเป็นทุกข์เพราะความยึดถือของเราเอง

    แต่เมื่อท่านยอมรับความเป็นไปธรรมดาของคนอื่นๆสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่ได้ ก็เลิกเสียก็ดีไปทางหนึ่ง

    เพราะว่าที่จริงแล้วศาสนาพุทธ หรือพูดให้ถูกขึ้นไปอีกนิดคือความเป็นธรรมดาของธรรมชาตินั้นให้ทุกข์เฉพาะผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่เท่านั้น

    เมื่อเข้าใจศาสนาพุทธ เข้าถึงศาสนาพุทธ ก็จะไม่มีศาสนาอีกต่อไป ปล่อยวางความเป็นศาสนาและทุกสิ่งทุกอย่างไปสิ้น ไม่มีใครสำหรับเป็น หรือทำอะไร ไม่มีพิธีกรรม เป็นเอกภาพในตัวเองเท่านั้นแต่สอดคล้องประสานไปด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง ไม่มีผู้ถูก ไม่มีผู้ผิด ทั้งๆที่ยังอยู่ในสังคมที่ยังเต็มไปด้วยถูกผิดอย่างที่เราเป็นอยู่นี้เอง

    เหมือนท่านจะเข้าถึงศาสนพุทธแต่ที่จริงท่านก็ไม่ได้รู้จักศาสนาพุทธแม้แต่น้อย ท่านได้แต่เห็นเปลือก หลงสะเก็ดเปลือกแล้วมาทุกข์อยู่เท่านั้นเอง จึงธรรมดาครับที่ท่านจะต้องละทิ้งไป

          พระพุทธองค์ทรงแสดงกาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย หรือหลักความเชื่อ 10 ประการ เป็นหลักตัดสิน คือ

๑. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
๒. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
๓. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
๔. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
๕. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
๖. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
๗. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
๘. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
๙. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
๑๐. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา

    เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ


สะบายดี...ในยามฟ้าหลังฝน
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คนค้าแก้ว

สวัสดีครับคุณหลวง แล้วถ้าเราใช้หลักทำแล้วสบายใจไม่สบายใจไม่ทำจะเข้ากับธรรมข้อไหนบ้างรึเปล่า เช่นถ้ามีคนมาอเงินเราเราให้เขาไปแต่ใจกลับคิดว่าคงจะเอาเงินเราไปซื้อเหล้าซื้อยาแน่เลย กับถ้าเราไม่ให้เงินเขาไปอย่างไหนจะเป็นบุญเป็นบาปมากกว่า
ไม่ต้องบินสูงอย่างใครเขา จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่บินไปให้ถึงฝันเท่านั้นพอ

wareerant

อ้างถึงแล้วความเชื่อของท่านมันถูกต้องหรือไม่ครับ มันเกิดจากทิฏฐิของท่านหรือเปล่า ในเมื่อท่านยังเชื่อ แล้วท่านเชื่อสิ่งนั้นๆด้วยเหตุผลใด ท่านเองไม่เคยมีความผิดเลยหรือ ท่านไม่ตักบาตรเพียงเพราะไม่อยากรับพร(หรือเพราะยังมีเหตุผลอื่นร่วมด้วย)


แล้วคุณหลวงเชื่อว่าความเชื่อของตนเองถูกต้องแล้วหรือ คุณหลวงเป็นใครหรือครับ พระเจ้า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์หรือ ทำไมถึงได้ตัดสินว่าความคิดของผมเป็นมิจฉาทิฎฐิ ความคิดของตนเป็นสัมมาทิฎฐิ คัมภีร์หรือ อาจารย์หรือ ความเชื่อมั่นในตนเองหรือ เขาว่ามาหรือ หรือ เผื่อว่ามันเป็นอย่างอื่นไว้มั่งหรือเปล่า

