ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

สเปซ เอ็กซ์ จะออกเดินทางจากโลกวันที่ 7 พ.ค.

เริ่มโดย ฅนสองเล, 15:06 น. 25 เม.ย 55

ฅนสองเล

โดย เนชั่นทันข่าว

สเปซ เอ็กซ์ บริษัทด้านอวกาศเอกชนที่ได้ชื่อว่า มีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ของนายเอลอน มัสค์ ผู้ร่วมก่อตั้งเพย์พัล ได้ประกาศเมื่อวันอังคาร ยืนยันแผนการส่งจรวดและ
แคปซูลขึ้นสู่อวกาศในวันที่ 7 พฤษภาคม อันเป็นเที่ยวบินประวัติศาสตร์เที่ยวแรก ที่ยานอวกาศ
ของเอกชนจะได้ขึ้นไปเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติ หรือ ISS

กำหนดปล่อยจรวดขนส่งอวกาศ ที่กำหนดขึ้นมาใหม่นี้ ล่าช้ากว่าแผนเดิมที่วางไว้คือ 30 เมษายน
หลังจากสเปซ เอ็กซ์ ระบุเมื่อวันจันทร์ว่า จำเป็นต้องมีการทดสอบแคปซูล ดราก้อน ที่ปราศจาก
คนขับให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งแคปซูลดราก้อน มีกำหนดจะถูกส่งขึ้นไปพร้อมกับจรวดฟัลคอน ไนน์
จากฐานยิงจรวดเคป คานาเวอรัล ของฐานทัพอากาศสหรัฐ ในรัฐฟลอริด้า

องค์การบริหารอวกาศและการบินแห่งชาติของสหรัฐ หรือ นาซ่า และสถานีอวกาศเคป คานาเวอรัล
ของฐานทัพอากาศสหรัฐ ได้อนุมัติตามคำขอของสเปซ เอ็กซ์ ที่ต้องการให้ปล่อยจรวดในวันที่ 7
พฤษภาคมมสำหรับภารกิจที่มีชื่อว่า คอทส์ ทู (COTS 2) และสเปซ เอ็กซ์ ได้ระบุในเฟซบุ๊คว่า
มีกำหนดปล่อยจรวดขนส่งและแคปซูล ในเวลา 09.38 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 20.38 น.
ตามเวลาในไทย

สเปซ เอ็กซ์ มีเป้าหมายที่จะนำแคปซูลไปเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศ ISS โดยเมื่อแคปซูลดราก้อน
เข้าไปใกล้กับ ISS ลูกเรือของ ISS ก็จะใช้แขนกลในการเชื่อมต่อ ซึ่งแคปซูล ดราก้อน มีภารกิจ
ในการนำสัมภาระน้ำหนัก 521 กิโลกรัม ไปส่งยังห้องแล็บอวกาศ พร้อมกับนำสัมภาระน้ำหนัก
660 กิโลกรัม กลับมายังโลกอีกด้วย

สเปซ เอ็กซ์ สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการปล่อยแคปซูลดราก้อนขึ้นสู่อวกาศ เมื่อเดือนธันวาคมปี
2553 และกลายเป็นการขนส่งอวกาศไป-กลับเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรก ปัจจุบัน สเปซ เอ็กซ์และ
อีกหลายบริษัท ต่างแข่งขันกันที่จะเป็นเจ้าแรกในการเป็นเจ้าของแคปซูลเอกชน ที่นำนักบินอวกาศ
และสัมภาระขึ้นไปบน ISS หลังจากนาซ่า ปลดระวังจรวดขนส่งและยานอวกาศไปเมื่อปีที่แล้ว

ซุปเปอร์ฮีโร่


powerphone2522

พิมพ์ข้อความผิดพลาดประการใดขออภัยมาน่ะที่นี้ด้วยครับ

ซัมเบ้ Note 7 Jr.

อีกก้าวหนึ่งของมนุษยชาติ

ไปถึงดาวนาเม๊คแล้วโทร.บอกผมด้วยละกัน  ส.หัว ส.หัว
ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

