ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

"ปรองดอง" ทำเพื่อ "ใคร"?

เริ่มโดย ม้าน้ำ Sealand, 02:08 น. 02 มิ.ย 55

ม้าน้ำ Sealand

เรื่องเก่าที่เคยตั้งข้อสังเกตุใว้ 2-3ปีที่แล้ว

อนาคตประเทศไทยหรือเป็นเพียงคำขู่ของทักษิณผ่าน Times Online
Wednesday, 18 November 2009 12:38

ผมได้มีโอกาสอ่านบทสัมภาษณ์ของคุณทักษิณฉบับแปลในLiberal Thai
แล้วลองประเมินตามไปด้วย ทำให้พอจะมองเห็นภาพอนาคตประเทศไทยที่ซ่อนอยู่ภายใต้ข้อความเหล่านั้นได้คร่าว ๆ ดังนี้

เพื่อให้มีการเปลี่ยนรัชสมัยเป็นไปได้อย่างราบรื่น
เหนือสิ่งอื่นใดจะต้องทำให้ประชาชนเกิดความสมานฉันท์กันก่อน
โดยวิธี "นิรโทษกรรม" รวมถึงการพระราชทานอภัยโทษ และจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่
ซึ่งวิธีเหล่านี้ถือได้ว่าเป็น "พระเมตตา" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่จะทรงพระราชทานให้แก่พสกนิกรชาวไทย
ได้เกิดความสมัครสมานสามัคคีต่อกัน
และเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปได้อย่างราบรื่นด้วย

และเมื่อมีการเปลี่ยนรัชสมัยผ่านไปได้อย่างราบรื่นแล้ว
เชื่อว่า "น่าจะ" มีการเปลี่ยนข้าราชบริพารใหม่ทั้งหมด
(รวมถึง "คณะองคมนตรี" ด้วย : ความเห็นของผู้เขียน)
ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้เท่าทันต่อโลกสมัยใหม่
โดยจะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
(รัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะเหมือนญี่ปุ่นหรืออังกฤษ : ความเห็นของผู้เขียน)

ซึ่งหากจะเป็นไปตามแนวทางนี้ ดูเหมือนว่า "น่าจะ"
เป็นแนวทางแห่งการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยที่ละมุนละม่อมที่สุด
และจะสามารถบรรเทาความรุนแรงที่กำลังมีแนวโน้มว่า
จะเกิดการเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนี้ให้ลดความรุนแรงลงได้บ้าง
แต่คงจะไม่สามารถบอกได้ว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นเสียเลยก็คงจะไม่ได้
ซึ่งจากคำให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า
ดูเหมือนคุณทักษิณจะพุ่งเป้าไปยังที่หมายใหญ่คือ พล.อ.เปรม
และเจตนากันสถาบันออกไปให้อยู่เหนือความขัดแย้งนี้
ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนรัชสมัยและมีการเปลี่ยนบรรดาเหล่าข้าราชบริพาร
อันมี "คณะองคมนตรี" รวมอยู่ด้วยนั้น
ผลกระทบที่จะเกิดตามมาแบบลูกโซ่ต่อบรรดาคนที่อยู่ในเครือข่ายของ พล.อ.เปรม
ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งอย่าลืมว่า
เครือข่ายเหล่านี้มีผลประโยชน์ครอบคลุมร่วมกันอยู่อย่างมหาศาล

ดังนั้น เรื่องนี้คงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
แต่ข้อมูลที่คุณทักษิณได้เปิดเผยออกมาแล้วนั้นต่างหาก
น่าจะทำให้เกิดผลกระทบไปแล้วในเบื้องแรก
ต่อคนที่อยู่ในเครือข่ายของ พล.อ.เปรม
เพราะถ้าในรัชสมัยต่อไป หากเกิดการเปลี่ยนแปลงคณะองคมนตรี
ตามที่คุณทักษิณได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้จริง

นั่นหมายถึงว่า พล.อ.เปรม ก็จะสิ้นสุดหน้าที่ตามไปด้วย

จากข้อมูลเหล่านี้คงจะมีผลทำให้คนทีอยู่ในเครือข่ายอำนาจเดิมของ
พล.อ.เปรม เกิดอาการระส่ำระสายในความไม่แน่นอนต่ออนาคตในรัชสมัยหน้า
และอาจจะมีการประเมินกันว่าจะ "ดิ้นสู้" ต่อไปหรือจะยอม "รับสภาพ"
แต่จากการประเมินสถานการณ์ ณ ปัจจุบันต่อท่าทีของคนในเครือข่าย
ที่แสดงท่าทีต่อคุณทักษิณนั้น นับวันก็มีแต่จะยิ่งทวีความเข้มเข้าใส่มากขึ้นเป็นลำดับ
โดยไม่คำนึงถึงวิธีการและผลกระทบรอบด้าน
อันเป็นผลมาจากท่าทีที่ได้แสดงต่อมิตรประเทศในกรณีของคุณทักษิณ
ซึ่งนับวันจะยิ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ
ทำให้เป็นที่จับตามองของนานาชาติมากขึ้นไปอีก สุดท้าย
ผมหวั่นว่าเหตุการณ์จะไปลงเอยเหมือนดังเช่น "กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8"
และการลี้ภัยของ ท่านปรีดี จวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
ซึ่งผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า เหตุการณ์สวรรคตอย่างมีเงื่อนงำนี้
เกี่ยวข้องกับการสานต่อหลัก 6 ประการของคณะราษฎร
ซึ่งจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอันจะเป็นการส่งผลกระทบโดยตรง
ต่อระบอบอำมาตย์ในขณะนั้น ดังนั้น เพื่อเป็นการ "ตัดไฟแต่ต้นลม"
จึงเกิดกรณีสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำและไม่น่าเชื่อนี้ขึ้น
และผู้ที่น่าจะมีส่วนร่วมต่อการสานต่อเจตนารมณ์นี้โดยตรง คือ ท่านปรีดี
จึงต้องลี้ภัยจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

แต่ผมก็ยังมีความหวังอยู่อย่างเต็มเปี่ยมว่า "การเปลี่ยนผ่านรัชสมัย"
จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นและส่งผลดีต่อประเทศไทยในทุก ๆ ด้าน
และนำพาความสงบสุขที่แท้จริงกลับคืนสู่ชาวไทยทั้งมวลอย่างยั่งยืนและถาวร

แหละทั้งหมดนี้ เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่ผู้เขียน
"มองและประเมิน" ออกมาด้วย "มุมมองส่วนตัว"
ผ่านในส่วนที่เป็น "เฉพาะ" มุมที่เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ในด้าน
เปลี่ยนรัชสมัย เปลี่ยนข้าราชบริพาร
และการปรับเปลี่ยนสถาบันให้เท่าทันต่อโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น มันอาจจะเกิดขึ้นจริง
หรือไม่มีส่วนใดเกิดขึ้นเลยก็เป็นได้
ซึ่งยังจะต้องมีส่วนประกอบอื่น ๆ อีก ที่จะเป็นตัวแปรของสถานการณ์
เป็นต้นว่า พลังของมวลชนคนเสื้อแดง รวมทั้งกองทัพด้วย
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ข้อมูลที่ท่านผู้อ่านเคยสัมผัสมา
หากได้รับการ เรียบเรียง ไตร่ตรอง และ ประเมินอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้ "ตกผลึก" ออกมาเป็นข้อมูลเฉพาะของตัวเองแล้วนั้นต่างหาก
จะทำให้ผู้อ่านมองเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าผู้เขียนขึ้นไปอีกก็เป็นได้

.
.
จวบจนกระทั่ง สรุปภาพรวมจนถึงปัจจุบัน

แผนปรองดอง เพื่อให้มีการนิรโทษกรรม
สร้างความสมานฉันท์ขึ้นในชาติ
ที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่นี้
รวมไปถึงการที่คุณทักษิณยอมเอาตัวเข้าแลกกับศรัทธาของคนเสื้อแดง
ที่มีต่อคุณทักษิณนั้น
เป็นการเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน"
ที่ใกล้จะมาถึง เพื่อให้เกิดความรามรื่นในการเปลี่ยนผ่านนี้
จึงจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ขึ้นโดยเร็ว
ในหมู่สังคมไทยก่อนที่จะเกิดสถานการณ์นี้
แต่ผลจากเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดง
ภายใต้สโลแกน "โค่นอำมาตย์" โดยมีเป้าหมายใหญ่อยู่ที่ พล.อ.เปรม
จนถูกแกนนำ นปช โจมตีอย่างรุนแรง จนสิ้นสภาพในสายตาของ "คนเสื้อแดง"
พล.อ.เปรม จึงเป็นความจำเป็นแรกของการเปิดประตูสู่ "แผนปรองดอง"
เพราะด้วยสถานะที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ภายใต้สถานการณ์หาก "ราชบัลลังก์ว่างลง"
พล.อ.เปรม คือผู้ที่ถูกกำหนด
ภายใต้ มาตรา ๒๔ (การสำเร็จราชการแทนชั่วคราวระหว่างไม่มีผู้สืบราชสมบัติ) วรรคแรก
ทั้งนี้ก็เพื่อ ลดความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติ
ก่อนที่จะเกิดการ "ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนรัชสมัย"
เพราะจะต้องเร่งรีบทำให้เกิดขึ้นและสำเร็จภายใน "รัชสมัยนี้"
ให้ได้ ในขณะที่ "พระบารมี" ยังแผ่ไกลอยู่นี้
หากไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในรัชสมัยนี้
เชื่อแน่ว่าเมื่อเกิดการ "ผลัดแผ่นดิน" ขึ้นมาจริง ๆ
ความไม่ราบรื่นต่อการเปลี่ยนผ่านนี้จะตามมา
ความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกหลายระดับ
และ "รัชสมัยใหม่" จะยังไม่สามารถ "ยุติ"
สถานการณ์ความขัดแย้งของคนในชาติได้
เพราะเหตุที่ว่าพระองค์ยังใหม่อยู่ "พระบารมี" ยังไม่เป็นที่ประจักษ์
จึงอยากนักที่จะ "ปัดเป่า" ความขัดแย้งที่รุนแรง
และฝังรากลึกในสังคมไทยดังเช่นที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ได้

ส่วน "รัฐธรรมนูญ" ที่จะแก้ไขนั้น "รัฐบาลยิ่งลักษณ์"
ยืนยันชัดเจนหนักแน่นว่าจะไม่แตะต้องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ
ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ไม่อยากเย็นนัก
หากลองใช้ มุมมองเกี่ยวกับการ "ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนรัชสมัย"
เข้ามาเพิ่มมุมมอง ก็จะได้แง่คิด
เพราะถ้าหากให้ "รัชสมัยใหม่" เป็นผู้เข้ามาแสดงเจตจำนงเอง
จะเป็นการ "เพิ่มบารมี" และนำพาสังคมไทยออกจากวิกฤติได้ด้วย
การยอมรับในระดับภาคต่าง ๆ ในสังคมไทยก็จะมีมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งนี้รวมไปถึงในระดับนานาชาติด้วย
.
.

