ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ทวงคืนประเทศไทยขำๆ ใครไม่ขำถือว่าเอาจริง น่าขี้ขลาด

เริ่มโดย ทันสมัย, 21:58 น. 09 ม.ค 56

ทันสมัย



ขอเรียนเชิญ ผองเพื่อน พันธมิตร
ผู้มีจิต มุ่งมั่น มิหวั่นไหว
ต่างตระหนัก รักชาติยิ่ง สิ่งอื่นใด
มาร่วมมือ ร่วมใจ ทวงแผ่นดิน

เริ่มจาก"พระ วิหาร" เป็นงานหนัก
จากนั้นจัก ทวงคืน ให้หมดสิ้น
"เสียมราฐ" "ศรีโสภณ" เคยยลยิน
ทั้งแผ่นดิน "พระตะบอง" ต้องเอาคืน

แล้วขยับ ลงใต้ ไปทวงถาม
ทุกเขตคาม มะละกา อย่าขัดขืน
"กลันตัน" "ตรังกานู" .....กรูขอคืน
"ไทรบุรี" "ปลิส"... ยื่น คืนกรูพลัน

จากนั้นจึง บุกไปทวง "หลวงพระบาง"
ตามติดมา ไม่ห่าง วางใจมั่น
"จำปาศักดิ์" ต้องทวงคืน มาเหมือนกัน
ทั้ง "ฝั่งซ้าย แม่โขง"นั้น ก็ต้องทวง

แล้วยังแดน "ฝั่งซ้าย สาละวิน"
รวมทั้งสิ้น สิบสามเมือง เคยแหนหวง
จงร่วมมือ ร่วมใจ ไปถามทวง
ให้สมทรวง สาแก่ใจ ชาวไทยเรา

แล้วบุกบั่น มั่นสู่ "สิบ สองจุไทย"
ตลอด "แคว้น เขมร" ไซร้ ใช่ของเขา
ทั้ง "สิบสอง ปันนา" ก็ของเรา
ต้องทวงเอา คืนกลับมา เป็นของไทย

รวมทั้งรัฐ "เปรัก" จักทวงถาม
อีกสามเมือง เยื้องกันไป เป็นไหนไหน
คือ "เชียงตุง" "แสนหวี" ที่เกรียงไกร
และ "เมืองพง" ก็ของไทย ต้องทวงมา

รวมไปถึง "บันทายมาศ" "ตระนาวศรี"
ทั้งยังมี "เมืองทวาย" อย่าลืมหนา
ตลอดทั้ง "มะริด" ต้อง ทวงกลับมา
"เกาะหมาก" ด้วย อย่าช้า รีบทวงไป

เมื่อทวงคืน ได้ตามนี้ อย่ารีรอ
ต้องตามต่อ ด้วยการทวง ครั้งยิ่งใหญ่
บุกสู่จีน ทวง. "เทือก เขาอัลไต"
สมบัติไทย ทวงให้จบ ได้ครบครัน...................

ไชโย ๆๆๆ.........

wareerant


ไม่ขำ

ไม่ขำนะ  เราเสียดินแดนไปมากมาย  เพื่อแลกกับความเป็นไทย  ไอ้ลูกหลานจันไรบางคนมันคิดจะยกดินแดนที่เหลือน้อยนิดให้ไปอีกหรือ

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล


จริงๆ อย่างทีบอกว่า ใครไปเทียวลาว ทีวัดทีพระแก้วเคยประดิษฐานอยุ่ ก็จะเห็นจากคำบรรยายว่า แม้ตอนนี ลาว เขาก็ยังถือว่า พระแก้ว เป็นของเขาอยุ่ เพียงแต่เขาไม่เอาเป็นประเด็นแค่นั้น

.....................

อิอิ พระแก้วมรกตนี่เดิมเป็นของ ล้านนา แต่ล้านนา กับล้านช้าง นี่เป็นเครือญาติกัน เจ้าล้านช้าง (ไชยเชษฐา) ถึงมาเป็นเจ้าที่ล้านนา (เชียงใหม่)ได้ ตอนหลังเจ้าล้านช้างทีมาครองเชียงใหม่ เลื่อนกลับไปครองล้านช้าง ก็เลยย้ายพระแก้วจากล้านนา ไปล้านช้างด้วย

แต่จะเห็นว่าพระแก้ว belonged to (เป็นของ) ล้านนา-ล้านช้าง ต้ังแต่ก่อน ล้านนา จะกลายเป็นส่วนหนึงของสยาม

ตอนหลัง สยามไปตีล้านช้าง (เวียงจันทน์) จึงไปเอาพระแก้วมาสยามด้วย

สรุปแล้ว ถ้า "ลาว" ปัจจุบัน เขาจะอ้างเคลมความเป็นเจ้าของพระแก้ว เขาก็มีข้ออ้างเหมือนกันนันแหละครับ

