ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ชมจิตรกรรมไทยชุดมหาชาติ ที่วัดคูเต่า ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา

เริ่มโดย คุณาพร., 14:15 น. 03 ส.ค 53

คุณาพร.

ชมจิตรกรรมไทยชุดมหาชาติ  ที่วัดคูเต่า  ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา


ประวัติวัดคูเต่า
                วัดคูเต่า ถือเป็นวัดเก่าวัดแก่อีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา ภายในอาณาบริเวณของวัดประกอบไปด้วยอาคารเสนาสนะต่างๆอายุรวมได้หลักหลายร้อยปีซึ่งถือเป็นมรดกตกทอดทางสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมอันทรงค่า  โดยเฉพาะอุโบสถวัดคูเต่า ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรแล้ว  ถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา 
                ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของวัดคูเต่านี้ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ได้ศึกษาถึงประวัติของวัดคูเต่าเอาไว้ใน  ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม 3  ปี พ.ศ. 2527  หน้า 387-388 สรุปได้ว่า  วัดคูเต่า ตั้งอยู่ที่เลขที่ 1 บ้านแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย  มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 13 ตารางวา  น.ส. 3 ก เลขที่ 1691 อาณาเขต ทิศเหนือยาว 3 เส้น 18 วา ติดต่อกับคลองอู่ตะเภา ทิศใต้ยาว 3 เส้น  18 วา ติดต่อกับถนนสาธารณะ ทิศตะวันออกยาว 4 เส้น 4 วา ติดต่อกับคลองอู่ตะเภา ทิศตะวันตกยาว 3 เส้น 19 วา ติดต่อกับถนนสาธารณะ มีที่ธรณีสงฆ์ 1 แปลง เนื้อที่ 16 ไร่ 3 งาน 47 ตารางวา น.ส. 3 เลขที่ 1596  พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มริมคลองใกล้ทะเลสาบสงขลา อาคารเสนาสนะต่างๆมี อุโบสถกว้าง 9 เมตร ยาว 14 เมตร สร้าง พ.ศ. 2446 โครงสร้างก่ออิฐถือปูนและไม้รอบด้วยกำแพงแก้ว มีซุ้มประตูก่ออิฐถือปูนขาว ยอดเป็นจัตุรมุข แกะลายกนก และซุ้มสีมาลายกนก หน้าบันเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ และพระพรหมทรงหงส์ มีลายกนกและรูปสัตว์ประกอบ ภายในมีจิตรกรรมรูปพระเวสสันดรชาดก  ศาลาการเปรียญกว้าง 14.50 เมตร ยาว 21.30 เมตร สร้าง พ.ศ. 2480 โครงสร้างไม้และคอนกรีตเสริมเหล็ก กุฎีสงฆ์จำนวน 7 หลัง โครงสร้างเป็นอาคารไม้และตึก อาคารห้องสมุดกว้าง 15 เมตร ยาว 25 เมตร สร้าง พ.ศ. 2520 เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ศาลากว้าง 14 เมตร ยาว 53 เมตร สร้าง พ.ศ. 2514 โครงสร้างคอนกรีตเริมเหล็ก สำหรับปูชนียวัตถุมี พระประธานในอุโบสถ ปางสมาธิ เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสัมฤทธิ์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2447 โดยพระอุปัชฌาหนู เจ้าอาวาสรูปที่ 2 ได้จ้างนายช่างชื่อ นายหมู พระพุทธรูปด้วยไม้ประทับยืนสูง 2 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2300 เจดีย์บนกำแพงแก้ว 4 มุม  วัดคูเต่าสร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2299 ที่ดินเป็นของนายส้าม เดิมวัดตั้งอยู่ที่บ้านคลองหิน บริเวณโดยรอบวัดเป็นที่ลุ่ม ไม่สะดวกในการสัญจรในฤดูฝน ต่อมาจึงได้ย้ายเสนาสนะมาสร้างขึ้นริมคลองอู่ตะเภา ติดต่อกับวัดคูเต่าที่ชาวบ้านได้ขุดให้เรือผ่านไปได้  วัดคูเต่าได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2433 เขตวิสุงคามสีมากว้าง 19 เมตร ยาว 32 เมตร ผูกพัทธสีมาประมาณ พ.ศ. 2432  เกี่ยวกับการศึกษา  ได้เปิดให้มีการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมตั้งแต่ พ.ศ. 2483 เป็นต้นมา นอกจากนี้มีโรงเรียนประถมศึกษาของทางราชการตั้งอยู่ในวัดด้วย  เจ้าอาวาสมี 4 รูป คือ พระอุปัชฌาย์แก้ว พ.ศ. 2299-2395  รูปที่ 2 พระอุปัชฌาย์หนู พ.ศ. 2395-2467  รูปที่ 3 พระครูสุคนธศีลาจาร(หอม) พ.ศ. 2467-2505  รูปที่ 4 พระอธิการหวั่นเซี้ย คุณปาโล ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ พ.ศ. 2505 เป็นต้นมา วัดคูเต่ามีพระภิกษุจำพรรษา 10 รูป สามเณร 1 รูป