ไปแบบไม่เสียตัง

เรื่องราวการถอดจิตไปดวงดาวต่างๆและมนุษย์ต่างดาว
จุไร ท่องเที่ยวดวงดาว  โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ   
ลูกหลานทุกคนโปรดทราบ วันนี้วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๐ ที่พ่อป่วยไปหลายวัน หลังจากเล่านิทานไปเที่ยวโลกพระจันทร์ กลับมาแล้วในที่สุดก็ป่วย อาการป่วยเป็นด้วยอาการเฉียบพลัน ต้องรักษาแบบแปลกๆ คือการรักษาถ้าหมอรักษาตามแบบก็เห็นจะหายช้า หรือมิเช่นนั้นก็ต้องถูกทรมาน ก็จำต้องรักษาตามอาการของโรค ขอลูกรักทุกคนจงโปรดทราบว่า การเกิดของมนุษย์ทุกคนมีการเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้วก็มีความแก่ขึ้นทุกวันในท่ามกลาง มีความเจ็บไข้ไม่สบายอยู่เสมอ แล้วก็มีความตายในที่สุด สำหรับพ่อเป็นคนแก่แล้ว เมื่อความแก่เข้ามาถึงความตายก็จะเข้ามาถึงเป็นธรรมดาแต่ก่อนที่จะตายบรรดาลูกรักทุกคนมันก็ต้องป่วย ความจริงนี่พ่อป่วยเป็นอาชีพเพราะตรากตรำทำงานหนัก รับผิดชอบการงานหลายอย่าง ทั้งๆที่ไม่มีใครเขาใช้ แต่กฏของกรรมใช้จำจะต้องทำ ทำเพื่อความหมดทุกข์ แต่ก่อนที่จะหมดทุกข์มันก็มีทุกข์หนัก หนักทางกาย หนักทางใจ แต่กำลังความพอใจมันมีอยู่จึงมีความสุข
ก็รวมความว่าวันนี้มาคุยกับลูกหลานทุกคน หวังจะเล่านิทานสู่กันฟัง สำหรับนิทานลูกรักทุกคนโปรดทราบ จงอย่าถือเป็นความจริง เรื่องดวงดาวต่างๆมีจริง เรามองเห็นด้วยตาเปล่าก็มี ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าก็มี แต่ความเป็นมาจริงๆของดวงดาวเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องหนึ่งต่างหาก นี่เป็นเรื่องของนิทาน
นิทานวันนี้ก็จะเล่าเรื่องของ "จุไรไปเที่ยวโลกพระอังคาร" ดาวอังคารลูกรักทุกคน ตั้งแต่พ่อเกิดมาจำได้ว่าอายุ ๕ ปีเศษ ตอนนั้นอ่านหนังสือออกแล้ว ก็อ่านหนังสือพบว่าชาวเยอรมัน เขาตั้งกล้องดูโลกพระอังคาร ความจริงตอนนั้นเขาไม่สนใจเรื่องโลกพระจันทร์กัน หรือว่าเขาจะสนใจก็ไม่ทราบ แต่อ่านหนังสือทีไรพบว่า เขาต้องการโลกพระอังคาร เขามองดูโลกพระอังคาร บางปีเขาบอก โลกพระอังคารลอยเข้ามาใกล้ บางปีเขาบอกว่าไกลออกไปอย่างนี้เป็นต้น
ก็เป็นอันว่าโลกพระอังคารมีจริง แต่ว่าพ่อเองหรือใครก็ตาม ไม่สามารถมองเห็นโลกพระอังคารด้วยตาเปล่า วันนี้ก็มาเล่านิทานเรื่องโลกพระอังคารกัน สำหรับลูกหลานที่เคยฟังกันมาแล้วก็ไม่ใช่ของแปลก ท่านที่ไม่เคยฟังท่านที่เป็นผู้ใหญ่ก็ดี ที่เป็นเด็กก็ดี ถ้าจะถามว่าความรู้ทางพระพุทธศาสนา ถ้าต้องการจะไปอย่างฝรั่งส่งจรวดขึ้นไปอย่างนี้ ต้องได้ "มโนยิทธิ หรือ อภิญญา" สามารถไปได้
ก็รวมความว่าหลักสูตรพระพุทธศาสนาไปได้จริงแหล่ แต่ทว่าวันนี้เป็นเรื่องของนิทาน แต่ความจริงก่อนที่จะเล่าก็อยากจะพูดกับลูกหลาน โปรดทราบว่าโลกพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี พระอังคารก็ดี พระพุธ พระศุกร์ พระเสาร์ พระเกตุ พระราหู ทั้งหมดนี้เป็นดาวนพเคราะห์ ในหลักสูตรโหราศาสตร์ในมหาทักษาถือเป็นพระเคราะห็สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาวที่เป็นบาปเคราะห์ ก็คือดาวอาทิตย์ ดาวอังคาร ดาวเสาร์ แล้วก็ดาวราหู ทั้ง ๔ ดาวนี้ปรากฏว่า ถ้าดาวดวงไหนหรือพระดวงไหนเสวยอายุ คนที่พระดวงนั้นๆ เสวยอายุก็ดี หรือว่าเข้าแทรกก็ดี จะมีแต่ความเดือดร้อน ความสุขจะหาได้ยาก จะมีความสุขบ้างก็มีความทุกข์หนัก
สำหรับดวงดาวที่เสวยอายุที่เป็นสมพระเคราะห์ ก็มีดวงจันทร์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวพฤหัส ทั้ง ๔ ดาวหรือ ๔ พระนี้ถ้าเสวยอายุใคร คนนั้นก็จะมีแต่ความสุข มีลาภมีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่วไป ขอเล่าย่อๆแต่เพียงเท่านี้ ฉะนั้นเมื่อกล่าวถึงดวงอาทิตย์ หรือโลกอาทิตย์ จึงพูดถึงความเร่าร้อน เมื่อกล่าวถึงดวงจันทร์หรือโลกพระจันทร์จึงพูดถึงความแช่มชื่นหรือสมบัติ
วันนี้เป็นดาวอังคารหรือพระอังคารเสวยอายุ ก็จะต้องพูดถึงความเร่าร้อนเหมือนกัน แต่ว่าพระอาทิตย์ก็ดี พระอังคารก็ดี แล้วก็พระเสาร์ก็ดี พระราหูก็ดี หรือจะเรียกว่าดาวก็ได้ ในเมื่อเสวยอายุแล้ว จะไม่ให้แต่ความเร่าร้อนเสมอไป บางโอกาสก็ให้ความสุขเหมือนกัน แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นทุกขลาภ คือก่อนที่จะได้ลาภก็มีทุกข์ก่อน มีความเร่าร้อนก่อน ไม่ใช่มีแต่โทษ คุณก็มี โทษก็มี นี่จริยาของดาวต่างๆของพระเสวยอายุต่างๆเป็นอย่างนี้
ต่อไปก็มาเล่าสู่กันฟังว่าหลังจากจุไรกลับมาจากโลกพระจันทร์แล้ว จุไรมีความกตัญญูรู้คุณในบิดามารดา รู้คุณในครูบาอาจารย์มีความเคารพท่าน แล้วก็มีความเคารพ ในบุคคลที่มีความเป็นผู้ใหญ่กว่าปกติทำใจให้เยือกเย็น สิ่งใดถึงแม้ว่าจะไม่พอใจอยู่บ้าง ก็พยายามฝืนยิ้มทำหน้าตาให้แช่มชื่น การฝืนแบบนี้ไม่ช้าจิตก็ชิน ความไม่พอใจก็มีน้อย ความไม่พอใจเกิดขึ้น ความดีของจิตที่ทรงอุเบกขาวางเฉย และเมตตา ความรัก กรุณา สงสาร ความกตัญญูรู้คุณก็เข้ามาแทรก ทำให้จิตใจสดชื่นสามารถยิ้มได้สบาย
ฉะนั้นจุไรจึงมีความสุข เธอมีความสุขในการกตัญญูรู้คุณบิดามารดาหรือครูบาอาจารย์ มีความสุขในด้านขยันหมั่นเพียร ประกอบกิจการงานและการศึกษาและก็มีความสุขในการประพฤติดี ตามธรรมจริยาเป็นต้น ก็รวมความว่าจุไรเป็นคนดี
วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๐ มองดูเวลาเกือบ ๑๙.๐๐ น. จุไรก็มีความรู้สึกว่าวันนี้มีความเย็นมากแล้ว รับประทานอาหารเสร็จ ช่วยบิดามารดารดน้ำผักพรวนดินเสร็จเรียบร้อย ก็กราบบิดามารดาเข้าห้องทำการบ้านเสร็จ หลังจากนั้นก็นั่งหน้าพระพุทธรูปกราบพระพุทธสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน ตั้งใจจับพระรูปพระโฉม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธรูปหลับตานึกถึงภาพพระภาวนา "พุทโธ" หรือ "สัมมา อรหัง" บางทีก็ "นะ มะ พะ ธะ" บ้างตามอารมณ์