(แต่ "นิทาน" เรืองนี้ สอนให้รู้วา เรืองอะไรทีมันจบไปนานแล้ว ก็ควรปล่อยให้มันจบไป เหมือน "ดินแดน" อะไรทีว่า ตรงปราสาทเขาพระวิหารนันแหละ รัฐกษัตริย์สมัยก่อน แย่งกับฝรังเศส ไม่ได้ แพ้เขาเอง ก็จบไปแล้ว)

ไม่ขำ

อยากฝากให้อ่าน เว็บนี้สรุปสั้นๆได้ใจความดี แล้วจะรู้ว่า กว่าจะมาเป็นไทยได้ เป็นอย่างไร
http://www.baanjomyut.com/library/history_thai/index.html
http://www.baanjomyut.com/library/history_thai/rattanakhosin.html

ไม่ขำ

(แต่ "นิทาน" เรืองนี้ สอนให้รู้วา เรืองอะไรทีมันจบไปนานแล้ว ก็ควรปล่อยให้มันจบไป เหมือน "ดินแดน" อะไรทีว่า ตรงปราสาทเขาพระวิหารนันแหละ รัฐกษัตริย์สมัยก่อน แย่งกับฝรังเศส ไม่ได้ แพ้เขาเอง ก็จบไปแล้ว)

อ่านแล้วมันเหมือนมีนัยแอบแฝง ไม่เข้าใจ .....เราเสียปราสาทเขาพระวิหารตอนที่ปกครองระบอบประชาธิไตย ปี 2505 ก็ต้องยอมรับเมื่อมันเสียไปแล้วเรียกคืนไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันหลายปีมาแล้ว แต่สิ่งที่มีอยู่ก็ควรรักษามันไว้ให้สุดชีวิตเช่นกัน

อายเด็กใหม

อ้างจาก: ไม่ขำ เมื่อ 20:21 น.  12 ม.ค 56
(แต่ "นิทาน" เรืองนี้ สอนให้รู้วา เรืองอะไรทีมันจบไปนานแล้ว ก็ควรปล่อยให้มันจบไป เหมือน "ดินแดน" อะไรทีว่า ตรงปราสาทเขาพระวิหารนันแหละ รัฐกษัตริย์สมัยก่อน แย่งกับฝรังเศส ไม่ได้ แพ้เขาเอง ก็จบไปแล้ว)

อ่านแล้วมันเหมือนมีนัยแอบแฝง ไม่เข้าใจ .....เราเสียปราสาทเขาพระวิหารตอนที่ปกครองระบอบประชาธิไตย ปี 2505 ก็ต้องยอมรับเมื่อมันเสียไปแล้วเรียกคืนไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันหลายปีมาแล้ว แต่สิ่งที่มีอยู่ก็ควรรักษามันไว้ให้สุดชีวิตเช่นกัน

ผู้ค้นพบปราสาทพระวิหารในสมัยปัจจุบันคือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพบเมื่อปี พ.ศ. 2442 ขณะทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็น ข้าหลวงต่างพระองค์ เสด็จไปรับราชการที่มณฑลลาวกาว (อิสาน) ในสมัยรัชกาลที่ 5 และได้ทรงจารึกปี ร.ศ. ที่พบเป็นเลขไทย ตามด้วยพระนามไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดี เป็นข้อความว่า "๑๑๘ สรรพสิทธิ"[29] ต่อมาเมื่อประเทศฝรั่งเศสเข้าครอบครองอินโดจีนได้ทำสนธิสัญญา พ.ศ. 2447 ในการปักปันเขตแดนกับราชอาณาจักรสยาม โดยมีความตามมาตรา 1 ของสนธิสัญญา ระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งมีผลให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2451 ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ฝ่ายเดียว ส่งมอบให้สยาม 50 ชุด แต่ละชุดมี 11 แผ่นและมีแผ่นหนึ่งคือ "แผ่นดงรัก" ที่ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา โดยที่รัฐบาลสยามในขณะนั้นไม่ได้รับรองหรือทักท้วงความถูกต้องของแผนที่ดังกล่าว[30]

