ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

โรค มือ-เท้า-ปาก และโรคจากเชื้อเอนเตอโรไวรัส 71

เริ่มโดย อ้น544, 18:09 น. 26 ก.ค 55

อ้น544

ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
Faculty of Medicine Siriraj Hospita
คณะแพทยศาตร์ศิริราชพยาบาล

โรค มือ-เท้า-ปาก และโรคจากเชื้อเอนเตอโรไวรัส 71 นับเป็นโรคที่ระบาดในเด็กโรคหนึ่ง ที่พบทุกปี โดยเฉพาะในช่วงที่เริ่มเข้าหน้าฝนเป็นช่วงที่มีอัตราการระบาดของโรคนี้สูง เพราะฉะนั้น เรามาทำความรู้จักโรคนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ

โรค มือ-เท้า-ปาก
เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็ก ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มักระบาดในช่วงหน้าฝน โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเตอโรไวรัส ซึ่งมีหลายตัวที่ทำให้เกิดได้ โดยเชื้อที่รุนแรงที่สุด คือ เอนเตอโรไวรัส 71 หรือเรียกสั้นๆ ว่าเชื้อ อีวี71 ที่มีการระบาดรุนแรงในประเทศเพื่อนบ้านของเราก็เป็นเชื้ออีวี 71 นี่เอง ประเทศไทยเราก็พบเชื้ออีวี71 ร่วมกับเอนเตอโรไวรัสตัวอื่นๆด้วย  แต่ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ที่ไม่ค่อยรุนแรง

อาการของโรคมือ-เท้า-ปาก
เด็กที่เป็นโรคมือ-เท้า-ปาก มักเริ่มด้วยอาการไข้ เจ็บปาก กินอะไรไม่ค่อยได้ น้ำลายไหล เพราะมีแผลในปากเหมือนแผลร้อนใน และมีผื่นเป็นจุดแดง หรือเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจมีตามลำตัว แขน ขาได้ ผู้ป่วยมักมีอาการมากอยู่ 2-3 วัน จากนั้นจะค่อยๆ ดีขึ้นจนหายใน 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มีอาการไม่มาก แต่บางรายมีอาการมากจนกินอาหารและน้ำไม่ได้
            โดยปกติโรคนี้ไม่น่ากลัว และหายเองโดยไม่มีปัญหา แต่อาจมีโอกาสเล็กน้อยที่จะเกิดอาการรุนแรงหรือพบปัญหาแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะถ้าเกิดจากเชื้ออีวี71 จะมีโอกาสเกิดโรครุนแรงได้มากขึ้น
            ปัญหาแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุดคือ ก้านสมองอักเสบ ทำให้เกิดภาวะหายใจและระบบไหลเวียนของโลหิตล้มเหลว ซึ่งถึงแก่ชีวิตได้อย่างรวดเร็ว และบางครั้งเชื้ออีวี 71 อาจทำให้เกิดสมองอักเสบรุนแรงได้ โดยไม่ต้องมีผื่นแบบ มือ-เท้า-ปากได้ เด็กที่จะมีปัญหาแทรกซ้อนรุนแรงหรือสมองอักเสบ จะมีสัญญาณอันตรายได้แก่ ซึม อ่อนแรง ชักกระตุก มือสั่น เดินเซ หอบ อาเจียน ซึ่งหากพบอาการเหล่านี้จะต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน การระบาดของโรคมือ-เท้า-ปาก ในประเทศไทยในขณะนี้แม้ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดอาการไม่รุนแรง แต่อย่างไรก็ดีต้องระวังอาการรุนแรงไว้ด้วย แม้จะมีโอกาสเกิดน้อยก็ตาม

การรักษาโรคมือ-เท้า-ปาก
            โรคนี้ไม่มียารักษาจำเพาะ หลักการรักษาเป็นการรักษาตามอาการ เด็กที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาแบบผู้ป่วยวิกฤต
การติดต่อของโรค มือ-เท้า-ปาก
            โรคนี้ติดต่อโดยการสัมผัส น้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของผู้ป่วยโดยตรง หรือทางอ้อม เช่น สัมผัสผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ โรคนี้จึงมักระบาดในโรงเรียนชั้นอนุบาลเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก

วิธีป้องกันโรค มือ-เท้า-ปาก
            ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ การป้องกันที่สำคัญคือ แยกผู้ป่วยที่เป็นโรคมิให้ไปสัมผัสกับเด็กคนอื่น เด็กทุกคนรวมทั้งผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กควรหมั่นล้างมือ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หมั่นทำความสะอาดของเล่น และสิ่งแวดล้อมทุกวัน การทำความสะอาดโดยใช้สบู่ ผงซักฟอก หรือน้ำยาชะล้างทำความสะอาดทั่วไป แล้วทำให้แห้ง ควรระมัดระวังในความสะอาดของน้ำ อาหาร และสิ่งของทุกๆ อย่างที่เด็กอาจเอาเข้าปาก ไม่ให้เด็กใช้ของเล่นที่อาจปนเปื้อนน้ำลาย หรืออุปกรณ์การรับประทานร่วมกัน ควรสอนให้เด็กๆ ใช้ช้อนกลาง และล้างมือก่อนรับประทานอาหาร
โรงเรียนไม่ควรรับเด็กป่วยเข้าเรียนจนกว่าจะหายดี ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานที่ป่วยไปพบแพทย์ ไม่ควรพาไปโรงเรียน หากพบว่าเป็นโรคนี้ควรให้การรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ และ เมื่อหายป่วยแล้ว เด็กที่เป็นโรคนี้ยังมีเชื้ออยู่ในอุจจาระได้ นานหลายสัปดาห์ ดังนั้นเมื่อเด็กหายป่วยแล้ว ยังต้องมีการระวังการปนเปื้อนของอุจจาระต่ออีกนาน ควรเน้นการล้างมือหลังเข้าห้องน้ำหรือเปลี่ยนผ้าอ้อม และก่อนรับประทานอาหารแก่เด็กและผู้ใหญ่ทุกคน ควรล้างมือด้วยน้ำและสบู่ เพราะแอลกอฮอลล์เจลจะฆ่าเชื้อเอนเตอโรไวรัสไม่ได้
            ในช่วงที่มีการระบาด ไม่ควรนำเด็กไปในที่ที่มีเด็กอื่นอยู่รวมกันจำนวนมาก เพราะจะมีโอกาสรับเชื้อได้เนื่องจากมีเด็กที่เป็นโรคนี้และแพร่เชื้อได้โดยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก ที่อาจไปอยู่รวมกัน

การป้องกันการระบาดในสถานรับดูแลเด็กหรือโรงเรียนชั้นอนุบาล
            1. มีการตรวจคัดกรองเด็กป่วย ได้แก่ เด็กที่มีไข้ หรือเด็กที่มีผื่น หรือมีแผลในปาก ไม่ให้เข้าเรียน ทั้งนี้เพราะมีผู้ป่วยบางคนที่มีอาการน้อยมาก หรือมีบางคนที่มีอาการไข้แต่ไม่มีผื่น ควรต้องจัดหาเครื่องมือวัดอุณหภูมิ (ปรอท) ไว้ให้พร้อมเพื่อใช้ในกรณีที่สงสัยว่าเด็กจะมีไข้ และมีครูหรือพยาบาลตรวจรับเด็กก่อนเข้าเรียนทุกวัน
            2. ควรมีมาตรการในการทำความสะอาดของเล่น และสิ่งแวดล้อมทุกวัน หรือเมื่อมีการเปื้อนน้ำลาย น้ำมูกหรือสิ่งสกปรก
            3. มีมาตรการเคร่งครัดในการล้างมือ ให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับที่ดูแลสัมผัสเด็กเล็ก โดยเฉพาะในทุกครั้งที่อาจสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระ การใช้แอลกอฮอลล์เจลล้างมือ ไม่สามารถฆ่าเชื้อได้
            4. หากมีการระบาดเกิดขึ้นหลายราย ควรพิจารณาปิดชั้นเรียนนั้นเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หรือหากมีการระบาดเกิดขึ้นในหลายชั้นเรียน ควรปิดโรงเรียนด้วย เพื่อหยุดการระบาด

พิมพ์
25/7/2555 9:38:23




http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=492
ถึงคุณมีเงินหมื่นล้าน      คุณก็ซื้อเมื่อวานกลับมาไม่ได้
อย่าโอ้อวดว่าเก่งเกินใคร  เพราะตายไป "ศพ"ของคุณ
                ก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าโลง

ผู้เฒ่าเต่า

โรคนี้แรก ๆ ฟังดูไม่ค่อยจะน่ากลัว ไหน กลายมาเป็นอะไรที่มันน่ากลัวเสียแล้ว  ส.โอ้โห ส.โอ้โห ส.โอ้โห
อย่าใช้ภาษาผิด ๆ สะกดผิด ๆ เดี๋ยวภาษาที่ ปู่ ย่า ตา ยาย ใช้กันมานมนานจะวิบัติไปกันหมด   
              พลังคลื่นเต่า..........ปู๊ด !!!!!!



boonthis

เอาข้อมูลเพิ่มเติมที่มีประโยชน์มาแบ่งปันกันค่ะ
ไม่ต้องกลัวนะคะ ถ้าเรามีความรู้ เราก็สามารถป้องกันตัวเราเองและคนที่เรารักได้ค่ะ ส.สู้ๆ ส.สู้ๆ ส.สู้ๆ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ
ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยที่มีความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด
คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ค่ะ

"ขณะนี้มีโรคระบาดที่เรียกว่า โรคปากและเท้าเปื่อย เกิดขึ้นทั่วไปโดยเฉพาะในเด็กที่ภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วที่ประเทศกัมพูชา ยังไม่มีวัคซีนรักษา แต่มีสิ่งที่น่าสังเกตุว่า จะเกิดภาวะการอักเสบที่ระบบ หัวใจ และสมอง รวมทั้ง พายุไซโตไคน์ (cytokine storm) ได้อีกด้วย

บทความวิชาการที่ได้ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว ได้บอกไว้นะครับ ว่าจะเกิดขึ้นในเอเซีย (บ้านเรา) ซึ่งได้บอกว่า ยังไม่มีวิธีการรักษา และไม่มีวัคซีนป้องกัน ทางที่ดีที่สุดคือทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานแข็งแรงเป็นสำคัญ


ไวรัสเกือบทุกชนิดใช้ receptor บนผิวเซลล์ (ที่จำเพาะ) เป็นสารชีวโมเลกุลประเภท glycoproteins ซึ่ง glycoprotein เกือบทุกชนิดจะมีน้ำตาลชนิดหนึ่งที่เรียกว่า sialic acid หรือ neuraminidase เป็นส่วนน้ำตาลตัวสุดท้ายของสาย glycan ที่ติดอยู่กับโปรตีน (glycoprotein)

ในขณะเดียวกัน การกระจายตัวของไวรัสออกจากเซลล์เจ้าบ้าน (host cell) ก็ต้องมีเอ็นไซม์ที่ชื่อว่า neurminidase เป็นตัวตัดหน่วยน้ำตาลนี้ ไม่เช่นนั้น viral particle จะติดอยู่กับเซลล์เจ้าบ้าน ไม่สามารถหลุดออกไปได้

เอ็นไซม์ neuraminidase นี้เองที่เป็นตัวอักษรย่อของ N ใน H1N1

จากการศึกษาวิจัยที่หน่วยวิจัยที่มึความเป็นเลิศทางด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อ และเซลล์ต้นกำเนิด เราใช้ super computer แสดงให้เห็นว่า sesamin สามารถจับกับ neuraminidase ได้เช่นเดียวกันยาต้านไวรัสชนิดอื่นๆ"

สนับสนุนข้อมูลดีๆ และมีประโยชน์ โดย
https://www.facebook.com/AiyaraCareShare?ref=hl

We Care We Share  ส.สู้ๆ ส.สู้ๆ ส.สู้ๆ