สอดคล้องใกล้เคียงกับที่  บรรจง  วงศ์วิเชียร  ได้ศึกษาเกี่ยวกับประวัติของวัดคูเต่าเอาไว้ใน  การศึกษาลวดลายหน้าบันอุโบสถในจังหวัดสงขลา(ระหว่าง พ.ศ. 2325- พ.ศ. 2475)  ปี พ.ศ. 2537 หน้า 39-40 ว่า วัดคูเต่า ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 1 บ้านแม่ทอม  กิ่งอำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย  วัดคูเต่าสร้างขึ้นเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2299 ที่ดินเป็นของนายล้วน เดิมวัดตั้งอยู่ที่บ้านหนองหิน บริเวณโดยรอบวัดเป็นที่ลุ่ม ไม่สะดวกในการสัญจรในฤดูฝน ต่อมาจึงย้ายเสนาสนะมาสร้างขึ้นริมคลองอู่ตะเภา ติดต่อคูเต่าที่ชาวบ้านได้ขุดให้เรือผ่านไปมาได้  วัดคูเต่า ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2433 เขตวิสุงคามสีมากว้าง 19 เมตร ยาว 32 เมตร ผูกพัทธสีมาประมาณ พ. ส. 2434   วัดคูเต่ามีศาสนสถานที่สำคัญคือ อุโบสถ กว้าง 9 เมตร ยาว 14 เมตร สำหรับการก่อสร้างมีประวัติความจารึกที่ผนังอุโบสถกล่าวไว้ว่า พระอธิการแก้ว เป็นผู้สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2430 สร้างได้สูงเพียงแค่เอว(ประมาณ 1.00 เมตร) และค้างไว้เป็นเวลา 15 ปี จนต่อมาพระอธิการหนู ได้สร้างต่อจนเสร็จในปี ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2446) โดยก่อสร้างต่อเติมอุโบสรหลังเดิม โครงสร้างก่ออิฐถือปูนล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว  หน้าบันเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ(หน้าบันทางทิศตะวันตก ปัจจุบันไม่มีแล้ว จากคำบอกเล่าของพระครูคุณสารพิสุทธิ์ ทราบว่า หน้าบันด้านนี้ชำรุดและพังลงในปี พ.ศ. 2522) และเทวดาทรงหงส์มีลายกนกและรูปบุคคล รูปสัตว์ประกอบ ภายในอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเวสสันดรชาดก
              นอกจากนี้ องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทอม (www.maetom.go.th ) วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 ยังได้กล่าวสรุปถึงประวัติความเป็นมาของวัดคูเต่าเอาไว้ในหน้า  ประวัติวัดคูเต่า สรุปเนื้อความได้ว่า    เดิมวัดคูเต่าตั้งอยู่หมู่ที่ 3  ต.แม่ทอม อ.บางกล่ำ จ.สงขลา และเมื่อปี พ.ศ. 2529 ได้เปลี่ยนมาอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอบางกล่ำ วัดคูเต่าเป็นวัดโบราณวัดหนึ่ง ตั้งอยู่ริมคลองอู่ตะเภา ก่อนออกสู่ทะเลสาบ ก่อสร้างก่อนปี พ.