คนเราทำความผิดมาแล้วทั้งนั้น ผมไม่ตักบาตรเพราะไม่อยากรับพรหรือ ใช่ครับ ผมเชื่อของผมแบบนี้ ผมเชื่อว่าการให้โดยไม่หวังบุญหรืออะไรเป็นการฝึกตนอย่างหนึ่ง ผิดหรือเปล่า

อ้างถึงถามท่านตรงๆการรับพรมันไม่ดีตรงไหนหรือครับ หากว่าท่านไปพบผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านยกมือไหว้ ท่านให้พร เออๆ อายุมั่นขวัญยืนนะลูก คุณมิต้อง ไม่เอาๆ แล้วก็เกลียด แล้วก็ไม่ทำอีกเลยอย่างนั้นหรือไม่


การไปพบผู้เฒ่าผู้แก่แล้วรับพร เป็นสิ่งดี ให้ผมก็รับ แต่อยากบอกว่า ขอเถอะ ขอให้ผมได้ฝึกตนกับพระบ้าง ขอให้ผมได้บำเพ็ญสิ่งที่เรียกว่า การให้ทีแท้จริงบ้าง

พระกับผู้เฒ่า ญาติผู้ใหญ่ ไม่เหมือนกัน ท่านเป็นฆราวาส การให้ การแลกเปลียน ซื้อ ขาย เป็นเรื่องปกติ
แต่พระสงฆ์ไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าบอกให้ฝึกเอาไว้ เหตผลการบิณฑบาต ก็อย่างที่ยกไว้ข้างต้น

อ้างถึงพระท่านให้พรก็ไม่ต่างกับที่ผู้เฒ่าผู้แก่ ปู่ย่าตายายให้พรหรอกครับ คือ สาธุต่อความดีที่เราได้ทำ แล้วมันไม่ดีตรงไหน แน่ล่ะครับ มันอาจจะดูว่าเป็นการแลกเปลี่ยนอะไรๆตามที่ใครๆเป็นกัน แต่ท่านเป็นอย่างนั้นด้วยหรือไม่ ทำไมต้องทุกข์ใจกับความไม่รู้ของคนอื่น กับความยึดถือของคนอื่นๆ แล้วมันก็กลายเป็นทุกข์เพราะความยึดถือของเราเอง


พระท่านให้พร ไม่ใช่เรื่องแปลก กลับวัดแล้วหลังฉันเสร็จท่านก็ให้พร นั่นคือ ให้พร ถูกที่ ถูกเวลา เพราะอะไรถึงกำหนดว่า ต้องกลับวัดก่อน แล้วค่อยให้พร เพราะมันจะไม่เป็นการแลกเปลี่ยน คำสวดจะไม่เข้าไปกระทบกับจิตของญาติโยม ญาติโยมจะไม่รู้สึกว่า ได้รับพร ซึ่งก็ต้องยกย่อง พระสมัยก่อนที่กำหนดขึ้นมาแบบนี้ พระสมัยนี้ เพี้ยนไปมากแล้ว

อ้างถึงแต่เมื่อท่านยอมรับความเป็นไปธรรมดาของคนอื่นๆสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่ได้ ก็เลิกเสียก็ดีไปทางหนึ่ง

    เพราะว่าที่จริงแล้วศาสนาพุทธ หรือพูดให้ถูกขึ้นไปอีกนิดคือความเป็นธรรมดาของธรรมชาตินั้นให้ทุกข์เฉพาะผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่เท่านั้น


ผมเลิกไปเพราะผมห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ทำอย่างไร เราห้ามคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องปรับตัวเรา คิดดูระหว่าง บังคับพระไม่ให้พร ต้องทะเลาะกับพระ กับเลิกซะ อย่างไหนดีกว่า เหมือนที่เขาว่า ทัศนคติไม่ตรงกัน เข้ากันไม่ได้ ก็แบบนี้แหละ

อ้างถึงเมื่อเข้าใจศาสนาพุทธ เข้าถึงศาสนาพุทธ ก็จะไม่มีศาสนาอีกต่อไป ปล่อยวางความเป็นศาสนาและทุกสิ่งทุกอย่างไปสิ้น ไม่มีใครสำหรับเป็น หรือทำอะไร ไม่มีพิธีกรรม เป็นเอกภาพในตัวเองเท่านั้นแต่สอดคล้องประสานไปด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง ไม่มีผู้ถูก ไม่มีผู้ผิด ทั้งๆที่ยังอยู่ในสังคมที่ยังเต็มไปด้วยถูกผิดอย่างที่เราเป็นอยู่นี้เอง


ผมเห็นด้วย อย่างคุณหลวงนี่ยังมีศาสนาอยู่เต็มหัวใจเลย

อ้างถึงเหมือนท่านจะเข้าถึงศาสนพุทธแต่ที่จริงท่านก็ไม่ได้รู้จักศาสนาพุทธแม้แต่น้อย ท่านได้แต่เห็นเปลือก หลงสะเก็ดเปลือกแล้วมาทุกข์อยู่เท่านั้นเอง จึงธรรมดาครับที่ท่านจะต้องละทิ้งไป


เปลือกของศาสนาพุทธ ไม่ใช่อย่างที่ท่านว่ามานะครับ เปลือกของศาสนาพุทธ เกิดจากการเอาศาสนาพราหมณ์ ผี เข้ามาห่อหุ้มไว้ เช่น นรก สวรรค์ บุญ เทพเจ้า เทวดา ชาติภพ หรือเรียกว่า ปกรณัมทั้งหลายแหล่

จนปัจจุบัน คนส่วนใหญ่แยกไม่ออกว่า ไหนพุทธ ไหนพราหมณ์ ไหนผี

เปลือกก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าไม่มีเปลือกห่อหุ้มแก่นไว้ แก่นก็อยู่ไม่ได้ และตายในที่สุด

แต่ท่านอย่าไปคิดเลยครับ ว่าผมนับถือเปลือกหรือแก่น ผมไม่มีอะไรทั้งนั้น ผมไม่ได้นับถือพุทธ เพียงแค่นำหลักการดี ๆ มาใช้เท่านั้น และเรื่องตักบาตร ผมไม่ตักบาตรก็ไม่เห็นจะเป็นไร สบายใจเสียอีก

บางครั้งคนเราอาจคิดว่า ความคิดของเราถูกแน่ ๆ ชัวร์ ๆ ใครคิดไม่เหมือนเรา ผิด

มันก็ไม่แน่นอนเสมอไปหรอกครับ

ต้องขออภัยหากพูดอะไรไม่ถูกใจไป แต่ถ้าจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ก็ต้องทำอย่างเปิดอก หวังว่าคงไม่เคืองกัน

ธรรมในใจ

บางครั้งก็แปลกดีครับ  เรามาวิจารณ์พระกัน  ทั้งๆ ที่ผู้วิจารณ์เองศีล 5 เรายังไม่ครบกันเลย 
ถึงพระท่านจะเป็นอย่างไร  ท่านจะเป็นพระสุปฏิปันโณหรือไม่ก็ตาม 
หากพระท่านไม่ปราชิกแล้ว  ก็ยังสมควรแก่การไหว้กราบอยู่ดีครับ

คุณหลวง

อ้างจาก: คนค้าแก้ว เมื่อ 21:13 น.  05 เม.ย 55
สวัสดีครับคุณหลวง แล้วถ้าเราใช้หลักทำแล้วสบายใจไม่สบายใจไม่ทำจะเข้ากับธรรมข้อไหนบ้างรึเปล่า เช่นถ้ามีคนมาอเงินเราเราให้เขาไปแต่ใจกลับคิดว่าคงจะเอาเงินเราไปซื้อเหล้าซื้อยาแน่เลย กับถ้าเราไม่ให้เงินเขาไปอย่างไหนจะเป็นบุญเป็นบาปมากกว่า

    สวัสดีครับ พี่คนค้าแก้วครับ หายไปนาน คิดถึงอยู่ประจำ ที่ท่านถามว่า "ทำแล้วสบายใจไม่สบายใจไม่ทำจะเข้ากับธรรมข้อไหนบ้างรึเปล่า" นั้น ก็คงจะเข้ากับการทำบุญในที่ที่ตนศรัทธานั่นล่ะครับ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องผู้ที่พิจารณาแล้วศรัทธา พิจารณาแล้วให้ทานว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะควรให้ในที่ๆเป็นประโยชน์

    และในส่วนของบุญที่เกิดจากการให้นั้นมีความในพระไตรปิฎกว่า มีพราหมณ์ผู้หนึ่งโกรธพระพุทธองค์ว่าพระพุทธองค์ทรงสอนว่าให้ทานเฉพาะพระพุทธองค์และสาวกเท่านั้นจึงเป็นบุญ จึงรุดไปถาม พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า

    "ดูก่อนพราหมณ์ เรากล่าวว่า แม้บุุคคลสาดเศษอาหารทิ้งไปด้วยประสงค์ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยพึงได้ประโยชน์ก็เป็นบุญ นับประสาอะไรกับคนเล่า" พราหมณ์ได้ฟังคำตอบก็เลื่อมใสในพระพุทธองค์

อ้างถึงต้องขออภัยหากพูดอะไรไม่ถูกใจไป แต่ถ้าจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ก็ต้องทำอย่างเปิดอก หวังว่าคงไม่เคืองกัน

    ท่าน wareerant ครับ ผมก็ขออภัยหากทำให้ท่านขัดใจ และผมก็ไม่เคืองท่านหรอกครับผม สิ่งที่ท่านสงสัยมา ผมขอเรียนดังนี้ครับ

    หากท่านเคยอ่านกระทู้ของผมมา ท่านจะพบในบ่อยครั้งว่า ผมจะบอกไว้ท้ายคำตอบว่า สิ่งที่ผมพูดอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด ขอผู้อ่านได้พิจารณาต่อเองด้วย

    และหากท่านอ่านความที่ผมเขียนไปนั้นอย่างละเอียดสักนิดท่านก็จะเห็นว่าผมไม่ได้ตัดสินท่านเลย ผมเพียงทักท้วงให้ท่านได้คิดเท่านั้นเองว่าการที่ท่านเลิกทำในสิ่งที่ดีเพียงเพราะผู้อื่นไม่เข้าใจอย่างที่ท่านเข้าใจนั้นไม่น่าจะถูกต้องนัก

    การให้ที่แท้จริงไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องให้สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างที่เราต้องการ แต่เกิดจากความเข้าใจในความเป็นธรรมดาของมัน แล้วไม่ยึดติดกับมันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง

    อย่างการที่พระท่านให้พร ท่านก็ให้ตามความนิยมของท่าน การที่เราไม่รับก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เราตัดสินได้อย่างไรว่าท่านผิด ท่านอาจให้โดยเจตนาดี(และอนุโลมไปตามยุคสมัย เพราะสมัยนี้คนไม่มีมีเวลาที่จะตามไปถึงวัดสักเท่าไหร่ ท่านก็ให้โดยย่อเสียที่ตรงนั้น) ทำไมเราต้องว่าท่านผิด ท่านไม่ถูกต้อง

 
อ้างถึงเปลือกของศาสนาพุทธ ไม่ใช่อย่างที่ท่านว่ามานะครับ เปลือกของศาสนาพุทธ เกิดจากการเอาศาสนาพราหมณ์ ผี เข้ามาห่อหุ้มไว้ เช่น นรก สวรรค์ บุญ เทพเจ้า เทวดา ชาติภพ หรือเรียกว่า ปกรณัมทั้งหลายแหล่