สถานการณ์บ้านเมืองเรานับตั้งแต่รัฐประหาร 19กย49 เป็นต้นมา
ทั้งฝ่ายเหลือง-แดง พรรคเพื่อไทย และ ปชป
ยังเป็นเพียงสภาพของการยิ่งชิงอำนาจกันเองของชนชั้นสูงต่างขั้ว
แต่ใช้ ภาคการเมือง และ ภาคประชาชน เป็นฉากบังหน้าในการช่วงชิงอำนาจกัน
โดยที่ภาคประชาชนถูกใช้เป็น "เครื่องมือ" ในการออกหน้า
โดยที่ภาคประชาชนไม่มีความสำเหนียกได้เลยว่ากำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ
ด้วย "วาทะกรรมอำพราง" ในการปลุกระดมมวลชน
ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะทำให้ฝ่ายประชาชนได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยดังที่คาดหวัง

จากบทสัมภาษณ์นี้ของคุณทักษิณผ่าน Times Online
ทำให้พอที่จะมองเห็นความหวังของฝ่ายประชาธิปไตยอยู่บ้าง
แต่ก็ยังไม่สามารถยึดเหนี่ยวได้ว่าจะเป็นจริงได้อย่างมั่นคง
ตราบใดที่ยังไม่มี "หลักประกัน" หรือ "ข้อตกลง" ที่ชัดเจนเสียก่อน



อย่าเป็นแต่เพีียงเครื่องมือชิ้นหนึ่ง หรือบันไดชีวิตให้ใครไต่ขึ้นสู่อำนาจ
แต่เราจะต้องช่วยกันระดมความคิดเพื่อช่วงกันแสวงหา "โอกาส" จากสถานการณ์นี้ให้ได้ครับ...
.

เกมส์ในสภาครั้งนี้ หากจะเปรียบเทียบก็คงจะเหมือนกับการเสนอเงื่อนไข
เพื่อขึ้นโต๊ะเจรจากับแบบเปิดเผยให้คนทั้งประเทศทั้งโลกได้รับรู้
โดยมี "พรบ.ปรองดอง" เป็นเงื่อนไขการเจรจาของแต่ละฝ่าย
หาก "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" สามารถควบคุมเกมส์ทั้งภายในและภายนอกสภาได้

ก็คงจะได้รับอนุญาตให้ "ตีตั๋วต่อระยะทาง"
ออกไปอีกจนเข้าสู่สถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน"

แต่หากรัฐบาลไม่สามารถคุมเกมส์ที่ละเอียดอ่อนนี้ได้
ก็คงจะเป็นการ "ล้มโต๊ะเจรจา" และเข้าสู่สภาพของ "สงคราม" อย่างเต็มรูปแบบ


"การเมืองเป็นไม่ต้องนองเลือด
ส่วนสงครามจะเป็นภาคต่อของการเมือง
ดังนั้น สงครามจึงเป็นการเมืองที่จะต้องนองเลือด"
.
และหากผ่านสงครามนี้ไปแล้วหาก
ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นดังที่ฝ่ายประชาธิปไตยคาดหวัง
เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเข้าสู่ "สงครามครั้งที่สอง"
และจะเป็น "มหาสงคราม" ที่จะต้องมีฝ่ายที่ "ดับสูญ"
ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ใช่ "ภาคประชาชน" ที่เป็นฝ่ายดับสูญ

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม "สงครามครั้งนี้"
ฝ่ายประชาธิปไตย+ภาคประชาชนจะต้อง "เท่าทัน" ให้ได้
.
.

โค้งสุดท้ายแล้วครับ อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้พบ
อะไรที่ไม่เคยเจอก็จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา...
ประชาชนรอตลึงอ้าปากค้างถึงความ "กล้า"
ของเขาให้ดีก็แล้วกันครับ(....ยังไม่อาย 'สาอะไร)...
เหตุก็เพราะว่าสถานการณ์ "แตกดับ" เป็นตัวเร่งครับ...
.
เราใช้ "การเมือง" ในการนำมาตลอด
และก็เห็นได้ชัดเจนว่าก็ "ล้มเหลว" มาตลอดเช่นกัน...
สถานการณ์จึงกำลังเดินไปสู่ "ภาคต่อ" นั่นก็คือ "สงคราม"...
แต่ที่ยังไม่กล้าผลีผลามลงมือก่อนในขณะนี้ก็เพราะ "เหตุ" ยังไม่อำนวย...
หากหาเหตุได้ก่อนเกิดการ "แตกดับ"
เพื่อเข้าควบคุมอำนาจรัฐโดยกองทัพได้ ถือว่าประสบความสำเร็จ...
แต่หากเข้าควบคุมใน "สถานการณ์แตกดับ"
ก็อาจจะฉุกละหุกเกินไป แต่ก็ยังเป็น "เหตุ"
สุดท้ายในการที่จะใช้กองทัพเข้ายึดอำนาจรัฐ...
ดังนั้น ยิ่งเข้าโค้งสุดท้ายก่อนสถานการณ์แตกดับ
ความแรงจะยิ่งมีมากตามไปด้วย...
เพื่อหาเหตุเข้ายึดอำนาจรัฐให้ได้ก่อนการแตกดับ
เพื่อที่จะได้มีเวลา "จัดการ" สิ่งต่าง ๆ ให้ "ลงตัว" นั่นเอง...
.
.
.ภาคประชาชนจะต้อง "เท่าทัน" สถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน" นี้ให้ได้ครับ...
เพื่อที่จะได้ไม่ตกไปอยู่ในวงล้อมของสถานการณ์ที่ไม่ราบรื่นนี้...
และฝ่ายประชาธิปไตยจะต้อง "เท่าทัน"
เพื่อแสวงหา "โอกาส" จากสถานการณ์นี้ให้ได้ด้วยครับ...

ซึ่งถ้าจะพูดให้ ตรง และ ถูกต้อง มากที่สุดก็ต้องบอกว่า...
จะต้องเท่าทันฝ่ายเดียวกันให้มากที่สุดครับ...
เพราะว่าฝ่ายหนึ่งยังไงก็เห็นตัวตนกันอยู่...
แต่ฝ่ายที่อ้างว่าเป็นพวกเดียวกันนี้นี่แหละ...
กำลังจะ "นำพามวลชน" ในยืนอยู่ ณ จุดใดในสถานการณ์นี้...
และ "ประโยชน์" ที่จะได้นั้น ถึงมือประชาชน หรือ
เดินไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้หรือไม่...
ตรงนี้เราต้อง "เท่าทันแกนนำ" ด้วยครับ...

ตรงนี้จะต้องเอา "มุมมอง" ของ "ภาคประชาชน" เข้ามาคิด...
เพราะถูก "ใช้" เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจของฝ่ายต่าง ๆ มาตลอด...
แต่สถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ จะ "รุนแรง"
กว่าที่ผ่าน ๆ มาหลายเท่าจนเทียบกันไม่ได้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา...
เพราะระดับของ "อำนาจ" ที่ขัดแย้งแย่งชิงกันนั้น..
เป็นอำนาจในระดับ "บนสุด" ของประเทศ
ผลประโยชน์และแนวร่วมจึงมีมากมายมหาศาลตามไปด้วย...
วิธีการ ความรุนแรงในการแย่งชิง และความสูญเสียของฝ่ายต่าง ๆ
จึงจะมีมากตามไปด้วยเช่นกันครับ...


ปล

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ sealand คาด แต่ไม่ได้หวัง...
เพราะหากจะให้หวังได้นั้นจำเป็นจะต้องมี "หลักประกัน" ที่แน่นอนก่อน...
และหลักประกันที่พอจะพึ่งได้ในปัจจุบันนี้ก็เห็นจะมีก็แต่ "แดงตาสว่าง" เท่านั้น...