ต่อมาในปี พ.ศ. 2483 ประเทศฝรั่งเศสแพ้สงครามต่อประเทศเยอรมนี ทำให้แสนยานุภาพทางทหารลดลง จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ยื่นข้อเสนอเรียกร้องดินแดนที่เสียไปในสมัยรัชกาลที่ 5 คืนจากฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสปฏิเสธและมีการเคลื่อนไหวทางทหาร ที่ทำให้เกิดสงครามพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้นในปี พ.ศ. 2484 ประเทศไทยได้รับชัยชนะในการรบตลอด 22 วัน กระทั่งประเทศญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจในขณะนั้นเสนอตัวเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย และฝรั่งเศสได้ตกลงคืนจังหวัดไชยบุรี จำปาศักดิ์ เสียมราฐ และพระตะบองให้กับไทย ตาม อนุสัญญาโตเกียว[31] ทำให้ปราสาทพระวิหารกลับมาอยู่ในดินแดนไทยอย่างสมบูรณ์ ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยประกาศเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และต่อมาญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ประเทศไทยต้องรักษาสถานะตัวเองไม่ให้เป็นฝ่ายแพ้สงครามตามญี่ปุ่น และต้องการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ จึงตกลงคืนดินแดน 4 จังหวัดให้ฝรั่งเศส ทำให้ปราสาทพระวิหารกลับไปอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 ฝรั่งเศสแพ้สงครามต่อเวียดนามที่เดียนเบียนฟู ต้องถอนทหารออกจากอินโดจีน ประเทศกัมพูชาได้รับเอกราชตามสนธิสัญญาเจนีวา และไทยได้ส่งทหารเข้าไปรักษาการบริเวณปราสาทพระวิหารอีกครั้ง

ภายหลังกัมพูชาได้รับเอกราช เจ้านโรดมสีหนุ กษัตริย์กัมพูชาสละราชสมบัติเข้าสู่การเมือง ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี และประกาศเรียกร้องให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร และไทยไม่ยอมรับ เจ้านโรดมประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501[13] และในปีต่อมา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 เจ้านโรดมสีหนุได้ฟ้องร้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือศาลโลก ให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร ฝ่ายไทยต่อสู้คดีโดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กับคณะรวม 13 คน เป็นทนายฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชามีนายดีน แอจิสัน เนติบัณฑิตแห่งศาลสูงสุด อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เป็นหัวหน้าคณะ กับพวกอีกรวม 9 คน[13]

กระทั่งวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยเสียง 9 ต่อ 3[32] และในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินแล้ว 20 วัน รัฐบาลไทยโดย ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยัง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลก และสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคต ทั้งนี้คำตัดสินของศาลโลกนั้นเป็นที่สิ้นสุด ไม่มีการอุทธรณ์ การจะนำคดีกลับขึ้นมาพิจารณาใหม่นั้นสามารถทำได้ถ้ามีหลักฐานใหม่และต้องทำภายในสิบปี

หลังจากนั้นไม่นาน กัมพูชาเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นภายในประเทศ ปราสาทหินแห่งนี้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมเพียงช่วงสั้น ๆ ในปี พ.ศ. 2535 แต่ปีต่อมาก็ถูกเขมรแดงเข้าครอบครอง จากนั้นก็เปิดอีกครั้งจากฝั่งประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ. 2541

[แก้]การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของประเทศกัมพูชา
ดูบทความหลักที่ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
เมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2548 กัมพูชาได้เสนอต่อองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ปี พ.ศ. 2549 วันที่ 30 มกราคม ศูนย์มรดกโลกของยูเนสโกที่ปารีสขอให้กัมพูชายื่นเอกสารใหม่เกี่ยวกับเขตกันชนของปราสาท และมีคำแนะนำให้ร่วมมือกับฝ่ายไทย[8] พ.ศ. 2550 กัมพูชายื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารอีกครั้ง ขณะที่ไทยยื่นบันทึกช่วยจำต่อเอกอัครราชทูตกัมพูชาและเสนอขึ้นทะเบียนร่วม (transboundary property) แต่คณะกรรมการมรดกโลกสากลมีมติเลื่อนการขึ้นทะเบียนออกไป โดยให้ไทย-กัมพูชาร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนตามคำขอของกัมพูชาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เฉพาะเพียงตัวปราสาทเท่านั้น โดยผ่านเกณฑ์การพิจารณาข้อ (i) เพียงข้อเดียว[33]

ในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้นำประเด็นนี้มาโจมตีเพื่อขับไล่นายนพดล ปัทมะ ให้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ[34][35][36] เหตุการณ์นี้พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในที่สุด

นับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ใช้ปืนใหญ่ยิงปะทะกัน ซึ่งต่างก็โทษอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน[37] วันที่ 5 กุมภาพันธ์ กัมพูชาได้ยื่นจดหมายถึงสหประชาชาติ ความว่า "พฤติการณ์ล่าสุดของทหารไทยได้ละเมิดข้อตกลงสันติภาพปารีส พ.ศ. 2534 กฎบัตรสหประชาชาติ และคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505"[38]

[แก้]การตีความคำพิพากษา
ดูบทความหลักที่ กรณีการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 และในวันเดียวกัน ประเทศกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลกำหนดวิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองสิทธิของตน [39] วันที่ 18 กรกฎาคม 2554 ศาลจึงสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวบางประการ