กิมหยง - ตะลุงเว็บบอร์ด

โดย สยามดารา www.siamdara.com

''พรพิมล'' เมียคนล่าสุด ''คมน์ อรรฆเดช'' ซุ้มเก็บตัวเงียบ ตจว. คนใกล้ชิดอุบตอบเรื่องมรกดก ด้านทนายความชี้ทายาทมีสิทธิในทรัพย์สินถึงแม้ไม่ได้ถูกรับรองบุตรถ้าเลี้ยงดูอย่างเปิดเผยสังคมรับรู้

[attach=1]

เรียกว่าเป็นข่าวครึกโครมขึ้นมาทันทีหลังจากที่บรรดาลูกๆ ของอดีตผู้กำกับฯ ชื่อดังผู้ล่วงลับ คมน์ อรรฆเดช ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของมรดกนับพันล้านของพ่อ หลังภรรยาคนล่าสุดยื่นเรื่องขอเป็นผู้จัดการมรดก

ทั้งนี้สืบเนื่องจากการเสียชีวิตของอดีตผู้กำกับหนังชื่อดัง คมน์ อรรฆเดช หรือชื่อจริง ดร.สมคิด เล่งอิ๊ว เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นความขัดแย้งเรื่องมรดกกว่าพันล้านที่ครอบครัวไม่สามารถจัดการได้อย่างลงตัว โดยนางนุชนารถ ภิรมย์ และแพทย์หญิงหนึ่งหฤทัย ภิรมย์ บุตรที่เกิดจากภรรยาแรกได้มีข้อพิพาทกับ นางพรพิมล มั่นฤทัย ภรรยาคนปัจจุบันที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส

จากรายงานข่าวระบุว่า นายคมน์ อรรฆเดช นอกจากภรรยาคนแรกที่มีบุตรสาวด้วยกันถึง 2 คนที่ไม่ได้ใช้นามสกุลของตัวเองเนื่องจากสมัยก่อนนักแสดงชื่อดังการมีครอบครัวไม่สามารถเปิดเผยได้ และเป็นเหตุให้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยาแรกนั้น เขายังได้มีภรรยาอีกหนึ่งคนและมีบุตรชายด้วยกัน 2 คน ซึ่งบุตรชายทั้งสองได้ใช้นามสกุลของอดีตผู้กำกับฯ

แต่ภายหลังจากที่อดีตผู้กำกับหนังเสียชีวิต นางพรพิมล มั่นฤทัย ภรรยาคนล่าสุด ได้เข้ายื่นเรื่องขอเป็นผู้จัดการมรดก เป็นเหตุให้บุตรสาวทั้ง 2 คนที่เกิดจากภรรยาคนแรก และบุตรชายที่เกิดจากภรรยาคนที่สองนั้นไม่พอใจ เนื่องจากทรัพย์สินบางส่วนของคุณพ่อ อาทิ ที่ดินบนเขาใหญ่ 47 ไร่ ซึ่ง นายคมน์ อรรฆเดช ได้ซื้อไว้ก่อนที่จะอยู่กินกับนางพรพิมล ฉะนั้นสิทธิในการครอบครองย่อมตกเป็นของผู้สืบทอดสายเลือดซึ่งหมายถึงลูกๆ ทั้ง 4 คน

จากรายงานข่าว นางนุชนารถยังได้เผยอีกว่านอกจากที่ดินบนเขาใหญ่แล้ว นายคมน์ อรรฆเดช ยังมีทรัพย์สินอื่นๆ อีกรวมแล้วเป็นมูลค่ากว่าพันล้านบาท ซึ่งส่วนที่ลูกๆ ขอส่วนแบ่งเป็นจำนวนเพียง 160 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้มากมายอะไรหากเทียบจากจำนวนพันกว่าล้านบาท

ที่สำคัญหลังจากที่พ่อเสียชีวิตกลับมีใบแจ้งหนี้จากธนาคารกรุงไทยส่งมาที่บ้านเพื่อให้ทายาทใช้หนี้กว่า 200 กว่าล้านบาท ในขณะที่ผ่านมาทางครอบครัวไม่ได้รับรู้เรื่องธุรกิจของผู้เป็นพ่อเลย นางนุชนารถและครอบครัวจึงจำเป็นต้องฟ้องศาลเพื่อขอความเป็นธรรมตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดผู้สื่อข่าวสยามดาราได้ติดต่อไปยังนางพรพิมล เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถติดต่อได้ มีเพียงเจ้าหน้าที่ของบริษัท โคลีเซียม อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ที่รับสาย โดยแจ้งกับผู้สื่อข่าวว่านางพรพิมลไม่ได้อยู่ที่บริษัท เดินทางไปต่างจังหวัดคาดว่าอีกประมาณ 2-3 วันจะเดินทางกลับโดยให้ติดต่อกลับมาใหม่เมื่อช่วงเวลานั้น

วันเดียวกันผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยัง รัญ เมืองลพ ผู้กำกับละครที่ทำงานร่วมกับนางพรพิมลมานาน และถือเป็นอีกหนึ่งคนสนิทของนางพรพิมล เพื่อสอบถามว่าได้มีการพูดคุยกับนางพรพิมลบ้างหรือไม่หลังจากที่มีกระแสข่าวออกมาเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้สื่อข่าวได้รับคำตอบจากนายรัญว่า เขานั้นยังไม่ได้พูดคุยกับนางพรพิมลเลยตั้งแต่เกิดเรื่องเป็นขึ้น โดยอ้างแต่เพียงว่าเขาเองก็พยายามติดต่อนางพรพิมลอยู่เหมือนกัน แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ทราบเพียงว่านางพรพิมลเดินทางไปต่างจังหวัด ไม่ทราบอะไรมากกว่านี้นอกจากนี้นายรัญยังได้บอกเล่าเพิ่มเติมว่า เขาเองได้มีโอกาสทำงานกับนางพรพิมลมานานในฐานะผู้กำกับละคร โดยนางพรพิมลเป็นผู้จัดฯ อาทิ เรื่อง ''โก๊ะจ๋า ป่านะโก๊ะ'' ตั้งแต่ภาคแรกยัน

''โก๊ะ 7'' ส่วนตอนนี้ละครที่กำลังถ่ายทำอยู่และเป็นเรื่องของนางพรพิมลเป็นผู้จัดอีกเช่นกันคือ ''เสือสมิงห์'' หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวจึงได้วางสาย

จากกรณีดังกล่าวผู้สื่อข่าวจึงได้สอบถามไปยังนายเดชาวัฒน์ อินทรพิพัฒน์ ทนายความจากสำนักกฎหมาย

''วิเชียรและเพื่อน'' เพื่อขอความเห็นกับกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งนายเดชาวัฒน์ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า สำหรับกรณีของคุณพรพิมล มั่นฤทัย ภรรยาที่อยู่กินกับคุณคมน์คนสุดท้าย ก่อนเสียชีวิตโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสนั้น จะมีสิทธิเฉพาะทรัพย์สินในส่วนที่ทั้งสองร่วมกันทำธุรกิจร่วมกันเท่านั้น ส่วนทรัพย์สินที่คุณคมน์ หามาได้ก่อนอยู่กินกับคุณพรพิมลจะไม่มีสิทธิ จะมีสิทธิก็แต่บุตรของคุณคมน์ทุกคนที่จะได้ทรัพย์มรดกในส่วนของคุณคมน์ตามกฎหมายเท่านั้น

ส่วนเรื่องที่ว่าบุตรสาว 2 คน ที่เกิดกับภรรยาคนแรก ซึ่งคุณคมน์ไม่ได้รับรองบุตรไว้แล้วจะขอร่วมจัดการมรดก นั้นสามารถทำได้เพราะถ้าคุณคมน์ได้ให้ความรักความอบอุ่นส่งเสียเลี้ยงดูให้การศึกษาแบบเปิดเผย เหมือนครอบครัวทั่วไป และเป็นที่ยอมรับของสังคมก็เหมือนกับเป็นการรับรองบุตรตามกฎหมายไปโดยปริยาย ซึ่งบุตรสาวทั้งสองย่อมมีสิทธิตามกฎหมาย

โดยทั้งนี้ในส่วนของทรัพย์มรดกของคุณคมน์ศาลจะต้องไต่สวนให้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถตกลงกันได้ ว่าใครจะเป็นผู้ดูแลในทรัพย์สินตรงนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ศาลมักจะตัดสินให้ทั้ง 2 ฝ่ายดูแลร่วมกัน ซึ่งในขั้นแรกศาลจะทำการไกล่เกลี่ยก่อน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยกัน นายเดชาวัฒน์กล่าว  อย่างไรก็ตาม หากมีความคืบหน้าในส่วนของนางพรพิมลเพิ่มเติมประการใดสยามดาราจะนำมารายงานให้ทราบกันอีกครั้ง

  เจ็บหัวจริง   โฮ่ย