ก.ไก่ทอด

แล้วประชาชนชั้นล่าง อย่างเราฯจะต้องทำตัวอย่างไรและต้องทำอะไรบ้างละครับ.......จากก.ไก่ทอด
พรุ่งนี้ก็ทอด วันนี้ก็ทอด มะลือก็ทอด อนาคตก็ยังทอด  ร้าน ก.ไก่ทอด      

เมธา

คนที่เชื่อไอ้เหลี่ยมมีเขาอยู่บนหัวทุกคนครับ
ไม่เชื่อถามสามีนอกสมรสของยิ่งลักษณ์ก็ได้
ไม่รู้ว่ายิ่งลักษณ์สวมเขาให้ตั้งแต่ตอนไหน

ส-ดีใจ

จุ้นจัง

ในกระดานหมากรุก เบี้ยในกระดานโดนกินโดนขาย ขุนก็ไม่แยแส สุดท้ายบางกระดานก็ชนะกันที่เบี้ยนี่แหละ

wareerant

ยาวมาก ตัวหนังสือสีขาวด้วย โอ พระเจ้า

puiey

ถ้าพวกแดงยังมีแนวคิดแบบนี้ ก็ไม่ต้องมาปรองดองหรอกครับ ไม่มีใครเอาแบบนี้
โกธรกับแฟน ขึ้นสเตตัส "โสด" ถ้าวันนึง แม่มึงโกธร มึงไม่ขึ้นสเตตัส "กำพร้า" เลยเหรอ

ช่อ2012

การเมือง....ปวดหัวกับการเมืองคับ พาราฯ10บาทคิดเรื่องการเมืองมันไม่คุ้มกันหรอก
เครื่องแบบเปื้อนดินไม่มีกินแต่มีเกียรติ

นายไข่นุ้ย

อ้างจาก: ม้าน้ำ Sealand เมื่อ 02:08 น.  02 มิ.ย 55
เรื่องเก่าที่เคยตั้งข้อสังเกตุใว้ 2-3ปีที่แล้ว

อนาคตประเทศไทยหรือเป็นเพียงคำขู่ของทักษิณผ่าน Times Online
Wednesday, 18 November 2009 12:38

ผมได้มีโอกาสอ่านบทสัมภาษณ์ของคุณทักษิณฉบับแปลในLiberal Thai
แล้วลองประเมินตามไปด้วย ทำให้พอจะมองเห็นภาพอนาคตประเทศไทยที่ซ่อนอยู่ภายใต้ข้อความเหล่านั้นได้คร่าว ๆ ดังนี้

เพื่อให้มีการเปลี่ยนรัชสมัยเป็นไปได้อย่างราบรื่น
เหนือสิ่งอื่นใดจะต้องทำให้ประชาชนเกิดความสมานฉันท์กันก่อน
โดยวิธี "นิรโทษกรรม" รวมถึงการพระราชทานอภัยโทษ และจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่
ซึ่งวิธีเหล่านี้ถือได้ว่าเป็น "พระเมตตา" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่จะทรงพระราชทานให้แก่พสกนิกรชาวไทย
ได้เกิดความสมัครสมานสามัคคีต่อกัน
และเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปได้อย่างราบรื่นด้วย

และเมื่อมีการเปลี่ยนรัชสมัยผ่านไปได้อย่างราบรื่นแล้ว
เชื่อว่า "น่าจะ" มีการเปลี่ยนข้าราชบริพารใหม่ทั้งหมด
(รวมถึง "คณะองคมนตรี" ด้วย : ความเห็นของผู้เขียน)
ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้เท่าทันต่อโลกสมัยใหม่
โดยจะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
(รัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะเหมือนญี่ปุ่นหรืออังกฤษ : ความเห็นของผู้เขียน)

ซึ่งหากจะเป็นไปตามแนวทางนี้ ดูเหมือนว่า "น่าจะ"
เป็นแนวทางแห่งการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยที่ละมุนละม่อมที่สุด
และจะสามารถบรรเทาความรุนแรงที่กำลังมีแนวโน้มว่า
จะเกิดการเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนี้ให้ลดความรุนแรงลงได้บ้าง
แต่คงจะไม่สามารถบอกได้ว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นเสียเลยก็คงจะไม่ได้
ซึ่งจากคำให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า
ดูเหมือนคุณทักษิณจะพุ่งเป้าไปยังที่หมายใหญ่คือ พล.อ.เปรม
และเจตนากันสถาบันออกไปให้อยู่เหนือความขัดแย้งนี้
ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนรัชสมัยและมีการเปลี่ยนบรรดาเหล่าข้าราชบริพาร
อันมี "คณะองคมนตรี" รวมอยู่ด้วยนั้น
ผลกระทบที่จะเกิดตามมาแบบลูกโซ่ต่อบรรดาคนที่อยู่ในเครือข่ายของ พล.อ.เปรม
ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งอย่าลืมว่า
เครือข่ายเหล่านี้มีผลประโยชน์ครอบคลุมร่วมกันอยู่อย่างมหาศาล

ดังนั้น เรื่องนี้คงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
แต่ข้อมูลที่คุณทักษิณได้เปิดเผยออกมาแล้วนั้นต่างหาก
น่าจะทำให้เกิดผลกระทบไปแล้วในเบื้องแรก
ต่อคนที่อยู่ในเครือข่ายของ พล.อ.เปรม
เพราะถ้าในรัชสมัยต่อไป หากเกิดการเปลี่ยนแปลงคณะองคมนตรี
ตามที่คุณทักษิณได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้จริง

นั่นหมายถึงว่า พล.อ.เปรม ก็จะสิ้นสุดหน้าที่ตามไปด้วย

จากข้อมูลเหล่านี้คงจะมีผลทำให้คนทีอยู่ในเครือข่ายอำนาจเดิมของ
พล.อ.เปรม เกิดอาการระส่ำระสายในความไม่แน่นอนต่ออนาคตในรัชสมัยหน้า
และอาจจะมีการประเมินกันว่าจะ "ดิ้นสู้" ต่อไปหรือจะยอม "รับสภาพ"
แต่จากการประเมินสถานการณ์ ณ ปัจจุบันต่อท่าทีของคนในเครือข่าย
ที่แสดงท่าทีต่อคุณทักษิณนั้น นับวันก็มีแต่จะยิ่งทวีความเข้มเข้าใส่มากขึ้นเป็นลำดับ
โดยไม่คำนึงถึงวิธีการและผลกระทบรอบด้าน
อันเป็นผลมาจากท่าทีที่ได้แสดงต่อมิตรประเทศในกรณีของคุณทักษิณ
ซึ่งนับวันจะยิ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ
ทำให้เป็นที่จับตามองของนานาชาติมากขึ้นไปอีก สุดท้าย
ผมหวั่นว่าเหตุการณ์จะไปลงเอยเหมือนดังเช่น "กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8"
และการลี้ภัยของ ท่านปรีดี จวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
ซึ่งผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า เหตุการณ์สวรรคตอย่างมีเงื่อนงำนี้
เกี่ยวข้องกับการสานต่อหลัก 6 ประการของคณะราษฎร
ซึ่งจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอันจะเป็นการส่งผลกระทบโดยตรง
ต่อระบอบอำมาตย์ในขณะนั้น ดังนั้น เพื่อเป็นการ "ตัดไฟแต่ต้นลม"
จึงเกิดกรณีสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำและไม่น่าเชื่อนี้ขึ้น
และผู้ที่น่าจะมีส่วนร่วมต่อการสานต่อเจตนารมณ์นี้โดยตรง คือ ท่านปรีดี
จึงต้องลี้ภัยจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

แต่ผมก็ยังมีความหวังอยู่อย่างเต็มเปี่ยมว่า "การเปลี่ยนผ่านรัชสมัย"
จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นและส่งผลดีต่อประเทศไทยในทุก ๆ ด้าน
และนำพาความสงบสุขที่แท้จริงกลับคืนสู่ชาวไทยทั้งมวลอย่างยั่งยืนและถาวร

แหละทั้งหมดนี้ เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่ผู้เขียน
"มองและประเมิน" ออกมาด้วย "มุมมองส่วนตัว"
ผ่านในส่วนที่เป็น "เฉพาะ" มุมที่เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ในด้าน
เปลี่ยนรัชสมัย เปลี่ยนข้าราชบริพาร
และการปรับเปลี่ยนสถาบันให้เท่าทันต่อโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น มันอาจจะเกิดขึ้นจริง
หรือไม่มีส่วนใดเกิดขึ้นเลยก็เป็นได้
ซึ่งยังจะต้องมีส่วนประกอบอื่น ๆ อีก ที่จะเป็นตัวแปรของสถานการณ์
เป็นต้นว่า พลังของมวลชนคนเสื้อแดง รวมทั้งกองทัพด้วย
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ข้อมูลที่ท่านผู้อ่านเคยสัมผัสมา
หากได้รับการ เรียบเรียง ไตร่ตรอง และ ประเมินอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้ "ตกผลึก" ออกมาเป็นข้อมูลเฉพาะของตัวเองแล้วนั้นต่างหาก
จะทำให้ผู้อ่านมองเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าผู้เขียนขึ้นไปอีกก็เป็นได้

.
.
จวบจนกระทั่ง สรุปภาพรวมจนถึงปัจจุบัน

แผนปรองดอง เพื่อให้มีการนิรโทษกรรม
สร้างความสมานฉันท์ขึ้นในชาติ
ที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่นี้
รวมไปถึงการที่คุณทักษิณยอมเอาตัวเข้าแลกกับศรัทธาของคนเสื้อแดง
ที่มีต่อคุณทักษิณนั้น
เป็นการเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน"
ที่ใกล้จะมาถึง เพื่อให้เกิดความรามรื่นในการเปลี่ยนผ่านนี้
จึงจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ขึ้นโดยเร็ว
ในหมู่สังคมไทยก่อนที่จะเกิดสถานการณ์นี้
แต่ผลจากเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดง
ภายใต้สโลแกน "โค่นอำมาตย์" โดยมีเป้าหมายใหญ่อยู่ที่ พล.อ.เปรม
จนถูกแกนนำ นปช โจมตีอย่างรุนแรง จนสิ้นสภาพในสายตาของ "คนเสื้อแดง"
พล.อ.เปรม จึงเป็นความจำเป็นแรกของการเปิดประตูสู่ "แผนปรองดอง"
เพราะด้วยสถานะที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ภายใต้สถานการณ์หาก "ราชบัลลังก์ว่างลง"
พล.อ.เปรม คือผู้ที่ถูกกำหนด
ภายใต้ มาตรา ๒๔ (การสำเร็จราชการแทนชั่วคราวระหว่างไม่มีผู้สืบราชสมบัติ) วรรคแรก
ทั้งนี้ก็เพื่อ ลดความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติ
ก่อนที่จะเกิดการ "ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนรัชสมัย"
เพราะจะต้องเร่งรีบทำให้เกิดขึ้นและสำเร็จภายใน "รัชสมัยนี้"
ให้ได้ ในขณะที่ "พระบารมี" ยังแผ่ไกลอยู่นี้
หากไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในรัชสมัยนี้
เชื่อแน่ว่าเมื่อเกิดการ "ผลัดแผ่นดิน" ขึ้นมาจริง ๆ
ความไม่ราบรื่นต่อการเปลี่ยนผ่านนี้จะตามมา
ความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกหลายระดับ
และ "รัชสมัยใหม่" จะยังไม่สามารถ "ยุติ"
สถานการณ์ความขัดแย้งของคนในชาติได้
เพราะเหตุที่ว่าพระองค์ยังใหม่อยู่ "พระบารมี" ยังไม่เป็นที่ประจักษ์
จึงอยากนักที่จะ "ปัดเป่า" ความขัดแย้งที่รุนแรง
และฝังรากลึกในสังคมไทยดังเช่นที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ได้