จิตใจก็สดชื่นจิตเข้าสู่ อุปจารสมาธิ ความเป็นทิพย์ก็เกิด เธอเห็นภาพพระชัดเจน มีความผ่องใสมาก จิตใจก็นึกตวัดว่าโอหนอฝรั่งเขาบอกว่าเขาจะไปดาวพระอังคาร ดาวพระอังคารนี้อยู่ไหนสนใจดาวพระอังคาร ตามนิมิตรก็กราบองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ทูลขอพรว่าอยากจะไปเที่ยวดาวพระอังคาร นี่คุยกันตามนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องนิทาน บรรดาลูกหลานที่รัก ท่านที่ได้อภิญญาทุกคนจะเห็นว่าเป็นของไม่แปลกหรือว่าเป็นของเด็กเล่นก็ได้ เพราะจักรวาลต่างๆอยู่ใกล้มาก ท่านไปสวรรค์ ไปนรก ไปพรหมโลกบ้างเป็นต้น มันไกลกว่าหลายแสนเท่า เมื่อกราบพระมีจิตคิดอย่างนั้นก็เห็นแย้มพระโอษฐ์มีความยิ้มน้อยๆเสียงตรัสว่า จุไรลูกรัก ถ้าอยากจะรู้จักโลกพระอังคารตามพ่อมา หลังจากนั้นพระก็นำหน้าจุไรลอยตามหลัง คือว่าเวลานี้จิตของจุไรสอาดมาก ไม่มีกังวลทุกอย่าง จิตมุ่งอย่างเดียวเห็นภาพพระใจมีความเคารพในพระ ลอยตามพระไปอย่างไม่ยาก ในชั่วเวลาลัดนิ้วมือเดียว
ก็ปรากฏว่าเจอะโลกๆหนึ่ง ใหญ่กว่าพระจันทร์ แต่ลักษณะแตกต่างจากโลกพระจันทร์ คือลอยขึ้นไปดูด้านบนจะแป้นๆหน่อยๆ ไม่กลมเหมือนโลกพระจันทร์ ตอนกลางของโลกนี้จะมีรอยบุ๋มเข้าไป คือลุ่มหน่อยตรงกลาง มองลงไปแล้วดูเหมือนว่าจะมีน้ำ แต่น้ำจริงๆเป็นน้ำแข็ง แต่น้ำแข็งก็ไม่ได้เต็มไปหมดเสมอไป อยู่ในอ่างใหญ่เป็นน้ำแข็ง ในที่ดอนขึ้นมาหน่อยปรากฏว่าไม่มีน้ำ
มองดูลักษณะของโลกพระอังคาร จะว่าคล้ายๆกับลูกชมพู่ก็ไม่แปลกนัก หรือว่าจะคล้ายลูกแอบเปิ้ลก็ไม่หนักนัก มันหัวแป้นๆ แต่ตรงกลางใหญ่ ตรงก้นเรียวนิดหน่อยไม่เรียวมาก แต่ถ้าจะดูกันจริงๆ มีความรู้สึกว่า แข็งแกร่งกว่าโลกพระจันทร์มาก โลกพระจันทร์มีส่วนยุ่ยมาก แต่โลกพระอังคารนี่ยุ่ยน้อย จริงๆมองในขณะนี้ปรากฏว่ายังไม่เห็นรอยยุ่ยเป็นหินแข็ง
ต่อมาก็ลงเดินตามพระไป ลงไปถึงโลกพระอังคาร แต่ความจริงการยืนมองอยู่ข้างนอก เห็นว่าโลกพระอังคารไม่ใหญ่โตเท่าไรนัก โดยเฉพาะสายตาสามารถมองไปได้ทั่วทั้งโลก เหมือนกับยืนมองลูกส้มโอลูกใหญ่ๆ มองได้ชัดเจนทุกครั้ง มองมามองไปก็ลงไปที่โลกพระอังคาร ลงไปทีแรกใกล้กับจุดน้ำแข็ง ก็คิดว่าโลกพระอังคารนี่มีความเยือกเย็นด้านบน ลองคลำดูย่องๆไปถึงตอนกลาง ตอนผิวนูนขอบๆอันนี้รู้สึกว่าจะไม่ค่อยเย็นนักไกลออกไป ไปข้างๆเกิดความอบอุ่นไปตรงปลายลูก ข้างล่างรู้สึกมีความร้อนสูงขึ้นตามลำดับ
รวมความว่าโลกพระอังคารมีความเย้นกับความร้อนไม่เสมอกัน ถ้าดูผิวเป็นผิวเกลี้ยงเหมือนกับหินขัด หรือว่าปูนที่เขาทำผิวดีแล้ว ต่อมาก็เดินไปตามจุดต่างๆคิดในใจว่า โลกพระอังคารนี้มีสิ่งที่มีมนุษย์ไหม เคยอ่านหนังสืออ่านเล่นเขาว่าคนในโลกพระอังคารมี แต่ในโลกพระอังคารจะมีคนหรือมีสัตว์ไม่ทราบ แต่เวลานี้ไม่เห็นมี ในเมื่อไม่เห็นก็ต้องบอกว่าเวลานี้ไม่พบ ยังไม่กล้าปฏิเสธความมีของสิ่งมีชีวิต มองดูไปแล้วก็คิดว่า
เยอรมันเมื่อสมัย ๗๐ ปีที่ผ่านมา เคยอ่านหนังสือว่าชาวเยอรมัน เอากล้องส่องโลกพระอังคาร ทำไมจึงไม่ส่องพระจันทร์ เหมือนเวลาปัจจุบัน พระอังคารอยู่ไกลกว่าแต่เยอรมันต้องการ ก็อยากจะทราบว่าโลกพระอังคารจริงๆนี่มีอะไรอยู่บ้าง ก็นึกในใจๆถามพระด้วยความเคารพ
เวลานั้นมีความรู้สึกว่า เข้าไปกราบพระท่านแล้ว ก็ทูลถามว่า ภันเต ภควา ศัพย์นี้บรรดาลูกหลานทั้งหลาย จงอย่าคิดว่าพระพุทธเจ้ามาช่วยคนทุกคนได้อย่างไร ก็ต้องกล่าวว่าเป็น "พทธนิมิตร" อาจจะเป็นฉัพพรรณรังสีอะไรก็ตามเถอะ เพราะเห็นเป็นพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน นิทานเสียอย่างอะไรก็ได้ แล้วก็ถามว่าโลกพระอังคารมีประโยชน์อะไรบ้าง เกลี้ยงเกลาแบบนี้ไม่มีสิ่งที่มีความสำคัญ สำหรับชีวิตมนุษย์บ้างหรือพระเจ้าข้า ก็ได้ยินเสียงพระตอบว่า
จุไรลูกรักโลกพระอังคารไม่ได้เกลี้ยงเลย ดูแล้วจะเห็นมีความแข็ง แต่โลกพระอังคารนี่มีสิ่งที่อันตราย ต่อสิ่งมีชีวิตมากกว่าโลกพระจันทร์ เพราะทั้งลูกโลกพระอังคารนี่มีรังสีมาก ภายในมีความเร่าร้อนสูง แล้วความเร่าร้อนนี้ ก็กลายเป็นไอระเหยออกมาภายนอก ไอระเหยเหล่านี้มาจากแร่ธาตุที่มีความสำคัญ แร่ธาตุที่มีความสำคัญในด้านสันติก็มีมาก แร่ธาตุที่มีความสำคัญในด้านการทำลายก็มีมาก แร่ธาตุบางอย่างมีความสำคัญ ทั้งทางด้านสันติและทำลาย
จุไรก็อยากจะถามตามความเป็นจริงว่า แร่ทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ตรงไหนพระเจ้าข้า พระก็บอกว่า จุไรลูกรักทำจิตให้มั่งคงกว่านี้ ตั้งใจเห็นจิตในจิต เอาจิตมองจิตของตัวเองให้เป็นประกายพรึก ให้แพรวพราวเหมือนดาวประกายพรึก ที่จะมองเห็นในเวลาเช้ามืด ให้ใสสว่างขนาดนั้น แล้วจงตั้งใจดูอะไรอยู่ตรงไหนที่อยากจะเห็นในเมื่อจิตที่ไปเป็นจิตที่สะอาด กายที่ไปเป็นกายของนามธรรม มีความสะอาดมีความเบา การกำหนดจิตให้แจ่มใสเป็นของไม่ยาก
แล้วอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เธอก็มองดู ความสำคัญภายในโลกพระอังคาร ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ก็เป็นการพอดีตรงจุดที่เธอยืน จุดนั้นปรากฏว่ามีแร่ทองคำขนาดหนัก มีบริเวณกว้างมากและก็ลึกมาก ส่วนที่ลึกลงไปเป็นแท่งใหญ่ๆเป็นแท่งทึบมีความแข็ง ส่วนที่ตื้นขึ้นมาใกล้ผิวเรียกว่าซุยเหมือนเม็ดทราย เป็นทองคำเม็ดเล็กๆเหมือนเม็ดทราย แต่ว่ามีหินภายนอกปิดบังความแข็งอยู่เล็กน้อยเป็นหินเกลี้ยงถ้าขุดจะตักก็เป็นของไม่ยาก เพียงใช้วัตถุแข็งๆกระเทาะหินออก หินจะมีความหนาไม่ถึงฟุตแล้วก็มีความแข็งไม่มาก ก็จะสามารถตัดทองคำซึ่งเป็นเม็ดทรายขึ้นมาได้โดยสะดวก
เธอก็นึกในใจว่า ในเมื่อโลกพระอังคารมีสมบัติหนักขนาดนี้ เยอรมันสมัยนั้นจึงสนใจโลกพระอังคาร แล้วก็มองดูต่อไปข้างหน้าโน้นบริเวณแร่ทองคำ ถ้าปริมาณความยาวรู้สึกว่าหลายโยชน์ เป็นแสนโยชน์เรียกว่าเป็นทะเลทองคำ มีความลึกก็มากบริเวณก็มาก ใช้ความเป็นทิพย์ของจิตดูรอบๆ ว่าบริเวณทองคำบนโลกพระอังคาร มีจุดเดียวหรือว่าหลายจุด
ก็ปรากฏว่ามีหลายจุดในโลกพระอังคาร มีทั้งส่วนบนถ้าคิดตามโลกปัจจุบันก็เป็นทิศตะวันตกเฉียงใต้ ต้องถือว่าเป็นทิศหรดี จุดนี้ตั้งแต่ขอบเบื้องบนไปเรื่อยไปเกือบถึงส่วนกลางของโลก เป็นร่องรอยเป็นที่อยู่ของทองคำ แล้วก็เป็นจุดใหญ่มาก รวมความว่าโลกพระอังคารจุดนี้ ทองคำมีจำนวนมาก จุดอื่นก็เหมือนกันแต่ไม่มากเท่านี้ ตาละจุดที่มีประมาณ ๔-๕ จุดใหญ่ๆส่วนเล็กมีมากถ้าจะเอาทองคำก็นับเป็นแสนตัน นี่พูดถึงจุดย่อย จุดใหญ่นั้นหาประมาณมิได้
ต่อไปถ้าลึกลงไปจากทองคำ ส่วนนั้นก็จะมีแร่ประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นแร่ซึ่งมีผิวหรือมีสีก็บอกไม่ถูก ช้ำเลือดช้ำหนอง บางจุดก็แดงบางจุดก็เข้มค่อนข้างจะเขียวเป็นมัน แร่ประเภทนี้จะกลายตัวเป็นทองคำ ใจก็นึกถามพระว่า แร่ประเภทนี้ในประเทศไทยมีไหม ท่านก็บอกว่า มี เกรดต่ำกว่าบนโลกพระอังคาร เพราะบนโลกพระอังคารร้อนกว่า แร่ประเภทนี้บนโลกพระอังคารเข้มข้นกว่าบนโลกที่เราอยู่ การกลายตัวของแร่ประเภทนี้บนโลกมนุษย์ จึงเชื่องช้ากว่าโลกพระอังคาร แล้วก็มีความแข็งแกร่งคือเกรดสูงไม่เท่าของโลกพระอังคาร
จุไรจึงนึกในใจว่า โอหนอเป็นอย่างนี้ เยอรมันจึงต้องการรู้เรื่องโลกพระอังคาร และสนใจโลกพระอังคารมาก ก็ดูต่อไปเดินลงใต้ของโลกพระอังคารเรื่อยๆไป ก็พบกับความเยือกเย็นน้อยๆลง เริ่มมีความอุ่นขึ้น เดินเข้าไปปลายลูกด้านหนึ่ง รู้สึกมีความหนาวเย็นมากขึ้นเป็นลำดับ
รวมความว่าตอนท้ายสุดจุดต่ำสุดของโลกพระอังคาร มีความร้อน จุดที่ข้างบนนี่นะหนาวเย็นมีหิมะจับ จุดใต้ลงไปก็มีความอบอุ่นขึ้นเป็นลำดับ ผลที่สุดก็เข้าถึงเขตร้อน มาจุดนี้จุไรก็พบแร่ชนิดหนึ่ง แร่ประเภทนี้มองผิวๆ จะรู้สึกว่าเป็นสีดำเป็นมัน แต่ว่าภายในนั้นเป็นสีใสมาก แร่ประเภทนี้ถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ก็ตรัสว่าเป็นแร่ที่มีความสำคัญ ใช้กำลังแรงงานได้สูงมาก แรงงานที่ใช้ในแร่ประเภทนี้
๑. แรงขับเคลื่อน
๒. แรงทำลาย
๓. แรงด้านสันติ
มีความเข้มข้นทุกอย่าง แรงขับเคลื่อน จุไรก็ถามท่านสมมุติว่าได้มาสัก ๑ กิโล การขับเคลื่อนจะมีประโยชน์ยิ่งกว่าน้ำมันขนาดไหน ท่านก็ตอบว่า แค่เพียง ๑ กิโล จะใช้การขับเคลื่อนกับน้ำหนักต่างๆ ได้หลายสิบตัน คือยานพาหนะที่จะใช้กับแร่นี้ เป็นเครื่องขับเคลื่อนหลายสิบตัน แร่นี้ ๑ กิโล สามารถจะให้ความเร็วได้ จะให้ความเร็วหรือความพุ่งตัวของยานพาหนะ ถ้าเทียบกับกำลังน้ำมันๆพุ่งไปได้ ๑ เท่า แร่ประเภทนี้ ๑ กิโลสามารถจะมีกำลังแรงถึงแสนเท่า
จุไรจึงถามท่านว่า ถ้าแร่ประเภทนี้คนจะเอามาทำอย่างไร ท่านก็บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เกินวิสัยของคน เวลานี้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำแร่ยูเรเนียมได้ แร่ยูเรเนียมวัตถุที่ให้เกิดนิวเคลียร์ ความจริงม่ใช่แร่เป็นยูเรเนียมหรือนิวเคลียร์แต่ว่าแร่ที่เอามาทำ มีรังสีที่สามารถพิฆาตเข่นฆ่าคนและสัตว์ให้ตายได้ นักวิทยาศาสตร์เขาก็สามารถ เอาแร่เหล่านี้มาทำประโยชน์ได้ฉันใด แร่ที่เห็นนี้ถ้าความจริงนักวิทยาศาสตร์เขามาพบ ก็สามารถจะเอาไปทำประโยชน์ได้เช่นเดียวกับแร่ที่กล่าวมาแล้ว
แล้วเธอก็ถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อยากจะทราบว่ามีคนในโลกนี้บ้างไหม ที่สามารถจะใช้แร่นี้ให้เป็นประโยชน์ ท่านก้ตอบว่า คนในโลกนี้ยังไม่มีใครเอาไป เพราะว่าในโลกนี้ไม่มีคนในโลกนี้ไม่มีสัตว์ ถ้าจะว่ากันถึงคนจริงๆเวลานี้ ในโลกนี้มีอยู่คนเดียว จุไรถามว่า เวลานี้เขาอยู่ไหน ท่านก็ตอบว่า คนที่ยืนคุยกับท่านอยู่นี่ล่ะ คือจุไรนี่ล่ะมีอยู่คนเดียวในโลกนี้ อีกสักครู่หนึ่งเธอก็ไปอยู่โลกชมภูคือโลกมนุษย์ จุไรจึงถามว่า ในเมื่อไม่มีคนแร่เหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์แก่โลก
ท่านก็ตรัสว่า คนที่เขามีความสามารถมี ถ้าเยอรมันมาได้เยอรมันก็จะนำประโยชน์จากแร่นี้ด้วย จากทองคำด้วยใช้เป็นประโยชน์ แต่เวลานี้เยอรมันจะมาได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีใครทราบ ในเมื่อจุไรถามท่าน ท่านก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของพระจะพึงบอก เป็นหน้าที่ของคนทุกคนจะพึงทราบเอง เพราะการบอกไม่ใช่หน้าที่ของพระจะพึงบอกได้ จุไรถามว่า ทรงทราบไหมว่าเยอรมันมาได้หรือไม่ได้ ท่านตอบว่า ถ้าพระซะอย่างต้องการทราบจะต้องทราบในเมื่อเยอรมันคิดต้องการมาโลกนี้ คิดเวลาแล้วเกิน ๘๐ ปีแล้วความสามารถของเยอรมันรู้สึกว่าจะเหนือชาวโลกใดๆ ฉะนั้นคงจะไม่เป็นเหตุเกินวิสัย ที่ชาวเยอรมันจะมาโลกนี้
เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลาย เวลานี้ก็ปรากฏถึงเวลา ๓๐ นาทีคอก็เริ่มแห้ง ทุกคนก็เริ่มเมื่อย ตั้งใจฟัง พักผ่อนกันสักนิดน่ะ พักประเดี๋ยวขอดื่มน้ำสักหน่อย ตอนนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาลูกรักทุกคน สวัสดี
จุไรท่องเที่ยวดาวอังคาร ตอนที่ ๒
ลูกร้กทั้งหลายหลังจากการให้น้ำให้ท่ากันแล้ว พักเหนื่อยชั่วประเดี๋ยวหนึ่งเหมือนกับนักมวยถึงยกก็พักกันที นีกมวยเขา ๓ นาทีพัก ๑ นาที แต่ว่าพ่อเป็นคนแก่ ๓๐ นาทีพัก ๓ นาที เรียกว่าชกยาวกว่านักมวยพักยาวกว่านักมวยนิดหน่อย แต่คิดเวลาก็เสียเปรียบ ความจริงวันนี้คิดว่าจะไม่ไหว เพราะเมื่อวานกับวานซืนนี้ทำท่าจะตาย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีแรงพอพูดได้ก็พูดกันต่อไป ทุกคนฟังแล้วอย่าลืมว่า อันนี้เป็นเรื่องของ "นิทาน" ถ้าไม่ตรงกับความจริงนักวิทยาศาสตร์ ก็อย่าด่ากัน ถ้าใครด่านิทาน ก็คือด่าผี ถ้าคำด่าไม่ถูกตัวผีก็ถูกตัวคนด่าก็หมดเรื่องกันไป
รวมความว่าจุไรก็กราบทูลพระว่า ชาวเยอรมันสามารถจะนำวัตถุที่มีความสำคัญไปได้ไหม แล้วก็ได้หรือยังในฐานะที่สนใจมานานนัก แต่ท่านก็ไม่ยืนยันแน่นอนว่าเยอรมันได้ไป ท่านก็ยังไม่ปฏิเสธว่าเยอรมันยังไม่ได้ ข้อนี้ก็ต้องคิดและก็ต้องคิดมาก ที่ว่าคิดมากก็เพราะ
เมื่อเร็วๆนี้ไม่นานนัก ปรากฏว่าเครื่องบินของเยอรมัน เป็นเครื่องบินเล็ก มีหนุ่มอายุ ๑๙ ปี ขับเคลื่อนไปจากประเทศเยอรมัน เข้าไปในเขตของรัสเซียไปลงที่ "จัตุรัสแดง" รัสเซียเรียกว่ามีหมออย่างดีส่องกล้องอย่างดี นั่นก็หมายความว่าสิ่งเล็กๆแม้เท่าตัวแมลง ถ้าจะผ่านประเทศของรัสเซียทางอากาศก็สามารถจะจับภาพได้
แต่เครื่องบินส่วนบุคคลมันใหญ่ ตัวคนก็ใหญ่ แต่รัสเซียไม่สามารถจะจับภาพได้ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมทางวิทยาศาสตร์ และรัฐมนตรีกลาโหม ต้องออกจากตำแหน่งกันเป็นแถวๆ การออกนี่เขาจะลาออกหรือว่าจะให้ออกก็ไม่ทราบ
รวมความว่าฝ่ายที่รับผิดชอบรับผิดเต้มที่ ข้อนี้ก็ต้องคิดลูกหลานที่รักว่า ถ้าเยอรมันไม่มีความสามารถจะหลบหลีกได้ คำว่า "หลบหลีก" หมายความว่า "ทำให้ไม่เห้นได้" ทำให้เครื่องจับภาพเสีย หรือเวลานั้นใช้การไม่ได้เหมือนกับคนมีตา เวลานั้นตาหลับสักประเดี๋ยวเดียวหรือตาฝ้าตาฟาง ไม่สามารถจะมองเห็นได้ นี่เข้าไปเมืองทีเดียว (จัตุรัสแดง)
รวมความว่าสงสัยเยอรมันจะนำแร่จากโลกนี้ไปได้ก็ไม่ทราบ เพราะเยอรมันไม่มีสิทธิที่จะเปิดเผยให้โลกทราบ จึงได้นึกว่าเยอรมันมีความสามารถเป็นพิเศษ อย่างเมื่อสมัยแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๑ เขาห้ามทำอาวุธแต่พอ "ฮิตเลอร์"
ขึ้นมามีอำนาจฉีกสัญญา "แวร์ซาย" บนรถไฟเก่าๆที่ทำสัญญาแพ้ศึกสมัยก่อน หลังจากนั้นแล้วเยอรมัน ก็มีอาวุธพิเศษกว่าชาวโลกทั้งหลาย
ในอันดับแรกเห็นว่ามี จรวด วี-๑ วี-๒ สามารถมีเครื่องบังคับการยิงปืนใหญ่ ใช้เครื่องวิทยุทหารคนหนึ่ง สามารถบังคับปืนใหญ่ได้ ๘ กระบอก ยิงได้ตามเป้าหมาย จรวด วี-๑, วี-๒ เขายิงจากที่นู้นมาลงอังกฤษ แล้วสามารถจะลงที่ไหนถูกอะไรบ้างก็ได้ รถถังเยอรมันที่เรียกว่า "รถราชสีห์" ใช้วิทยุขับเคลื่อนทหาร ขับเข้าไปใกล้ชายแดนใกล้สนามรบ เวลาจะทำการรบ ทหารก็ลงบังคับให้รถไปรบแต่ผู้เดียว เมื่อรบเสร็จก็บังคับให้รถกลับมารับแล้วกลับที่เดิม รถก็มีความแข็งมาก เวลานั้นปรากฏว่าชาวรัสเซียก็ยอมรับว่า รถราชสีห์นี่แข็งมาก ปืนต่อสู้รถถังยิงจังๆ หน้าเพียงถลอกบางๆไปเท่านั้นเอง
ก็รวมความว่าชาวเยอรมัน มีความสามารถพิเศษกว่าชาวโลกทั้งหลาย ในเมื่อเยอรมันพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๒ ทางสัมพันธมิตรห้ามเยอรมันกับญี่ปุ่นมีทหาร เขาควบคุมเองตอนนี้เยอรมันกับญี่ปุ่นรวยมาก มีทองคำมาก ในเมื่อสมัยก่อนเธอไม่มีทรัพย็สิน ยังสามารถสร้างอาวุธพิเศษได้ ในขณะที่เยอรมันมีทรัพย์สินมากรวยมาก ที่ไม่สามารถจะสร้างอะไรลับๆไม่มีในสมัยนั้น ที่น่าแปลก ก็เขาห้ามนำอาวุธ แต่พอฮิตเลอร์ฉีกสัญญาแวร์ซายแล้ว อาวุธต่างๆปรากฏขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอย่างรถถังก็ดี เรือรบก็ดี เป็นของใหญ่ที่ต้องต่อในที่ใหญ่ เยอรมันก็สามารถทำให้ชาวโลกไม่เห็นว่ามีรถถังกับเรือรบ เขาต่อที่ไหนใครก็ไม่ทราบ เรือรบมันไม่ใช่เล็ก นี่ความสามารถเยอรมันมีมากอย่างนี้
บรรดาลูกหลานที่รัก ในเมื่อเยอรมันมีเงินมากแล้วก็ไม่มีใครสงสัย ในการสร้างอาวุธแล้วการที่เธอจะมาโลกนี้ ก็เป็นของไม่แปลกในการปิดบังย่อมทำได้ เขาไม่ประกาศ ก็รวมความว่าเยอรมันจะมาโลกนี้ได้หรือไม่ได้ ไม่ยอมรับเหมือนกัน แต่ว่าสงสัย ความสามารถของเยอรมันเห็นชัดว่า สามารถนำเครื่องบินผ่านรัสเซียลงกลางใจเมือง คือ "จัตุรัสแดง" ได้
รวมความว่าต้องคิดว่าเยอรมันอาจจะได้อะไรไปจากโลกนี้บางก็ได้ โลกพระอังคารนี่มันเป็นบาปเคราะห์จริงๆ ต่อไปก็คุยกันถึงโลกพระอังคารต่อ ว่าจะเล่าตอนเดียวจบ ตอนที่ ๒ พยายามรัดให้จบ
ในเมื่อจุไรมีความสงสัยอยากจะทราบต่อไป เห็นทองก็เห็นแล้ว ทองเป็นที่พอใจของผู้หญิง ถึงแม้จุไรจะมีอายุเพียงน้อยๆ คือย่างเข้า ๕ ขวบหรือ ๕ ปี เธอก็ชอบสวยชอบงามชอบทองคำเหมือนกัน แต่สิ่งที่เธอต้องการจะทราบอีก ก็คือเครื่องประดับ เช่นเพชรนิลจินดาเป็นต้น เธอก็มองไปมองมาว่าโลกนี้จะมีแก้วแหวนเงินทองเพชรนิลจินดาไหม
รวมความว่ามองไปไม่ไกลนัก ทางด้านส่วนสุดของด้านใกล้ความร้อน อยู่กลางๆของความร้อนไม่ร้อนจัดอุ่นมากๆแต่ค่อนข้างมีความร้อนคล้ายประเทศไทยในจุดนี้มีแก้วมาก แก้วมีหลายจุดเป็นย่อมๆอยู่ในความลึกหรืออยู่ในหินก็มีความลึกไม่มาก ตั้งแต่ผิวหินลงไปถึงส่วนลึกมาก แล้วมีบริเวณกว้างแก้วมีหลายสี แต่สีที่เธอต้องการรักมากก็คือหนึ่งแดงสยาม สีแดงเข้มจัดสวยงามมาก สีที่สองก็คือสีเหลืองเธอชอบมาก สีอันดับหนึ่งจริงคือสีน้ำมันก๊าดเป็นเพชร แพรวพราวระยับ อันนี้หาไม่ยากเลยดื่นดาษไปหมด เต็มบริเวณไปหมดเธอมองดูแล้วก็ชอบใจ
ต่อไปก็เดินไปใกล้เข้าจุดที่มีความสำคัญ นั่นคือแหล่งสำคัญจุดหนึ่งเห็นแร่ประเภทก่อน ที่มีความเป็นมันแล้วก็มีความสำคัญเป็นสภาพใส ภายในมีรังสีจัด พอเข้าไปใกล้ๆจุดหนึ่งซึ่งมีสภาพคล้ายๆกับจะมีเต้นท์หรือมีกระโจม แต่ว่ามีสภาพแข็งแรงมาก เข้าไปใกล้ก็พบวัตถุที่เรียกว่าเครื่องมือสำหรับขุด มีอยู่มากมายแล้วก็มีรถตีนตะขาบ มีเครื่องเจาะมีเครื่องตัด ร่องรอยแห่งการขุดการเจาะการตัดมีอยู่
จึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระบรมครูว่า คนในโลกนี้ไม่มี แต่ว่าวัตถุสำหรับคนจึงมี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า จุไรลูกรัก จงดูว่าเครื่องมือมีสีอะไรเป็นสัญลักษณ์ เธอก็ตอบว่า มีสีแดงเจ้าข้า ท่านก็บอกว่าดูสีมีหนังสือที่เขาจารึกหรือตอกสลักไว้กับเครื่องมือมีไหม เธอก็บอกว่าร่องรอยของหนังสือมีแต่หนังสือที่ม่ใช่หนังสือไทย และก็ไม่ใช่หนังสือเยอรมัน เป็นร่องรอยแสดงว่าเป็นหนังสือ ก็ไม่ทราบว่าอ่านอย่างไร สมเด็จพระจอมไตรขึงตรัสว่า จุไรความเป็นทิพย์ของร่างกายมี ความเป็นทิพย์ของจิตก็มีคำว่า "ทิพย์" นี่แปลว่า "เล่น" ไม่มีอะไรหนัก ทุกสิ่งทุกอย่างทำเหมือนเล่นๆอย่างที่ลูกจุไรต้องการจะลงมาโลกพระจันทร์ โลกพระอังคารก็ดี ก็มาแบบเล่นๆ นึกปั๊บถึงปุ๊บ
ในเมื่อเห็นภาพร่องรอยขีดเขียนแสดงว่าเป็นตัวหนังสือ ถ้าอยากจะทราบก็ควบคุมกำลังใจคิดว่าหนังสือเขาเขียนว่าอย่างไร จุไรก็ทำใจตามที่ท่านสั่งรวบรวมกำลังใจ ก็ทราบว่าหนังสือเขาเขียนว่า "สูตู" จึงถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าคำว่า "สูตู" หมายความว่าอะไร ท่านก็ตอบว่าคำว่า "สูตู" นี่เป็นโลกๆหนึ่งหรือเป็นดาวดวงหนึ่ง ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของประเทศไทย หรือของโลกก็แล้วกัน ดาวดวงนี้ถ้ามองไปที่ดาวกัลปพฤกษ์ หรือดาวกระพริบของบรรดาคุณยายทั้งหลายเรียกว่า "ดาวกระพริบ" ถ้าตามศัพย์หนังสือเขาเรียกว่า "ดาวกัลปพฤกษ์" สว่างมาก
มองไปที่ดวงดาวนี้แล้วมองไปที่เบื้องสูง จะเป็นจุดเล็กๆไกลๆดวงดาวเล็กๆ มองดูจากประเทศไทยด้วยตาเปล่าเห็นไม่ถนัดนัก ดาวดวงนั้นเขาเรียกว่า "ดาวสูตู" เพราะเป็นประเทศๆหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า "สูตู" ถ้าจะเรียกโลกทั้งหมดในสูตูว่าเป็นสูตูทั้งหมดก็ไม่ได้ ประเทศที่มีความสำคัญจริงๆก็คือ "สูตู" ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์เก่งกาจมาก ในโลกชมภูคือโลกที่เราอยู่นี้ ยังไม่มีความสามารถเท่าเขา
ฉะนั้นเครื่องมือนี้ ต้องเป็นเครื่องมือของชาวโลกสูตู ที่มาขุดเอาแร่นี้ไปใช้เป็นประโยชน์ เธอถามว่าเขาใช้ประโยชน์อะไรบ้าง ท่านก็ตอบว่า เอาไว้วันเวลาเข้ามาถึงเราไปกันที่โลกนี้ จะได้ทราบว่าเขาใช้อะไรบ้าง ต่อมาเธอก็ดูต่อไปทิศทางไม่ต้องบอกกันนะ
เธอดูไปรอบๆเห็นแร่ทองขาวซึ่งมีความสำคัญมาก ที่เขาถือว่ามีค่ามากกว่าทองคำ แต่ก็ไม่เห็นมีใครนิยมใช้กัน ใช้ทองคำเป็นสำคัญ เครื่องรองรับการเงินก็ใช้ทองคำเขาไม่ใช่ทองขาว รวมความว่าทองขาวก็มีมาก แร่เงินก็มีมาก แร่เหล็กที่มีความแกร่งกว่าธรรมดาที่มีอยู่ในโลกเราก็มีมาก แล้วก็มีแร่ชนิดหนึ่งที่มีความแข็งมาก ทนต่อการเสียดสี แร่ประเภทนี้มีตื่นทางด้านทิศตะวันออกกับทิศเหนือ จากทิศเหนือไปถึงทิศตะวันออกเป็นพืดเต็ม
แร่ประเภทนี้ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่า ถ้ามนุษย์อยากจะไปดวงพระอาทิตย์ ถ้าเขาใช้แร่ประเภทนี้เป็นยานพาหนะ ใช้ความหนาของเปลือกพอสมควร แร่นี้จะทนการเสียดสีในอากาศและก็ทนความร้อนได้มาก กระแสดวงอาทิตย์ไม่สามารถจะทำลายแร่นี้ได้ คือไม่สามารถละลายแร่นี้ได้ มีความแข็งมากใช้แต่แร่นี้ โดยเฉพาะเข้าไปในดวงอาทิตย์ สิ่งที่อยู่ภายในจะเสียหมด แล้วสิ่งที่มีชีวิตที่นั่งอยู่ในนั้นก็จะตายหมด เพราะความร้อนสูงขอลูกรักจงดูต่อไป
ในช่วงด้านใกล้ปลายของโลกพระอังคาร จะมีแร่ประเภทหนึ่ง ใกล้ปลายโลกอังคารนี่ร้อนจัดมีความร้อนมาก จะมีแร่อีกประเภทหนึ่งมองดูเผินๆคล้ายสีตะกั่ว เกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มโตมาก ตั้งแต่ช่วง ๑ ใน ๔ ตอนปลาย วัดหายไป ๓ เหลือ ๑ ใน ๔ ช่วงตอนบนของโลกพระอังคารถึงปลายโลกพระอังคาร ส่วนในซีกตั้งแต่ในทิศตะวันตกถึงทิศเหนือ บริเวณกว้างถึงปลายโลกพระอังคารนี่มีความร้อนสูง แต่ว่าจะมีแร่ประเภทนี้อยู่หนามาก
แล้วก็แร่นี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบอกว่า มีความสำคัญคือสามารถขจัดความร้อนให้สะท้อนกลับได้ ซึ่งเป็นศัตรูกับความร้อน นั่นก็หมายความว่าถ้าเขาทำจรวดด้วยแร่ที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้น แร่ประเภทนี้บอกชื่อไม่ได้นะเพราะชื่อไม่เหมือนภาษาไทย ทำจรวดประเภทนั้นแล้วก็เอาแร่ประเภทนี้เคลือบข้างในให้หนา ไม่ต้องเคลือบข้างนอกๆปล่อยให้ร้อน แต่เคลือบข้างในให้หนา ความร้อนถึงแร่ประเภทนี้แล้วจะสะท้อนกลับ
เป็นอันว่าเครื่องจักรกลทั้งหลายที่อยู่ภายในก็ดี สิ่งที่มีชีวิตก็ดีอยู่ภายในจรวดนั้นจะไม่มีอันตราย จะไม่มีความร้อนสูง ความร้อนจะเข้าไปถึงไม่เกิน ๒๐ องศา ก็อยู่ในเกณฑ์หนาว ท่านบอกว่าถ้าคนมีความสามารถเอาแร่ประเภทนี้ไปใช้กับจรวดทาภายใน ก็สามารถจะไปโลกพระอาทิตย์ได้ แต่ปัญหามีอยู่ว่าการผ่านกระแสไฟภายในดวงอาทิตย์ ซึ่งมีรังสีจัดมากแล้วก็มีความสำคัญมาก อันนั้นคนจะต้องมีความสามารถสร้างเครื่องป้องกัน โดยเฉพาะเสื้อหุ้มห่อร่างกายไม่พอ เพราะว่าถึงแม้จะมีอ๊อกซิเจนสูบก็ไม่พอนัก ต้องมีแร่ชนิดหนึ่งสามารถดูดรังสีเมื่อรังสีผ่านมาดูดเข้าไปเลย เก็บรังสีนั้นไว้ภายในหรือว่ารังสีนั้นถูกทำลาย ในเมื่อเข้าไปใกล้รังสีเข้าไปใกล้ประมาณสัก ๔ กิโลเมตร จะถูกทำลาย อากาศช่วงนั้นจะเป็นอากาศดี หรือว่าไม่ทำอันตรายต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิต
แร่ประเภทนี้ท่านบอกว่ามีข้างหน้าโน้น มองหันหน้าไปทางทิศตะวันตกของโลกมนุษย์ ด้านขวามือมองไปด้านเหนือแร่ประเภทนี้จะมีอยู่ดื่น สำหรับสีของแร่ประเภทนี้บางส่วนจะเห็นเป็นสีแดง บางส่วนจะเห็นเป็นสีเหลือง บางส่วนจะเห็นเป็นสีขาวแต่ว่าไม่ชัดเจนนัก ทั้งหมดนี้ไม่ชัดเจนคละกันมีสีผสมกัน ปนกันไปปนกันมา แร่ประเภทนี้มีความแข้งพอสมควรแข็งมากกว่าหิน
จุไรจึงถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า คนที่มีความสามารถเอาแร่ประเภทนี้ไปมีอยู่หรือไม่ ท่านตอบว่า คนที่มีความสามารถอาจจะมี แต่คนที่ได้แร่นี้ไปยังไม่มี ฉะนั้นเวลานี้ยังไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ได้ ต่อมาก็เดินต่อไปทางด้านทิศเหนือคลำไปคลมา เดินใกล้ช่วงขั้วบนเข้าประมาณ ๕๐ % ของดวงดาว
ตอนนี้ก็เจอะเครื่องมืออีกชุดหนึ่ง ไกลกันมากจากชุดก่อน ถ้าวัดเป็นกิโลเมตร ก็เกินแสนกิโลเมตร ก็มาเจอะอาการต่างๆเหมือนกันคือ
๑. กระโจมทำเหมือนกับกระโจมเป็นโรงเก็บ
๒. วัตถุเจาะ
๓. เครื่องรถตีนตะขาบ
ทั้งหมดทั้งสองจุดเหมือนกันมีสภาพเหมือนเคลือบ เหมือนกับมีการเคลือบเพื่อป้องกันการสลายตัว หรือว่าทำให้แข็งแม้แต่ผ้าใบก็ไม่เหมือนผ้าใบธรรมดา มีสีเป็นเคลือบหนามาก เข้าใจว่าเขาจะเคลือบให้แข็งและเหนียว ป้องกันรังสีที่จะเข้าไปไหม้
เมื่อเข้าไปดูแล้ว องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสถามว่า ลูกรักเห็นไหมว่าสีสันวรรณของเครื่องมือมีสีอะไรเป็นสัญลักษณ์ เธอก็ตอบว่า เป็นสีเขียวเจ้าค่ะ ท่านก็ถามว่า มีหนังสือไหม เธอมองไปก็เห็นตัวหนังสือชัดเจน แต่อ่านไม่ออก ท่านก็ทวนคำว่า "ทิพย์" กับจิตให้เกิดขึ้น ให้มีความเข้มข้นกว่าก่อนให้เหมือนกับเห็นภาพมาแล้วว่า เราต้องการทราบว่า หนังสือนี่เขาเขียนว่าอย่างไร ใจจะบอกเพราะคำว่า "ทิพย์" แปลว่า "เล่น" ไม่มีอะไรยาก
เธอก็ทำตามนั้นความรู้สึกบอกว่าหนังสือ "จามร" ก็กราบทูลพระองค์ว่า หนังสือเขียนว่า "จามร" พระเจ้าข้า ท่านก็ถามว่า จุไรลองเอาจิตเข้ารับทราบว่า จามร อยู่ที่ไหน เธอก็ทำตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัส คิดว่าจามรอยู่ที่ไหนภาพจงปรากฏแก่ข้าพเจ้า ก็เห็นภาพดวงดาว ๒ ดวงขนานกัน คือดวงแรกใหญ่มาก ที่เห็นชัดเวลาที่อยู่ในโลกมนุษย์ จำได้ว่านั่นคือดวงดาวพระศุกร์ อยู่ทางทิศตะวันตกของโลกมนุษย์ เวลากลางคืนแล้วก็มี ดวงดาวเล็กอยู่เหนือดาวพระศุกร์ขึ้นไปมองอยู่สูงกว่ากันมากจากดาวพระศุกร์มีแสงระยิบแต่ว่าเห็นใกล้กว่าดาวสูตู อันนี้เรียก "ดาวจามร"
จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เห็นดวงดาวเล็กๆพระเจ้าข้า เรียกว่า "ดาวจามร" สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ถามต่อไปว่า ดูสิลูกว่าจามรดวงนี้มีสิ่งมีชีวิตไหม เธอดูปั๊บก็ทราบทันทีว่ามีสิ่งมีชีวิต มีประเทศชาติหลายประเทศ มีความรุ่งเรืองมากแล้วก็มีความฉลาดทางวิทยาศาสตร์มาก มีความสามารถพิเศษ องค์สมเด็จพระบรมเชษฐ์ก็ตรัสว่า เธอลองดูสูตู สิ สูตู เขามีความสามารถเท่าจามรไหม เธอก็มองดูอยากจะทราบสูตู ภาพก็ปรากฏชัด ก็มีความรู้สึกทางภาพเห็นว่า สูตูก็ดี จามรก็ดี มีความเชี่ยวชาญไม่แพ้กัน
องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสถามว่า ดูรูปร่างของคนที่อยู่ในโลกของจามรกับสูตูสิ มีรูปร่างคล้ายกันไหม เธอก็บอกว่า ไม่คล้ายกันเจ้าค่ะ จามรคล้ายคนไทย ไม่สูงใหญเหมือนฝรั่ง แล้วก็ไม่มีท่าแข็งแกร่งเหมือนแขก ท่าทางนิ่มนวลมีความเยือกเย็น จิตมีความเมตตาสูง ความดุร้ายไม่มี ผิดกับสูตูๆมีภาพแปล่ง จามรมีผิวบางละเอียด สูตูมีผิวดำแต่ผอมเกร็งๆสำหรับผู้ชาย ผู้หญิงก็ไม่สวย ก็ดูแขกก็แล้วกัน ผิวแขกท่าทางเหมือนแขกเกร็งๆหน้าเหี้ยม ท่าทางดุ
แล้วท่านก็ถามว่าจงดูจริยาคน ๒ ประเทศ หรือ ๒ โลก จะเหมาทั้งโลกก็ไม่ได้ ทั้งโลกเขาก็มีดีบ้าง มีจิตใจเป็นสุขก็มี มีจิตใจเมตตาก็มี นี่ว่ากันเฉพาะโลกเฉพาะประเทศในโลกมนุษย์ ก็มีบางประเทศที่มีความเหี้ยม มีทั้งความเห็นแก่ตัว โลกทั้ง ๒ โลกนี้จงดูว่า ใครมีความเข้มข้นของความเหี้ยมมากกว่ากัน จุไรก็บอกว่า สูตู เจ้าค่ะ
ก็รวมความว่าหันกลับมาโลกพระอังคารกันใหม่ เวลามันใกล้จะหมดลูกหลานทั้งหลาย ถ้าเราเที่ยวโลกพระอังคารกันจนจบ เข้าใจว่าไม่จบแน่ ก็มองดูผิวโลกต่อไปว่า ผิวโลกพระอังคารนี้สีจริงเป็นสีอย่างไร รวมความว่าเบื้องบนขาวมีสภาพเป็นหิน แล้วก็มีรังสีสูง รังสีหนากว่าโลกพระจันทร์ เป็นอันตรายกับสิ่งมีชีวิต แต่ว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า จุไรลูกรักอันตรายมีจริงสำหรับรังสี แต่ว่าคนที่มีความสามารถเหนือกว่ารังสีมีอยู่
จุไรถามว่าคนที่ว่านี้ ในประเทศสูตูหรือจามร สมเด็จพระชินวรก็ตรัสว่าทั้ง "สูตูและจามร" เขามีความสามารถเกินกว่ารังสีจะทำอันตรายเขาได้ เฉพาะนักวิทยาศาสตร์ และเฉพาะโลกชมภูเวลานี้ก็ตรัสว่า ประเทศหนึ่งที่สามารถชนะรังสีนี้ได้นานแล้ว เขาชนะรังสีนี้ได้ไม่น้อยกว่า ๒๐ ปี ล้วก็มาถึงโลกพระอังคารนี้แล้วเงียบๆไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี อาจจะเกินนั้น นั่นคือ "ชาวเยอรมันตะวันตก"
ชาวเยอรมันตะวันตกสามารถทำจรวดเข้าถึงโลกพระอังคารแล้ว แร่ต่างๆที่เปล่งรังสีออกมาไม่สามารถจะทำลายชีวิตเขาได้ หรือว่าไม่สามารถจะทำลายยานพาหนะเขาได้ สิ่งที่มีความสำคัญแก่ชาวเยอรมันนั่นคือ รังสีที่มีความดีเป็นพิเศษ รังสีที่ทำลายภาพนั้นมีอยู่ เยอรมันได้ไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรังสีที่ทำลายเครื่องดูให้มองไม่เห็น เยอรมันก็ได้ไปแล้ว
เธอก็ถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า รังสีที่ว่านี้เขาเรียกว่าอะไร สมเด็จพระจอมไตรก็ตอบว่า การเรียกชื่อไม่เหมือนกัน ดูจุดนี้ก็แล้วกัน แร่ประเภทนี้มีสีขาวคล้ายเงิน แต่ว่าขาวกว่าเงินมีความแจ่มใสกว่า มีรังสีออกมาเป็นความเยือกเย็น แต่มีความแรงสูง แร่ประเภทนี้ทำลายทุกสิ่งที่จับเป้าได้ดี
เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลาย หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ตรัสว่า จุไรลูกรัก เราคุยกันถึงเวลา ๑ ชั่วโมงแล้ว เป็นอันว่าจบเรื่องราวของโลกพระอังคารเสียที ถ้าเราไม่จบมันก็จะไม่จบ คุยกันถึง ๑ ปีก็ยังไม่จบ วันนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็บอกให้จากกันได้ แต่ก่อนจะจากกันท่านก็บอกว่า การเล่าเรื่องต่างๆก็จำเป็นต้องวัดจากราศรี คือพระอังคารเป็น บาปเคราะห์ ก็ต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องสังหาร ซึ่งทำให้เกิดสุขหรือทุกข์ได้
สำหรับต่อไปโลกพุธ โลกพฤหัส โลกศุกร์เป็นสมพระเคราะห์คือทำความสุขให้เกิดขึ้น ในที่นั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตแต่นิทานก็ต้องมี แล้วสมเด็จพระชินสีห์ก็กลับจุไรก็กลับบ้าน บรรดาลูกรักทั้งหลายสัญญษณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว วันนี้เกือบแย่คอแห้งเสียงแหบเกือบขาดใจ ขอลาบรรดาลูกรักทั้งหลายไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ลูกหลานทุกคน สวัสดี




พระยาธรรมิกราช

การเตรียมจิตวิญญาณ
1. ชำระกรรมให้เบาบาง  โดยหยุดโลภ โกรธ หลง ทำจิตใจให้สงบเบิกบาน  เพราะวันนั้นจะมีผู้ที่เส้นโลหิตในสมองแตกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก  เพราะเสียงที่ดังกึกก้องไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้แตก  ดังนั้นต้องปล่อยวางทำจิตให้เป็นบวก  จะช่วยได้มาก
2. มีสำนึกทางจิตวิญญาณ
3. ฝึกการละวาง
4. มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
5. ฝึกการทำโฆษกรรม  ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวร  หรือผู้ที่เราล่วงละเมิด
การดูแลแก่นแท้ยามมีภัย
1. ได้ยินเสียงใดให้ละวางเสียงนั้น / รู้เห็นสิ่งใดให้ละวางสิ่งนั้น  ต้องไม่รับรู้  ไม่รับเห็น  ไม่รู้  ไม่ชี้  ไม่ว่าจะได้ยินเสียงคนข้างบ้านร้องเพราะกำลังจะตาย  หรือได้ยินเสียงใดที่น่าหวาดกลัว  ต้องได้ยินแล้วผ่านเลยไป  หากละวางไม่ได้จะเกิดอาการ " ตายก่อนตาย " ( รู้ว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ  หรือการตายทั้งเป็น )
2. ยอมรับให้ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ต้องมีสติตลอดเวลา
3. อย่าอยู่นิ่งเฉย เพราะจะทำให้กลัวมากขึ้น  ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่านหนังสือธรรมะ เพื่อให้จิตเป็นบวกเกิดความอิ่มเอิบ
4. สังเกตธรรมชาติก่อนนาทีวิกฤติจะเกิดขึ้น
ลางบอกเหตุก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ( ระยะ 2 )
ท้องฟ้ามืดมิดผิดปกติ  ใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายแลดูหดหู่  สัตว์ทั้งหลายจะไม่ปรากฏกายให้เห็น  แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านจะเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนผิดปกติ  หรือบางตัวจะนอนนิ่งน้ำตาซึม
เรื่องเวลาที่แน่นอนนั้น  ขอบอกตามตรงว่าไม่ทราบ  เพราะจริงๆ แล้วน่าจะเกิดตั้งแต่ ค.ศ.1999  ตามที่นอสตราดามุสทำนายเอาไว้  แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้ว  ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ และจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ คิดว่าจะเกิดภายใน 1 – 3 ปีนี้...
เป็นกรรมของสัตว์โลกนะ  ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่าระบบจะเริ่มล้างมนุษย์ปลายปี 47  ( ทีแรกคิดว่าไม่มีอะไรเกิดแล้ว  จิตเกือบเผลอปรามาสครูบาอาจารย์ )  แล้วจะมีเหตุอื่นมาล้างเรื่อยๆ ด้วยระบบภัยพิบัติทางดิน น้ำ ลม ไฟ โรคระบาด และอุบัติภัยสงคราม  และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพระจักรพรรดิลงมา ภัยพิบัติจึงจะสงบ
ต่อไปที่จะวิบัติหนักๆ ก็คือ ไต้หวัน  ญี่ปุ่น  ฟิลิปปินส์  อเมริกา ฯลฯ  เคยถามครูบาอาจารย์ว่าไม่เคยมีใครเปลี่ยนได้เลยหรือ  ท่านบอกว่า " ไม่ได้ "  ท่านว่า " ปูยีเว้าก็ปานพระเจ้าเว้านั่นแหละ  ในโลกนี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้  เพราะกรรมของมนุษย์เป็นแบบนั้น "
สำหรับเมืองไทย  ต่อไปกรุงเทพฯ ก็มิใช่จะปลอดภัยเพราะฝ่ายรักษาภายในของ กทม. เริ่มถอนระบบออกไปมากแล้ว  และต่อไปภาคใต้แทบจะไม่เหลือ  จะเป็นเกาะ เป็นแก่งทั้งหมด  เราเข้าใจว่าภัยพิบัติในภาคใต้เป็นสัญญาณของยุคจักรพรรดิที่กำลังจะเริ่มต้น  ที่จริงมีสัญญาณอย่างอื่นด้วย แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล 
ผู้ที่ไม่มีหน้าที่และเข้าไม่ถึงระบบธาตุเหล่านี้ก็จะไม่สามารถเข้าใจได้  ถ้าใครมีจิตที่เอ็กซเรย์ธาตุได้ก็จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร  อย่างแก้วมังกรและแก้ววิเศษของเทวดาก็อาจเป็นของไร้ค่าในโลกมนุษย์ เพราะความไม่รู้
ครูบาอาจารย์เคยเล่าว่า  แค่นาคโก่งหลังขึ้นมามนุษย์ก็ตายเป็นเบือแล้ว  ต่อไปบางที่ก็จะหายไปทั้งเกาะ  นี่ยังไม่นับภัยพิบัติจากท้าวกกนาคแถวลพบุรี  ที่ในไม่ช้า ( ช่วงท้ายๆ ของภัยพิบัติ ) จะลุกขึ้นมา ( ภายใน ) เพื่อไปรอรับพระจักรพรรดิ  ขณะที่ทหารลิง 18 กองพลที่เคยเฝ้ายักษ์ตนนี้อยู่ที่อื่น   ครูบาอาจารย์ท่านว่ายักษ์กกนาคตนนี้มีพิษมาก  แค่พลิกตัว พิษของยักษ์ก็จะทำให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงได้  มนุษย์จะตายไปครึ่งโลก  แต่คนที่มีศีลก็ไม่เป็นไร
เราค่อนข้างมั่นใจว่าภายในปี 2560 ประเทศไทยจะได้เป็นมหาอำนาจ  และไทยกับลาวจะรวมกันเป็นหนึ่ง ( ประเทศเดียวกัน )  ท่านไหนขยันหมั่นเพียรรักษาศีล ภาวนา ก็จะได้มีโอกาสอยู่ในยุคใหม่ต่อไป  ส่วนท่านที่ยังไม่มีศีลธรรมพอก็คงจะต้องไปตามวิถีกรรมของตนเอง
ศาสนาอื่นนั้นไม่มีเหลือ  เมื่อถึงเวลาแล้วจะหนีตายมาพึ่งศาสนาพุทธกันหมด  เท่าที่ทราบต่อไปมหาอำนาจอย่างเช่น  อเมริกา  อังกฤษ ฯลฯ  จะต้องมาพึ่งพาไทย  ศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางศาสนา อยู่ในประเทศไทย   ซึ่งต่อไปที่แห่งหนึ่งในประเทศไทยจะเป็นใจกลางโลก ใจกลางศาสนา
ในยุคจักรพรรดิ  ทั้งโลกจะถูกปกครองโดย 3 ร่มโพธิ์ศรีอัญญาสิทธิ์และอัญญาธรรม  พระจักรพรรดิจะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลก  อย่างที่พวกยิวเขาคิดจะครองโลกกันนั้นไปไม่ถึงดวงดาวหรอก เพราะวิทยาศาสตร์ถึงทางตันแล้ว
เหตุที่เกิดในภาคใต้  ซึ่งเป็นเขตพระพุทธศาสนายังรุนแรงขนาดนี้  ต่อไปเหตุที่เกิดในเขตศาสนาอื่นๆ นั้น จะรุนแรงกว่านี้มาก  และความหายนะที่จะเกิดขึ้นนั้นก็จะมากด้วย
ถ้าหากศึกษาถึงเชื้อของจิตวิญญาณเดิมของการมาเกิด  ก็จะเข้าใจว่าอย่างอิสลามและคริสต์นั้นเชื้อจิตวิญญาณเดิม หรือต้นธาตุของจิตวิญญาณของพวกนี้ เป็นพวกยักษ์ตระกูลต่างๆ  ดังนั้นที่ครูบาอาจารย์ท่านว่าพวกยักษ์นอกศาสนาเขาตีกันนั้น  ก็พวกยักษ์เหล่านี้แหละที่มีปัญหา  และพวกยักษ์เหล่านี้ก็มาเกิดมากในยุคนี้  ส่วนในเขตประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงจะเป็นเชื้อนาค เชื้อเทวดา เชื้อครุฑ  คนในเขตประเทศไทยส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับการเกิดเป็นเชื้อต่างๆ เหล่านี้  ขึ้นอยู่กับชาติที่ทำบารมีมาเด่นๆ ว่าเคยทำบารมีในภพภูมิไหนมามาก  ก็จะมีความเกี่ยวพันกันกับภพภูมิเหล่านั้น  และเมื่อถึงเวลาก็จะเป็นการทำบารมีร่วมกันระหว่างภพภูมิ  และบางครั้งการทำงานจากภายในก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอก  แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน  ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก  แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน  ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก และพยายามอธิบายกันด้วยเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์  ซึ่งเป็นการรู้นอกแต่ไม่รู้ใน  คล้ายๆ กับวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายเหตุผลภายนอก  แต่ไม่เข้าใจถึงกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นเหตุอยู่ภายใน  เป็นต้น  นี่คือรู้ไม่แจ้งในเรื่องนั้นๆ ก็เลยเกิดความ
ใครที่คิดจะทำบุญกุศลอะไรก็ให้รีบเร่งทำ  หากเมื่อใดที่ผู้ที่เขาได้พรพระอินทร์เขาทำอธิษฐานบารมีเพื่อดูแลพระศาสนา ( ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรารถนาพุทธภูมิ )  ระบบที่เขาทำหน้าที่ภายในเขาก็จะทำงานตามลำดับ  เมื่อถึงตอนนั้นจะเห็นคุณค่าของศีลธรรม ของศีลห้า ศีลแปด ของบุญบารมีที่แต่ละท่านบำเพ็ญเพียรสั่งสมมา
ให้ลองนึกถึงเหตุการณ์คลื่นยักษ์ในภาคใต้ดูว่า  คลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะทำให้ด้ามขวานไทยเหลือเป็นเกาะเป็นแก่ง  และคลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะสามารถทำให้เกาะขนาดประเทศไต้หวันหายวับไปได้ในพริบตา  เมื่อไหร่ก็ตามที่นาคใหญ่ทำงานจะสั่นสะเทือนไปทั้งโลก  หากจะเทียบเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ผ่านมาเป็นแค่นาคใหญ่โก่งหลังหรือสะดุ้งเพียงเล็กน้อย  ลองจินตนาการดูว่าหากพวกนาคบางพวกมีหน้าที่ทำฤทธิ์  เพื่อล้างพวกผู้มีศีลธรรมไม่เพียงพอสำหรับอยู่ในยุคพระธรรมบนโลกนี้  ก็จะเหลือคนไม่มากอย่างที่พระสูตรบอกไว้
จากที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าสู่กันฟัง  สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้  ไม่มีใครที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้เพราะกรรมเป็นตัวกำหนด  และยุคพระยาธรรมิกราชก็เป็นพุทธประเพณี  เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกึ่งกลางพระพุทธศาสนา  ในยุคของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์  อย่างในยุคพระเวสสันดร ( ซึ่งเป็นช่วงประมาณกึ่งกลางศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง )  หลังจากพระเวสสันดรได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้ว  หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดยุคพระยาธรรมิกราชหรือยุคพระจักรพรรดิขึ้น  ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าลูกชายพระเวสสันดรจะเป็นพระจักรพรรดิในสมัยนั้น  ในยุคร่วมสมัยในปัจจุบันนี้มีบุคคลผู้หนึ่งทำทานบารมีจนได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้วเช่นกัน  ก็พอจะอนุมานได้ว่ายุคพระยาธรรมิกราชนั้นเข้ามาใกล้ปลายจมูกแล้ว
" ประมาท "ต่อไปจะมีพระจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองโลก  พระยาธรรมิกราชจะคล้ายพระสังฆราช  และจะมีพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง จะทำหน้าที่คล้ายกับนายกรัฐมนตรี  ซึ่งสามร่มโพธิ์ศรีก็คือ สามโพธิสัตว์ที่ลงมาทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนานั้นเอง  และก็มีเหล่าอัญญาสิทธิ์  อัญญาธรรม  ที่ตามลงมาทำหน้าที่อีกจำนวนหนึ่ง  บางคนก็รู้ตัวแล้ว บางคนก็อาจยังไม่รู้ตัวเอง  ถึงเวลาแล้วก็คงจะได้เห็นว่าของจริงนั้นเป็นอย่างไร  ซึ่งบางท่านจะมีชื่อเสียงในหมู่เทพ เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ ฤๅษี มุนี ดาบส ฯลฯ  พวกเขาเหล่านั้นก็รอยุคพระยาธรรมิกราช  แต่พวกมนุษย์ไม่รู้จักเพราะท่านเหล่านี้จะอยู่อย่างเงียบๆ และลี้ลับ  ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรยๆ ให้ฟังว่า สำหรับผู้ทำบารมีเข้มข้นแล้วนั้น " ดังบ่ดี ดีบ่ดัง "เช่น  เรื่องธาตุแก้วเจ็ดประการที่เริ่มเข้ามาสู่ระบบแล้ว  และมีสิ่งของอื่นๆ อีกหลายอย่างที่กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศ เป็นต้น

พระยาธรรมิกราช

ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย
สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและอนาคต ทรงทีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้น เมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
ดูก่อน อานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ
คน ในสมัยนั้น ( คือปัจจุบัน ) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฏธรรมชาติไม่พ้น
เริ่มแต่ พระพุทธศาสนาล่วงเลย 2,500 ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามทางทิศตะวันออก(เอเชีย) ไหม้วัดวาอารามสมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ(ไหม้จริงที่ภาคใต้พระไปบิ ณทบาตรยังไม่ได้เลยแล้วจะกินอะไรละโยม) ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ (เรือดำน้ำ)มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองจะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว(เครื่องบินงัย) มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ(ลูกระเบิด) ยักษ์หินที่ถูกสาบ(ภูเขาไฟ)มาเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ
ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลง มาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง
พระธรรมจะเริ่ม เปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อมีธรรมิราชโพธิญาณบังเกิด ขึ้นอยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์ ณ เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ(ชนบท) จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง 5.000 พระวรรษา
ดู ก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน
ผู้ใด ปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคงจึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล

ร่วม สมัย

.


...เห็นหัวข้อ จึงเข้ามาอ่าน

คิดตอนแรกว่า คงได้เรื่องเกี่ยวกับยานอวกาศสม้ัยใหม่

กลับได้เรื่องสมัยนาซี และ สมัย พุทธกาล...ก้อดีเหมือนกัลลล์... ส.โกรธอย่างแรง ส.โอ้โห ส.หัว