    ต้องขออภัยนะครับ เปลือกของศาสนาพุทธไม่ใช่พราหมณ์อย่างที่ท่านว่าหรอกครับ ศาสนาพุทธคือศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์คือศาสนาพราหมณ์ อย่างต้นไม้สองต้น ต้นหนึ่งต้นพุทธ ต้นหนึ่งต้นพราหมณ์ แม้จะเกี่ยวพันรัดร้อยกัน แต่ยังเป็นคนละต้น คนละเปลือกอยู่ดี และแม้จะมีเปลือกของอีกต้นหลุดมาติดกับอีกต้น นั่นก็มิอาจเรียกว่าเปลือกของต้นนั้น(แต่อาจจะเป็นได้เฉพาะผู้ที่ขาดการพิจารณา หรือไม่รู้จัก แยกแยะไม่ได้ระหว่างต้นทั้งสอง)

    เปลือกของศาสนาพุทธนั้นคือ ผมขอย่อความจูฬสาโรปมสูตร เล่ม ๑๒ หน้า ๓๗๔ ดังนี้ครับ

    มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ ปิงคลโกจฉะ เข้าไปเฝ้าและกราบทูลว่า

        "พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะเป็นคณาจารย์ มีคนรู้จักมาก มีเกียรติยศเป็นเจ้าลัทธิ อันชนหมู่มากเข้าใจกันว่าเป็นคนดี เช่น ปูรณะ กัสสป, มักขละ โคสาล, อชิตะ เกสกัมพล, ปกุธะ กัจจายนะ, สัญชัย เวลัฏฐบุตร, และ นิครนถนาฏบุตร๑ สมณพราหมณ์ทั้งหมดนั้น รู้แจ้งเห็นจริงตามปฏิญญาของตน หรือว่าไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลย หรือบางพวกรู้ บางพวกไม่รู้"

        พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "อย่าเลย พราหมณ์ ข้อที่สมณพราหมณ์ทั้งหมดนั้น รู้แจ้งเห็นจริงตามปฏิญญาของตน หรือไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลยเป็นต้นนั้น ขอจงยกไว้ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังให้ดีเถิด" พราหมณ์ทูลรับคำ

        พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า "ดูก่อนพราหมณ์ มีข้ออุปมาว่า บุรุษผู้ต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหากแก่นไม้อยู่ เมื่อมีต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่ ละเลยแก่น, กะพี้, เปลือก, และสะเก็ดไม้เสีย ตัดเอากิ่งและใบไม้ไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น คนที่รู้เรื่องดีเห็นเข้า ก็จะพึงกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกะพี้, เปลือก, สะเก็ด, กิ่งและใบไม้ เมื่อต้องการแก่นไม้ จึงละเลยแก่นเป็นต้น ตัดเอาแต่กิ่งและใบไม้ไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ทั้งจะไม่ได้รับประโยชน์จากกิ่งและใบไม้นั้นด้วย"

              "มีอุปมาอื่นอีก บุรุษต้องการแก่นไม้ แต่ถากสะเก็ดไม้ไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น หรือถากเปลือกไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น หรือถากกะพี้ไม้ไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ก็จพึงถูกหาว่า ไม่รู้จักแก่นไม้เป็นต้น และไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ถากไปนั้นเช่นเดียวกัน"

              "อีกอุปมาหนึ่ง บุรุษต้องการแก่นไม้ ก็ตัดเอาแต่แก่นไป ด้วยรู้จักแก่นไม้ คนที่รู้เรื่องดีเห็นเข้าก็จะพึงกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญนี้ รู้จักแก่น กะพี้ เปลือก สะเก็ด กิ่งและใบไม้ ต้องแก่นไม้ก็ตัดเอาแต่แก่นไป ด้วยรู้จักแก่นไม้ ทั้งจะได้รับประโยชน์จากแก่นไม้นั้นด้วย"