ส่วน "รัฐธรรมนูญ" ที่จะแก้ไขนั้น "รัฐบาลยิ่งลักษณ์"
ยืนยันชัดเจนหนักแน่นว่าจะไม่แตะต้องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ
ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ไม่อยากเย็นนัก
หากลองใช้ มุมมองเกี่ยวกับการ "ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนรัชสมัย"
เข้ามาเพิ่มมุมมอง ก็จะได้แง่คิด
เพราะถ้าหากให้ "รัชสมัยใหม่" เป็นผู้เข้ามาแสดงเจตจำนงเอง
จะเป็นการ "เพิ่มบารมี" และนำพาสังคมไทยออกจากวิกฤติได้ด้วย
การยอมรับในระดับภาคต่าง ๆ ในสังคมไทยก็จะมีมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งนี้รวมไปถึงในระดับนานาชาติด้วย
.
.

สถานการณ์บ้านเมืองเรานับตั้งแต่รัฐประหาร 19กย49 เป็นต้นมา
ทั้งฝ่ายเหลือง-แดง พรรคเพื่อไทย และ ปชป
ยังเป็นเพียงสภาพของการยิ่งชิงอำนาจกันเองของชนชั้นสูงต่างขั้ว
แต่ใช้ ภาคการเมือง และ ภาคประชาชน เป็นฉากบังหน้าในการช่วงชิงอำนาจกัน
โดยที่ภาคประชาชนถูกใช้เป็น "เครื่องมือ" ในการออกหน้า
โดยที่ภาคประชาชนไม่มีความสำเหนียกได้เลยว่ากำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ
ด้วย "วาทะกรรมอำพราง" ในการปลุกระดมมวลชน
ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะทำให้ฝ่ายประชาชนได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยดังที่คาดหวัง

จากบทสัมภาษณ์นี้ของคุณทักษิณผ่าน Times Online
ทำให้พอที่จะมองเห็นความหวังของฝ่ายประชาธิปไตยอยู่บ้าง
แต่ก็ยังไม่สามารถยึดเหนี่ยวได้ว่าจะเป็นจริงได้อย่างมั่นคง
ตราบใดที่ยังไม่มี "หลักประกัน" หรือ "ข้อตกลง" ที่ชัดเจนเสียก่อน



อย่าเป็นแต่เพีียงเครื่องมือชิ้นหนึ่ง หรือบันไดชีวิตให้ใครไต่ขึ้นสู่อำนาจ
แต่เราจะต้องช่วยกันระดมความคิดเพื่อช่วงกันแสวงหา "โอกาส" จากสถานการณ์นี้ให้ได้ครับ...
.

เกมส์ในสภาครั้งนี้ หากจะเปรียบเทียบก็คงจะเหมือนกับการเสนอเงื่อนไข
เพื่อขึ้นโต๊ะเจรจากับแบบเปิดเผยให้คนทั้งประเทศทั้งโลกได้รับรู้
โดยมี "พรบ.ปรองดอง" เป็นเงื่อนไขการเจรจาของแต่ละฝ่าย
หาก "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" สามารถควบคุมเกมส์ทั้งภายในและภายนอกสภาได้

ก็คงจะได้รับอนุญาตให้ "ตีตั๋วต่อระยะทาง"
ออกไปอีกจนเข้าสู่สถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน"

แต่หากรัฐบาลไม่สามารถคุมเกมส์ที่ละเอียดอ่อนนี้ได้
ก็คงจะเป็นการ "ล้มโต๊ะเจรจา" และเข้าสู่สภาพของ "สงคราม" อย่างเต็มรูปแบบ


"การเมืองเป็นไม่ต้องนองเลือด
ส่วนสงครามจะเป็นภาคต่อของการเมือง
ดังนั้น สงครามจึงเป็นการเมืองที่จะต้องนองเลือด"
.
และหากผ่านสงครามนี้ไปแล้วหาก
ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นดังที่ฝ่ายประชาธิปไตยคาดหวัง
เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเข้าสู่ "สงครามครั้งที่สอง"
และจะเป็น "มหาสงคราม" ที่จะต้องมีฝ่ายที่ "ดับสูญ"
ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ใช่ "ภาคประชาชน" ที่เป็นฝ่ายดับสูญ

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม "สงครามครั้งนี้"
ฝ่ายประชาธิปไตย+ภาคประชาชนจะต้อง "เท่าทัน" ให้ได้
.
.

โค้งสุดท้ายแล้วครับ อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้พบ
อะไรที่ไม่เคยเจอก็จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา...
ประชาชนรอตลึงอ้าปากค้างถึงความ "กล้า"
ของเขาให้ดีก็แล้วกันครับ(....ยังไม่อาย 'สาอะไร)...
เหตุก็เพราะว่าสถานการณ์ "แตกดับ" เป็นตัวเร่งครับ...
.
เราใช้ "การเมือง" ในการนำมาตลอด
และก็เห็นได้ชัดเจนว่าก็ "ล้มเหลว" มาตลอดเช่นกัน...
สถานการณ์จึงกำลังเดินไปสู่ "ภาคต่อ" นั่นก็คือ "สงคราม"...
แต่ที่ยังไม่กล้าผลีผลามลงมือก่อนในขณะนี้ก็เพราะ "เหตุ" ยังไม่อำนวย...
หากหาเหตุได้ก่อนเกิดการ "แตกดับ"
เพื่อเข้าควบคุมอำนาจรัฐโดยกองทัพได้ ถือว่าประสบความสำเร็จ...
แต่หากเข้าควบคุมใน "สถานการณ์แตกดับ"
ก็อาจจะฉุกละหุกเกินไป แต่ก็ยังเป็น "เหตุ"
สุดท้ายในการที่จะใช้กองทัพเข้ายึดอำนาจรัฐ...
ดังนั้น ยิ่งเข้าโค้งสุดท้ายก่อนสถานการณ์แตกดับ
ความแรงจะยิ่งมีมากตามไปด้วย...
เพื่อหาเหตุเข้ายึดอำนาจรัฐให้ได้ก่อนการแตกดับ
เพื่อที่จะได้มีเวลา "จัดการ" สิ่งต่าง ๆ ให้ "ลงตัว" นั่นเอง...
.
.
.ภาคประชาชนจะต้อง "เท่าทัน" สถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน" นี้ให้ได้ครับ...
เพื่อที่จะได้ไม่ตกไปอยู่ในวงล้อมของสถานการณ์ที่ไม่ราบรื่นนี้...
และฝ่ายประชาธิปไตยจะต้อง "เท่าทัน"
เพื่อแสวงหา "โอกาส" จากสถานการณ์นี้ให้ได้ด้วยครับ...

ซึ่งถ้าจะพูดให้ ตรง และ ถูกต้อง มากที่สุดก็ต้องบอกว่า...
จะต้องเท่าทันฝ่ายเดียวกันให้มากที่สุดครับ...
เพราะว่าฝ่ายหนึ่งยังไงก็เห็นตัวตนกันอยู่...
แต่ฝ่ายที่อ้างว่าเป็นพวกเดียวกันนี้นี่แหละ...
กำลังจะ "นำพามวลชน" ในยืนอยู่ ณ จุดใดในสถานการณ์นี้...
และ "ประโยชน์" ที่จะได้นั้น ถึงมือประชาชน หรือ
เดินไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้หรือไม่...
ตรงนี้เราต้อง "เท่าทันแกนนำ" ด้วยครับ...

ตรงนี้จะต้องเอา "มุมมอง" ของ "ภาคประชาชน" เข้ามาคิด...
เพราะถูก "ใช้" เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจของฝ่ายต่าง ๆ มาตลอด...
แต่สถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ จะ "รุนแรง"
กว่าที่ผ่าน ๆ มาหลายเท่าจนเทียบกันไม่ได้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา...
เพราะระดับของ "อำนาจ" ที่ขัดแย้งแย่งชิงกันนั้น..
เป็นอำนาจในระดับ "บนสุด" ของประเทศ
ผลประโยชน์และแนวร่วมจึงมีมากมายมหาศาลตามไปด้วย...
วิธีการ ความรุนแรงในการแย่งชิง และความสูญเสียของฝ่ายต่าง ๆ
จึงจะมีมากตามไปด้วยเช่นกันครับ...


ปล

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ sealand คาด แต่ไม่ได้หวัง...
เพราะหากจะให้หวังได้นั้นจำเป็นจะต้องมี "หลักประกัน" ที่แน่นอนก่อน...
และหลักประกันที่พอจะพึ่งได้ในปัจจุบันนี้ก็เห็นจะมีก็แต่ "แดงตาสว่าง" เท่านั้น...

ท่อนบนอ่านยาก ฮ่วย ส.โกรธ
DO YOU KNOW ME? I AM A CAT 28 YEARS. AND YOU?    แมวแท้สู (แมวยิ้ม)

ช่างไฟ

อ้างจาก: ม้าน้ำ Sealand เมื่อ 02:08 น.  02 มิ.ย 55
เรื่องเก่าที่เคยตั้งข้อสังเกตุใว้ 2-3ปีที่แล้ว

อนาคตประเทศไทยหรือเป็นเพียงคำขู่ของทักษิณผ่าน Times Online
Wednesday, 18 November 2009 12:38

ผมได้มีโอกาสอ่านบทสัมภาษณ์ของคุณทักษิณฉบับแปลในLiberal Thai
แล้วลองประเมินตามไปด้วย ทำให้พอจะมองเห็นภาพอนาคตประเทศไทยที่ซ่อนอยู่ภายใต้ข้อความเหล่านั้นได้คร่าว ๆ ดังนี้

เพื่อให้มีการเปลี่ยนรัชสมัยเป็นไปได้อย่างราบรื่น
เหนือสิ่งอื่นใดจะต้องทำให้ประชาชนเกิดความสมานฉันท์กันก่อน
โดยวิธี "นิรโทษกรรม" รวมถึงการพระราชทานอภัยโทษ และจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่
ซึ่งวิธีเหล่านี้ถือได้ว่าเป็น "พระเมตตา" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่จะทรงพระราชทานให้แก่พสกนิกรชาวไทย
ได้เกิดความสมัครสมานสามัคคีต่อกัน
และเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปได้อย่างราบรื่นด้วย

และเมื่อมีการเปลี่ยนรัชสมัยผ่านไปได้อย่างราบรื่นแล้ว
เชื่อว่า "น่าจะ" มีการเปลี่ยนข้าราชบริพารใหม่ทั้งหมด
(รวมถึง "คณะองคมนตรี" ด้วย : ความเห็นของผู้เขียน)
ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้เท่าทันต่อโลกสมัยใหม่
โดยจะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
(รัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะเหมือนญี่ปุ่นหรืออังกฤษ : ความเห็นของผู้เขียน)

ซึ่งหากจะเป็นไปตามแนวทางนี้ ดูเหมือนว่า "น่าจะ"
เป็นแนวทางแห่งการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยที่ละมุนละม่อมที่สุด
และจะสามารถบรรเทาความรุนแรงที่กำลังมีแนวโน้มว่า
จะเกิดการเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนี้ให้ลดความรุนแรงลงได้บ้าง
แต่คงจะไม่สามารถบอกได้ว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นเสียเลยก็คงจะไม่ได้
ซึ่งจากคำให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า
ดูเหมือนคุณทักษิณจะพุ่งเป้าไปยังที่หมายใหญ่คือ พล.อ.เปรม
และเจตนากันสถาบันออกไปให้อยู่เหนือความขัดแย้งนี้
ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนรัชสมัยและมีการเปลี่ยนบรรดาเหล่าข้าราชบริพาร
อันมี "คณะองคมนตรี" รวมอยู่ด้วยนั้น
ผลกระทบที่จะเกิดตามมาแบบลูกโซ่ต่อบรรดาคนที่อยู่ในเครือข่ายของ พล.อ.เปรม
ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งอย่าลืมว่า
เครือข่ายเหล่านี้มีผลประโยชน์ครอบคลุมร่วมกันอยู่อย่างมหาศาล

ดังนั้น เรื่องนี้คงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
แต่ข้อมูลที่คุณทักษิณได้เปิดเผยออกมาแล้วนั้นต่างหาก
น่าจะทำให้เกิดผลกระทบไปแล้วในเบื้องแรก
ต่อคนที่อยู่ในเครือข่ายของ พล.อ.เปรม
เพราะถ้าในรัชสมัยต่อไป หากเกิดการเปลี่ยนแปลงคณะองคมนตรี
ตามที่คุณทักษิณได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้จริง

นั่นหมายถึงว่า พล.อ.เปรม ก็จะสิ้นสุดหน้าที่ตามไปด้วย

จากข้อมูลเหล่านี้คงจะมีผลทำให้คนทีอยู่ในเครือข่ายอำนาจเดิมของ
พล.อ.เปรม เกิดอาการระส่ำระสายในความไม่แน่นอนต่ออนาคตในรัชสมัยหน้า
และอาจจะมีการประเมินกันว่าจะ "ดิ้นสู้" ต่อไปหรือจะยอม "รับสภาพ"
แต่จากการประเมินสถานการณ์ ณ ปัจจุบันต่อท่าทีของคนในเครือข่าย
ที่แสดงท่าทีต่อคุณทักษิณนั้น นับวันก็มีแต่จะยิ่งทวีความเข้มเข้าใส่มากขึ้นเป็นลำดับ
โดยไม่คำนึงถึงวิธีการและผลกระทบรอบด้าน
อันเป็นผลมาจากท่าทีที่ได้แสดงต่อมิตรประเทศในกรณีของคุณทักษิณ
ซึ่งนับวันจะยิ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ
ทำให้เป็นที่จับตามองของนานาชาติมากขึ้นไปอีก สุดท้าย
ผมหวั่นว่าเหตุการณ์จะไปลงเอยเหมือนดังเช่น "กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8"
และการลี้ภัยของ ท่านปรีดี จวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
ซึ่งผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า เหตุการณ์สวรรคตอย่างมีเงื่อนงำนี้
เกี่ยวข้องกับการสานต่อหลัก 6 ประการของคณะราษฎร
ซึ่งจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอันจะเป็นการส่งผลกระทบโดยตรง
ต่อระบอบอำมาตย์ในขณะนั้น ดังนั้น เพื่อเป็นการ "ตัดไฟแต่ต้นลม"
จึงเกิดกรณีสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำและไม่น่าเชื่อนี้ขึ้น
และผู้ที่น่าจะมีส่วนร่วมต่อการสานต่อเจตนารมณ์นี้โดยตรง คือ ท่านปรีดี
จึงต้องลี้ภัยจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

แต่ผมก็ยังมีความหวังอยู่อย่างเต็มเปี่ยมว่า "การเปลี่ยนผ่านรัชสมัย"
จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นและส่งผลดีต่อประเทศไทยในทุก ๆ ด้าน
และนำพาความสงบสุขที่แท้จริงกลับคืนสู่ชาวไทยทั้งมวลอย่างยั่งยืนและถาวร

แหละทั้งหมดนี้ เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่ผู้เขียน
"มองและประเมิน" ออกมาด้วย "มุมมองส่วนตัว"
ผ่านในส่วนที่เป็น "เฉพาะ" มุมที่เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ในด้าน
เปลี่ยนรัชสมัย เปลี่ยนข้าราชบริพาร
และการปรับเปลี่ยนสถาบันให้เท่าทันต่อโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น มันอาจจะเกิดขึ้นจริง
หรือไม่มีส่วนใดเกิดขึ้นเลยก็เป็นได้
ซึ่งยังจะต้องมีส่วนประกอบอื่น ๆ อีก ที่จะเป็นตัวแปรของสถานการณ์
เป็นต้นว่า พลังของมวลชนคนเสื้อแดง รวมทั้งกองทัพด้วย
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ข้อมูลที่ท่านผู้อ่านเคยสัมผัสมา
หากได้รับการ เรียบเรียง ไตร่ตรอง และ ประเมินอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้ "ตกผลึก" ออกมาเป็นข้อมูลเฉพาะของตัวเองแล้วนั้นต่างหาก
จะทำให้ผู้อ่านมองเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าผู้เขียนขึ้นไปอีกก็เป็นได้

.
.
จวบจนกระทั่ง สรุปภาพรวมจนถึงปัจจุบัน

แผนปรองดอง เพื่อให้มีการนิรโทษกรรม
สร้างความสมานฉันท์ขึ้นในชาติ
ที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่นี้
รวมไปถึงการที่คุณทักษิณยอมเอาตัวเข้าแลกกับศรัทธาของคนเสื้อแดง
ที่มีต่อคุณทักษิณนั้น
เป็นการเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน"
ที่ใกล้จะมาถึง เพื่อให้เกิดความรามรื่นในการเปลี่ยนผ่านนี้
จึงจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ขึ้นโดยเร็ว
ในหมู่สังคมไทยก่อนที่จะเกิดสถานการณ์นี้
แต่ผลจากเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดง
ภายใต้สโลแกน "โค่นอำมาตย์" โดยมีเป้าหมายใหญ่อยู่ที่ พล.อ.เปรม
จนถูกแกนนำ นปช โจมตีอย่างรุนแรง จนสิ้นสภาพในสายตาของ "คนเสื้อแดง"
พล.อ.เปรม จึงเป็นความจำเป็นแรกของการเปิดประตูสู่ "แผนปรองดอง"
เพราะด้วยสถานะที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ภายใต้สถานการณ์หาก "ราชบัลลังก์ว่างลง"
พล.อ.เปรม คือผู้ที่ถูกกำหนด
ภายใต้ มาตรา ๒๔ (การสำเร็จราชการแทนชั่วคราวระหว่างไม่มีผู้สืบราชสมบัติ) วรรคแรก
ทั้งนี้ก็เพื่อ ลดความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติ
ก่อนที่จะเกิดการ "ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนรัชสมัย"
เพราะจะต้องเร่งรีบทำให้เกิดขึ้นและสำเร็จภายใน "รัชสมัยนี้"
ให้ได้ ในขณะที่ "พระบารมี" ยังแผ่ไกลอยู่นี้
หากไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในรัชสมัยนี้
เชื่อแน่ว่าเมื่อเกิดการ "ผลัดแผ่นดิน" ขึ้นมาจริง ๆ
ความไม่ราบรื่นต่อการเปลี่ยนผ่านนี้จะตามมา
ความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกหลายระดับ
และ "รัชสมัยใหม่" จะยังไม่สามารถ "ยุติ"
สถานการณ์ความขัดแย้งของคนในชาติได้
เพราะเหตุที่ว่าพระองค์ยังใหม่อยู่ "พระบารมี" ยังไม่เป็นที่ประจักษ์
จึงอยากนักที่จะ "ปัดเป่า" ความขัดแย้งที่รุนแรง
และฝังรากลึกในสังคมไทยดังเช่นที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ได้

ส่วน "รัฐธรรมนูญ" ที่จะแก้ไขนั้น "รัฐบาลยิ่งลักษณ์"
ยืนยันชัดเจนหนักแน่นว่าจะไม่แตะต้องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ
ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ไม่อยากเย็นนัก
หากลองใช้ มุมมองเกี่ยวกับการ "ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนรัชสมัย"
เข้ามาเพิ่มมุมมอง ก็จะได้แง่คิด
เพราะถ้าหากให้ "รัชสมัยใหม่" เป็นผู้เข้ามาแสดงเจตจำนงเอง
จะเป็นการ "เพิ่มบารมี" และนำพาสังคมไทยออกจากวิกฤติได้ด้วย
การยอมรับในระดับภาคต่าง ๆ ในสังคมไทยก็จะมีมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งนี้รวมไปถึงในระดับนานาชาติด้วย
.
.

สถานการณ์บ้านเมืองเรานับตั้งแต่รัฐประหาร 19กย49 เป็นต้นมา
ทั้งฝ่ายเหลือง-แดง พรรคเพื่อไทย และ ปชป
ยังเป็นเพียงสภาพของการยิ่งชิงอำนาจกันเองของชนชั้นสูงต่างขั้ว
แต่ใช้ ภาคการเมือง และ ภาคประชาชน เป็นฉากบังหน้าในการช่วงชิงอำนาจกัน
โดยที่ภาคประชาชนถูกใช้เป็น "เครื่องมือ" ในการออกหน้า
โดยที่ภาคประชาชนไม่มีความสำเหนียกได้เลยว่ากำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ
ด้วย "วาทะกรรมอำพราง" ในการปลุกระดมมวลชน
ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะทำให้ฝ่ายประชาชนได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยดังที่คาดหวัง

จากบทสัมภาษณ์นี้ของคุณทักษิณผ่าน Times Online
ทำให้พอที่จะมองเห็นความหวังของฝ่ายประชาธิปไตยอยู่บ้าง
แต่ก็ยังไม่สามารถยึดเหนี่ยวได้ว่าจะเป็นจริงได้อย่างมั่นคง
ตราบใดที่ยังไม่มี "หลักประกัน" หรือ "ข้อตกลง" ที่ชัดเจนเสียก่อน



อย่าเป็นแต่เพีียงเครื่องมือชิ้นหนึ่ง หรือบันไดชีวิตให้ใครไต่ขึ้นสู่อำนาจ
แต่เราจะต้องช่วยกันระดมความคิดเพื่อช่วงกันแสวงหา "โอกาส" จากสถานการณ์นี้ให้ได้ครับ...
.

เกมส์ในสภาครั้งนี้ หากจะเปรียบเทียบก็คงจะเหมือนกับการเสนอเงื่อนไข
เพื่อขึ้นโต๊ะเจรจากับแบบเปิดเผยให้คนทั้งประเทศทั้งโลกได้รับรู้
โดยมี "พรบ.ปรองดอง" เป็นเงื่อนไขการเจรจาของแต่ละฝ่าย
หาก "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" สามารถควบคุมเกมส์ทั้งภายในและภายนอกสภาได้

ก็คงจะได้รับอนุญาตให้ "ตีตั๋วต่อระยะทาง"
ออกไปอีกจนเข้าสู่สถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน"

แต่หากรัฐบาลไม่สามารถคุมเกมส์ที่ละเอียดอ่อนนี้ได้
ก็คงจะเป็นการ "ล้มโต๊ะเจรจา" และเข้าสู่สภาพของ "สงคราม" อย่างเต็มรูปแบบ


"การเมืองเป็นไม่ต้องนองเลือด
ส่วนสงครามจะเป็นภาคต่อของการเมือง
ดังนั้น สงครามจึงเป็นการเมืองที่จะต้องนองเลือด"
.
และหากผ่านสงครามนี้ไปแล้วหาก
ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นดังที่ฝ่ายประชาธิปไตยคาดหวัง
เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเข้าสู่ "สงครามครั้งที่สอง"
และจะเป็น "มหาสงคราม" ที่จะต้องมีฝ่ายที่ "ดับสูญ"
ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ใช่ "ภาคประชาชน" ที่เป็นฝ่ายดับสูญ

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม "สงครามครั้งนี้"
ฝ่ายประชาธิปไตย+ภาคประชาชนจะต้อง "เท่าทัน" ให้ได้
.
.

โค้งสุดท้ายแล้วครับ อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้พบ
อะไรที่ไม่เคยเจอก็จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา...
ประชาชนรอตลึงอ้าปากค้างถึงความ "กล้า"
ของเขาให้ดีก็แล้วกันครับ(....ยังไม่อาย 'สาอะไร)...
เหตุก็เพราะว่าสถานการณ์ "แตกดับ" เป็นตัวเร่งครับ...
.
เราใช้ "การเมือง" ในการนำมาตลอด
และก็เห็นได้ชัดเจนว่าก็ "ล้มเหลว" มาตลอดเช่นกัน...
สถานการณ์จึงกำลังเดินไปสู่ "ภาคต่อ" นั่นก็คือ "สงคราม"...
แต่ที่ยังไม่กล้าผลีผลามลงมือก่อนในขณะนี้ก็เพราะ "เหตุ" ยังไม่อำนวย...
หากหาเหตุได้ก่อนเกิดการ "แตกดับ"
เพื่อเข้าควบคุมอำนาจรัฐโดยกองทัพได้ ถือว่าประสบความสำเร็จ...
แต่หากเข้าควบคุมใน "สถานการณ์แตกดับ"
ก็อาจจะฉุกละหุกเกินไป แต่ก็ยังเป็น "เหตุ"
สุดท้ายในการที่จะใช้กองทัพเข้ายึดอำนาจรัฐ...
ดังนั้น ยิ่งเข้าโค้งสุดท้ายก่อนสถานการณ์แตกดับ
ความแรงจะยิ่งมีมากตามไปด้วย...
เพื่อหาเหตุเข้ายึดอำนาจรัฐให้ได้ก่อนการแตกดับ
เพื่อที่จะได้มีเวลา "จัดการ" สิ่งต่าง ๆ ให้ "ลงตัว" นั่นเอง...
.
.
.ภาคประชาชนจะต้อง "เท่าทัน" สถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน" นี้ให้ได้ครับ...
เพื่อที่จะได้ไม่ตกไปอยู่ในวงล้อมของสถานการณ์ที่ไม่ราบรื่นนี้...
และฝ่ายประชาธิปไตยจะต้อง "เท่าทัน"
เพื่อแสวงหา "โอกาส" จากสถานการณ์นี้ให้ได้ด้วยครับ...

ซึ่งถ้าจะพูดให้ ตรง และ ถูกต้อง มากที่สุดก็ต้องบอกว่า...
จะต้องเท่าทันฝ่ายเดียวกันให้มากที่สุดครับ...
เพราะว่าฝ่ายหนึ่งยังไงก็เห็นตัวตนกันอยู่...
แต่ฝ่ายที่อ้างว่าเป็นพวกเดียวกันนี้นี่แหละ...
กำลังจะ "นำพามวลชน" ในยืนอยู่ ณ จุดใดในสถานการณ์นี้...
และ "ประโยชน์" ที่จะได้นั้น ถึงมือประชาชน หรือ
เดินไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้หรือไม่...
ตรงนี้เราต้อง "เท่าทันแกนนำ" ด้วยครับ...

ตรงนี้จะต้องเอา "มุมมอง" ของ "ภาคประชาชน" เข้ามาคิด...
เพราะถูก "ใช้" เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจของฝ่ายต่าง ๆ มาตลอด...
แต่สถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ จะ "รุนแรง"
กว่าที่ผ่าน ๆ มาหลายเท่าจนเทียบกันไม่ได้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา...
เพราะระดับของ "อำนาจ" ที่ขัดแย้งแย่งชิงกันนั้น..
เป็นอำนาจในระดับ "บนสุด" ของประเทศ
ผลประโยชน์และแนวร่วมจึงมีมากมายมหาศาลตามไปด้วย...
วิธีการ ความรุนแรงในการแย่งชิง และความสูญเสียของฝ่ายต่าง ๆ
จึงจะมีมากตามไปด้วยเช่นกันครับ...


ปล

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ sealand คาด แต่ไม่ได้หวัง...
เพราะหากจะให้หวังได้นั้นจำเป็นจะต้องมี "หลักประกัน" ที่แน่นอนก่อน...
และหลักประกันที่พอจะพึ่งได้ในปัจจุบันนี้ก็เห็นจะมีก็แต่ "แดงตาสว่าง" เท่านั้น...


ตัวหนังสือสีขาวอ่านยากครับ ปรั่บให้อ่านง่ายๆ

manu_uman

อ้างจาก: เมธา เมื่อ 12:45 น.  02 มิ.ย 55
คนที่เชื่อไอ้เหลี่ยมมีเขาอยู่บนหัวทุกคนครับ
ไม่เชื่อถามสามีนอกสมรสของยิ่งลักษณ์ก็ได้
ไม่รู้ว่ายิ่งลักษณ์สวมเขาให้ตั้งแต่ตอนไหน

ส-ดีใจ
ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ ส.บายใจ

ผีดำ1

อ้างจาก: ม้าน้ำ Sealand เมื่อ 02:08 น.  02 มิ.ย 55
เรื่องเก่าที่เคยตั้งข้อสังเกตุใว้ 2-3ปีที่แล้ว

อนาคตประเทศไทยหรือเป็นเพียงคำขู่ของทักษิณผ่าน Times Online
Wednesday, 18 November 2009 12:38

ผมได้มีโอกาสอ่านบทสัมภาษณ์ของคุณทักษิณฉบับแปลในLiberal Thai
แล้วลองประเมินตามไปด้วย ทำให้พอจะมองเห็นภาพอนาคตประเทศไทยที่ซ่อนอยู่ภายใต้ข้อความเหล่านั้นได้คร่าว ๆ ดังนี้

เพื่อให้มีการเปลี่ยนรัชสมัยเป็นไปได้อย่างราบรื่น
เหนือสิ่งอื่นใดจะต้องทำให้ประชาชนเกิดความสมานฉันท์กันก่อน
โดยวิธี "นิรโทษกรรม" รวมถึงการพระราชทานอภัยโทษ และจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่
ซึ่งวิธีเหล่านี้ถือได้ว่าเป็น "พระเมตตา" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่จะทรงพระราชทานให้แก่พสกนิกรชาวไทย
ได้เกิดความสมัครสมานสามัคคีต่อกัน
และเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปได้อย่างราบรื่นด้วย

และเมื่อมีการเปลี่ยนรัชสมัยผ่านไปได้อย่างราบรื่นแล้ว
เชื่อว่า "น่าจะ" มีการเปลี่ยนข้าราชบริพารใหม่ทั้งหมด
(รวมถึง "คณะองคมนตรี" ด้วย : ความเห็นของผู้เขียน)
ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับเปลี่ยนให้เท่าทันต่อโลกสมัยใหม่
โดยจะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
(รัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะเหมือนญี่ปุ่นหรืออังกฤษ : ความเห็นของผู้เขียน)

ซึ่งหากจะเป็นไปตามแนวทางนี้ ดูเหมือนว่า "น่าจะ"
เป็นแนวทางแห่งการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยที่ละมุนละม่อมที่สุด
และจะสามารถบรรเทาความรุนแรงที่กำลังมีแนวโน้มว่า
จะเกิดการเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนี้ให้ลดความรุนแรงลงได้บ้าง
แต่คงจะไม่สามารถบอกได้ว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นเสียเลยก็คงจะไม่ได้
ซึ่งจากคำให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า
ดูเหมือนคุณทักษิณจะพุ่งเป้าไปยังที่หมายใหญ่คือ พล.อ.เปรม
และเจตนากันสถาบันออกไปให้อยู่เหนือความขัดแย้งนี้
ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนรัชสมัยและมีการเปลี่ยนบรรดาเหล่าข้าราชบริพาร
อันมี "คณะองคมนตรี" รวมอยู่ด้วยนั้น
ผลกระทบที่จะเกิดตามมาแบบลูกโซ่ต่อบรรดาคนที่อยู่ในเครือข่ายของ พล.อ.เปรม
ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งอย่าลืมว่า
เครือข่ายเหล่านี้มีผลประโยชน์ครอบคลุมร่วมกันอยู่อย่างมหาศาล

ดังนั้น เรื่องนี้คงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
แต่ข้อมูลที่คุณทักษิณได้เปิดเผยออกมาแล้วนั้นต่างหาก
น่าจะทำให้เกิดผลกระทบไปแล้วในเบื้องแรก
ต่อคนที่อยู่ในเครือข่ายของ พล.อ.เปรม
เพราะถ้าในรัชสมัยต่อไป หากเกิดการเปลี่ยนแปลงคณะองคมนตรี
ตามที่คุณทักษิณได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้จริง

นั่นหมายถึงว่า พล.อ.เปรม ก็จะสิ้นสุดหน้าที่ตามไปด้วย

จากข้อมูลเหล่านี้คงจะมีผลทำให้คนทีอยู่ในเครือข่ายอำนาจเดิมของ
พล.อ.เปรม เกิดอาการระส่ำระสายในความไม่แน่นอนต่ออนาคตในรัชสมัยหน้า
และอาจจะมีการประเมินกันว่าจะ "ดิ้นสู้" ต่อไปหรือจะยอม "รับสภาพ"
แต่จากการประเมินสถานการณ์ ณ ปัจจุบันต่อท่าทีของคนในเครือข่าย
ที่แสดงท่าทีต่อคุณทักษิณนั้น นับวันก็มีแต่จะยิ่งทวีความเข้มเข้าใส่มากขึ้นเป็นลำดับ
โดยไม่คำนึงถึงวิธีการและผลกระทบรอบด้าน
อันเป็นผลมาจากท่าทีที่ได้แสดงต่อมิตรประเทศในกรณีของคุณทักษิณ
ซึ่งนับวันจะยิ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ
ทำให้เป็นที่จับตามองของนานาชาติมากขึ้นไปอีก สุดท้าย
ผมหวั่นว่าเหตุการณ์จะไปลงเอยเหมือนดังเช่น "กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8"
และการลี้ภัยของ ท่านปรีดี จวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
ซึ่งผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า เหตุการณ์สวรรคตอย่างมีเงื่อนงำนี้
เกี่ยวข้องกับการสานต่อหลัก 6 ประการของคณะราษฎร
ซึ่งจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอันจะเป็นการส่งผลกระทบโดยตรง
ต่อระบอบอำมาตย์ในขณะนั้น ดังนั้น เพื่อเป็นการ "ตัดไฟแต่ต้นลม"
จึงเกิดกรณีสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำและไม่น่าเชื่อนี้ขึ้น
และผู้ที่น่าจะมีส่วนร่วมต่อการสานต่อเจตนารมณ์นี้โดยตรง คือ ท่านปรีดี
จึงต้องลี้ภัยจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

แต่ผมก็ยังมีความหวังอยู่อย่างเต็มเปี่ยมว่า "การเปลี่ยนผ่านรัชสมัย"
จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นและส่งผลดีต่อประเทศไทยในทุก ๆ ด้าน
และนำพาความสงบสุขที่แท้จริงกลับคืนสู่ชาวไทยทั้งมวลอย่างยั่งยืนและถาวร

แหละทั้งหมดนี้ เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่ผู้เขียน
"มองและประเมิน" ออกมาด้วย "มุมมองส่วนตัว"
ผ่านในส่วนที่เป็น "เฉพาะ" มุมที่เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ในด้าน
เปลี่ยนรัชสมัย เปลี่ยนข้าราชบริพาร
และการปรับเปลี่ยนสถาบันให้เท่าทันต่อโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น มันอาจจะเกิดขึ้นจริง
หรือไม่มีส่วนใดเกิดขึ้นเลยก็เป็นได้
ซึ่งยังจะต้องมีส่วนประกอบอื่น ๆ อีก ที่จะเป็นตัวแปรของสถานการณ์
เป็นต้นว่า พลังของมวลชนคนเสื้อแดง รวมทั้งกองทัพด้วย
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ข้อมูลที่ท่านผู้อ่านเคยสัมผัสมา
หากได้รับการ เรียบเรียง ไตร่ตรอง และ ประเมินอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้ "ตกผลึก" ออกมาเป็นข้อมูลเฉพาะของตัวเองแล้วนั้นต่างหาก
จะทำให้ผู้อ่านมองเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าผู้เขียนขึ้นไปอีกก็เป็นได้

.
.
จวบจนกระทั่ง สรุปภาพรวมจนถึงปัจจุบัน

แผนปรองดอง เพื่อให้มีการนิรโทษกรรม
สร้างความสมานฉันท์ขึ้นในชาติ
ที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่นี้
รวมไปถึงการที่คุณทักษิณยอมเอาตัวเข้าแลกกับศรัทธาของคนเสื้อแดง
ที่มีต่อคุณทักษิณนั้น
เป็นการเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน"
ที่ใกล้จะมาถึง เพื่อให้เกิดความรามรื่นในการเปลี่ยนผ่านนี้
จึงจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ขึ้นโดยเร็ว
ในหมู่สังคมไทยก่อนที่จะเกิดสถานการณ์นี้
แต่ผลจากเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดง
ภายใต้สโลแกน "โค่นอำมาตย์" โดยมีเป้าหมายใหญ่อยู่ที่ พล.อ.เปรม
จนถูกแกนนำ นปช โจมตีอย่างรุนแรง จนสิ้นสภาพในสายตาของ "คนเสื้อแดง"
พล.อ.เปรม จึงเป็นความจำเป็นแรกของการเปิดประตูสู่ "แผนปรองดอง"
เพราะด้วยสถานะที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ภายใต้สถานการณ์หาก "ราชบัลลังก์ว่างลง"
พล.อ.เปรม คือผู้ที่ถูกกำหนด
ภายใต้ มาตรา ๒๔ (การสำเร็จราชการแทนชั่วคราวระหว่างไม่มีผู้สืบราชสมบัติ) วรรคแรก
ทั้งนี้ก็เพื่อ ลดความขัดแย้งแตกแยกของคนในชาติ
ก่อนที่จะเกิดการ "ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนรัชสมัย"
เพราะจะต้องเร่งรีบทำให้เกิดขึ้นและสำเร็จภายใน "รัชสมัยนี้"
ให้ได้ ในขณะที่ "พระบารมี" ยังแผ่ไกลอยู่นี้
หากไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในรัชสมัยนี้
เชื่อแน่ว่าเมื่อเกิดการ "ผลัดแผ่นดิน" ขึ้นมาจริง ๆ
ความไม่ราบรื่นต่อการเปลี่ยนผ่านนี้จะตามมา
ความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกหลายระดับ
และ "รัชสมัยใหม่" จะยังไม่สามารถ "ยุติ"
สถานการณ์ความขัดแย้งของคนในชาติได้
เพราะเหตุที่ว่าพระองค์ยังใหม่อยู่ "พระบารมี" ยังไม่เป็นที่ประจักษ์
จึงอยากนักที่จะ "ปัดเป่า" ความขัดแย้งที่รุนแรง
และฝังรากลึกในสังคมไทยดังเช่นที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ได้

ส่วน "รัฐธรรมนูญ" ที่จะแก้ไขนั้น "รัฐบาลยิ่งลักษณ์"
ยืนยันชัดเจนหนักแน่นว่าจะไม่แตะต้องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ
ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ไม่อยากเย็นนัก
หากลองใช้ มุมมองเกี่ยวกับการ "ผลัดแผ่นดินเปลี่ยนรัชสมัย"
เข้ามาเพิ่มมุมมอง ก็จะได้แง่คิด
เพราะถ้าหากให้ "รัชสมัยใหม่" เป็นผู้เข้ามาแสดงเจตจำนงเอง
จะเป็นการ "เพิ่มบารมี" และนำพาสังคมไทยออกจากวิกฤติได้ด้วย
การยอมรับในระดับภาคต่าง ๆ ในสังคมไทยก็จะมีมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งนี้รวมไปถึงในระดับนานาชาติด้วย
.
.

สถานการณ์บ้านเมืองเรานับตั้งแต่รัฐประหาร 19กย49 เป็นต้นมา
ทั้งฝ่ายเหลือง-แดง พรรคเพื่อไทย และ ปชป
ยังเป็นเพียงสภาพของการยิ่งชิงอำนาจกันเองของชนชั้นสูงต่างขั้ว
แต่ใช้ ภาคการเมือง และ ภาคประชาชน เป็นฉากบังหน้าในการช่วงชิงอำนาจกัน
โดยที่ภาคประชาชนถูกใช้เป็น "เครื่องมือ" ในการออกหน้า
โดยที่ภาคประชาชนไม่มีความสำเหนียกได้เลยว่ากำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ
ด้วย "วาทะกรรมอำพราง" ในการปลุกระดมมวลชน
ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะทำให้ฝ่ายประชาชนได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยดังที่คาดหวัง

จากบทสัมภาษณ์นี้ของคุณทักษิณผ่าน Times Online
ทำให้พอที่จะมองเห็นความหวังของฝ่ายประชาธิปไตยอยู่บ้าง
แต่ก็ยังไม่สามารถยึดเหนี่ยวได้ว่าจะเป็นจริงได้อย่างมั่นคง
ตราบใดที่ยังไม่มี "หลักประกัน" หรือ "ข้อตกลง" ที่ชัดเจนเสียก่อน



อย่าเป็นแต่เพีียงเครื่องมือชิ้นหนึ่ง หรือบันไดชีวิตให้ใครไต่ขึ้นสู่อำนาจ
แต่เราจะต้องช่วยกันระดมความคิดเพื่อช่วงกันแสวงหา "โอกาส" จากสถานการณ์นี้ให้ได้ครับ...
.

เกมส์ในสภาครั้งนี้ หากจะเปรียบเทียบก็คงจะเหมือนกับการเสนอเงื่อนไข
เพื่อขึ้นโต๊ะเจรจากับแบบเปิดเผยให้คนทั้งประเทศทั้งโลกได้รับรู้
โดยมี "พรบ.ปรองดอง" เป็นเงื่อนไขการเจรจาของแต่ละฝ่าย
หาก "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" สามารถควบคุมเกมส์ทั้งภายในและภายนอกสภาได้

ก็คงจะได้รับอนุญาตให้ "ตีตั๋วต่อระยะทาง"[/size][/color]
ออกไปอีกจนเข้าสู่สถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน"

แต่หากรัฐบาลไม่สามารถคุมเกมส์ที่ละเอียดอ่อนนี้ได้
ก็คงจะเป็นการ "ล้มโต๊ะเจรจา" และเข้าสู่สภาพของ "สงคราม" อย่างเต็มรูปแบบ


"การเมืองเป็นไม่ต้องนองเลือด
ส่วนสงครามจะเป็นภาคต่อของการเมือง
ดังนั้น สงครามจึงเป็นการเมืองที่จะต้องนองเลือด"
.
และหากผ่านสงครามนี้ไปแล้วหาก
ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นดังที่ฝ่ายประชาธิปไตยคาดหวัง
เชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะเข้าสู่ "สงครามครั้งที่สอง"
และจะเป็น "มหาสงคราม" ที่จะต้องมีฝ่ายที่ "ดับสูญ"
ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ใช่ "ภาคประชาชน" ที่เป็นฝ่ายดับสูญ

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม "สงครามครั้งนี้"
ฝ่ายประชาธิปไตย+ภาคประชาชนจะต้อง "เท่าทัน" ให้ได้
.
.

โค้งสุดท้ายแล้วครับ อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้พบ
อะไรที่ไม่เคยเจอก็จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา...
ประชาชนรอตลึงอ้าปากค้างถึงความ "กล้า"
ของเขาให้ดีก็แล้วกันครับ(....ยังไม่อาย 'สาอะไร)...
เหตุก็เพราะว่าสถานการณ์ "แตกดับ" เป็นตัวเร่งครับ...
.
เราใช้ "การเมือง" ในการนำมาตลอด
และก็เห็นได้ชัดเจนว่าก็ "ล้มเหลว" มาตลอดเช่นกัน...
สถานการณ์จึงกำลังเดินไปสู่ "ภาคต่อ" นั่นก็คือ "สงคราม"...
แต่ที่ยังไม่กล้าผลีผลามลงมือก่อนในขณะนี้ก็เพราะ "เหตุ" ยังไม่อำนวย...
หากหาเหตุได้ก่อนเกิดการ "แตกดับ"
เพื่อเข้าควบคุมอำนาจรัฐโดยกองทัพได้ ถือว่าประสบความสำเร็จ...
แต่หากเข้าควบคุมใน "สถานการณ์แตกดับ"
ก็อาจจะฉุกละหุกเกินไป แต่ก็ยังเป็น "เหตุ"
สุดท้ายในการที่จะใช้กองทัพเข้ายึดอำนาจรัฐ...
ดังนั้น ยิ่งเข้าโค้งสุดท้ายก่อนสถานการณ์แตกดับ
ความแรงจะยิ่งมีมากตามไปด้วย...
เพื่อหาเหตุเข้ายึดอำนาจรัฐให้ได้ก่อนการแตกดับ
เพื่อที่จะได้มีเวลา "จัดการ" สิ่งต่าง ๆ ให้ "ลงตัว" นั่นเอง...
.
.
.ภาคประชาชนจะต้อง "เท่าทัน" สถานการณ์ "ผลัดแผ่นดิน" นี้ให้ได้ครับ...
เพื่อที่จะได้ไม่ตกไปอยู่ในวงล้อมของสถานการณ์ที่ไม่ราบรื่นนี้...
และฝ่ายประชาธิปไตยจะต้อง "เท่าทัน"
เพื่อแสวงหา "โอกาส" จากสถานการณ์นี้ให้ได้ด้วยครับ...

ซึ่งถ้าจะพูดให้ ตรง และ ถูกต้อง มากที่สุดก็ต้องบอกว่า...
จะต้องเท่าทันฝ่ายเดียวกันให้มากที่สุดครับ...
เพราะว่าฝ่ายหนึ่งยังไงก็เห็นตัวตนกันอยู่...
แต่ฝ่ายที่อ้างว่าเป็นพวกเดียวกันนี้นี่แหละ...
กำลังจะ "นำพามวลชน" ในยืนอยู่ ณ จุดใดในสถานการณ์นี้...
และ "ประโยชน์" ที่จะได้นั้น ถึงมือประชาชน หรือ
เดินไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้หรือไม่...
ตรงนี้เราต้อง "เท่าทันแกนนำ" ด้วยครับ...

ตรงนี้จะต้องเอา "มุมมอง" ของ "ภาคประชาชน" เข้ามาคิด...
เพราะถูก "ใช้" เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจของฝ่ายต่าง ๆ มาตลอด...
แต่สถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ จะ "รุนแรง"
กว่าที่ผ่าน ๆ มาหลายเท่าจนเทียบกันไม่ได้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา...
เพราะระดับของ "อำนาจ" ที่ขัดแย้งแย่งชิงกันนั้น..
เป็นอำนาจในระดับ "บนสุด" ของประเทศ
ผลประโยชน์และแนวร่วมจึงมีมากมายมหาศาลตามไปด้วย...
วิธีการ ความรุนแรงในการแย่งชิง และความสูญเสียของฝ่ายต่าง ๆ
จึงจะมีมากตามไปด้วยเช่นกันครับ...


ปล

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ sealand คาด แต่ไม่ได้หวัง...
เพราะหากจะให้หวังได้นั้นจำเป็นจะต้องมี "หลักประกัน" ที่แน่นอนก่อน...
และหลักประกันที่พอจะพึ่งได้ในปัจจุบันนี้ก็เห็นจะมีก็แต่ "แดงตาสว่าง" เท่านั้น...


นายไข่นุ้ย

เพื่อแม้วไง ง่ายๆ ฮ่วย ส.โกรธอย่างแรง
DO YOU KNOW ME? I AM A CAT 28 YEARS. AND YOU?    แมวแท้สู (แมวยิ้ม)

ซัมเบ้ Note 7 Jr.

ไอ้แม้วคนเดียวแท้ๆเลย
ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

ก.ไก่ทอด

  เมียมันกัน น้องมันกัน ลูกมันกัน...........จากก.ไก่ทอด
พรุ่งนี้ก็ทอด วันนี้ก็ทอด มะลือก็ทอด อนาคตก็ยังทอด  ร้าน ก.ไก่ทอด      

นายไข่นุ้ย

อ้างจาก: ก.ไก่ทอด เมื่อ 15:52 น.  03 มิ.ย 55
  เมียมันกัน น้องมันกัน ลูกมันกัน...........จากก.ไก่ทอด
ส.หัว ส.สู้ๆ ส.ยกน้ิวให้
DO YOU KNOW ME? I AM A CAT 28 YEARS. AND YOU?    แมวแท้สู (แมวยิ้ม)