              "ดูก่อนพราหมณ์ ข้ออุปไมยก็ฉันเดียวกันนั่นแหละ คือกุลบุตรบางคนในศาสนานี้ มีศรัทธาออกบวชไม่ครองเรือน ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และความคับแค้นใจ เข้าถึงตัวแล้ว อันความทุกข์เข้าถึงตัวแล้ว มีความทุกข์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ไฉนหนอการทำที่สุดแห่งทุกข์ทั้งหมดนี้จะปรากฏ

               ผู้นั้นออกบวชแล้ว ลาภสักการะและชื่อเสียงเกิดขึ้น ก็อิ่มใจ เต็มความปรารถนาด้วยลาภสักการะและชื่อเสียงนั้นก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ เป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือน ผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่น, กะพี้, เปลือก, และสะเก็ดเสีย ตัดเอากิ่งและใบไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ฉะนั้น"

              "อนึ่ง บุคคลบางคนออกบวชได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล ก็อิ่มใจ เต็มปรารถนาด้วยสีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล)  ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ เป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่น กะพี้ และเปลือกเสีย ถากเอาสะเก็ดไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ฉะนั้น"

              "อนึ่ง บุคคลบางคนออกบวช ได้ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ (ความตั้งมั่นหรือความสงบแห่งจิต) ก็อิ่มใจ เต็มปรารถนาด้วยสมาธิสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ) ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ เป็นผู้มีความประพฤติหย่อนหละหลวม เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่นและกะพี้เสีย ถากเอาเปลือกไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่นฉะนั้น"

              "อนึ่ง บุคคลบางคนออกบวช ได้ญาณทัสสนะ (ความเห็นด้วยญาณหรือปัญญา) ก็อิ่มใจ เต็มปรารถนาด้วยญาณทัสสนะ ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ เป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่นเสียถากเอากะพี้ไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ฉะนั้น"

              "อนึ่ง บุคคลบางคนอออกบวช ก็ปลูกความพอใจ พยายามเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ ไม่มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม อาสวะของภิกษุนั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ ก็ตัดเอาแต่แก่นไม้ไป ฉะนั้น"

              "ด้วยประการฉะนี้แหละพราหมณ์ พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีลาภสักการะชื่อเสียงเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความสมบูรณ์ด้วยสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ แต่ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบอันใด พรหมจรรย์นี้ มีความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบนั้นแหละเป็นที่ต้องการ นั้นเป็นแก่นสาร นั้นเป็นที่สุดโดยรอบ"

              เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ปิงคลโกจฉพราหมณ์กราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต.


    ท่านจะเห็นว่าพระพุทธองค์มิเคยกล่าวโทษศาสนาอื่นหรือกล่าวโทษคนอื่นเลย ต้นพุทธคือต้นพุทธ ต้นพราหมณ์คือต้นพราหมณ์

    ที่ผมกล่าวว่าท่านติดเปลือก ติดสะเก็ดเปลือกเพราะท่านยังไปติดกัีบการกระทำของพระในยุคปัจจุบันที่ต้องประนีประนอมตามสังคมเท่านั้น จนถึงกับหันหลังให้กับการตักบาตร ก็อาจจะแรงไปหน่อยก็ขอขมามา ณ โอกาสนี้ครับ

    ผมเปิดอกมาพูด ไม่เคยคิดร้ายหมายอาฆาตต่อผู้ขัดแย้งหรือไม่เห็นด้วย ผมท้วงติงมายังท่านเพราะปรารถนาดีจริงๆ แต่อย่างว่าครับ ผมอาจจะผิดก็ได้  ส.ฉันเอง

    และที่ผมกล้าทักท้วงท่าน เพราะเห็นว่าท่านใคร่ในการศึกษาผู้หนึ่ง น่าที่จะสนทนากันอย่างตรงไปตรงมาได้ และไม่เคยคิดชวนทะเลาะหรือแย้งเพื่ออวดตัวแต่อย่างใด



สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

wareerant

รับทราบครับ