ศ. 2399 (ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด) โดยพระอุปัชฌาแก้ว และเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2399 พระอุปัชฌาแก้วมรณภาพเสียก่อน หลังจากนั้นได้หยุดการก่อสร้างไประยะหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2445 พระอุปัชฌาหนู ได้ทำการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยในอุโบสถมีจิตกรรมฝาผนังพระเวสสันดรชาดก โดยช่างภูมิปัญญาท้องถิ่นในสมัยนั้น และภายในวัดยังมีใบเสมา มณฑปบัว ศาลาการเปรียญ ศาลาท่าน้ำ หอระฆัง กูมไม้ทรงไทย วัดคูเต่าตั้งอยู่ในพื้นที่ 15 ไร่ 3 งาน 13 ตารางวา บริจาคโดย นายสร้าง (ไม่ทราบนามสกุล) ซึ่งเป็นชาวจีนมาตั้งฐิ่นฐานอยู่ในตำบลคูเต่า  ต่อมา พระอุโบสถวัดคูเต่า ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากร โดยได้มีการปฏิสังขรณ์ใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2538 นับได้ว่าวัดคูเต่าเป็นโบราณสถานที่เชิดหน้าชูตาอย่างภาคภูมิใจของชาวตำบลแม่ทอม ซึ่งหากมีผู้สนใจที่จะเยี่ยมชนจิตกรรมฝาผนังในอุโบสถวัดคูเต่าก็สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ ณ วัดคูเต่า หมู่ที่ 3 ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา
                 ในเอกสารบันทึก ที่ดินของวัดคูเต่า ซึ่งผู้เขียนทำการสืบค้นได้จากความกรุณาของ พระอธิการถาวร ถาวโร เจ้าอาวาสวัดคูเต่า รูปที่ 6 มีบันทึกเกี่ยวกับเรื่อง ?ที่ดินของวัดคูเต่า? เอาไว้ดังนี้  ที่ดินของวัดคูเต่า 
ที่ดินแปลงที่ 1 เป็นที่ธรณีสงฆ์ ของวัดคูเต่า เลขที่ ส.ค. 1 //  193 วันที่ 30 พ.ค. 98
ทิศเหนือ  ยาว 3 เส้น 10 วา จดที่ดินนายพรหม
ทิศใต้  ยาว 6 เส้น 6 วา จดที่ดินนายแจ้ง นายเหมือน
ทิศตะวันออก  ยาว 4 เส้น 10 วา จดที่ดินนายหนูแก้ว
ทิศตะวันตก  ยาว 2 เส้น 1 วา จดที่ดินนายพรหม
(จำนวนที่ดิน  14 ไร่ 3 งาน 71 วา)
ที่ดินแปลงที่ 2 เป็นที่ตั้งวัดคูเต่า มีพระสงฆ์อยู่ประจำ เลขที่ ส.ค. 1  194  วันที่ 30 พ.ค. 98
ทิศเหนือยาว 3 เส้น 18 วา จดที่แม่น้ำ
ทิศใต้ยาว 3 เส้น 18 วา จดที่ดินนายชุม
ทิศตะวันออก ยาว 4 เส้น 4 วาจดแม่น้ำ
ทิศตะวันตกยาว 3 เส้น 19 วา
(จำนวนเนื้อที่ดิน 15 ไร่ 3 งาน 18 วา)


1. ภาพ  วัดคูเต่า เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา

2. ภาพ  ศาลาริมน้ำวัดคูเต่า  ถ่ายเมื่อราวต้นปี พ.ศ. 2546(ปัจจุบันไม่มีเเล้ว)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

นิรันดร์  พีระเสถียร  ได้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติของวัดคูเต่า เอาไว้ใน  บทความชุดพระครูสุคนธศีลาจาร(หอม ปุญญมาโน) ใน นิตยสารกระแสพระ ฉบับที่ 49 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2549 หน้า 41-42  พอที่จะสรุปได้ว่า  วัดคูเต่า ตั้งอยู่ที่เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา นับว่าเป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งของภาคใต้ โดยมีเจ้าอาวาสรูปแรกชื่อ หลวงพ่อช้าง เป็นผู้บุกเบิกร่วมกับชาวบ้านตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ สร้างวัดคูเต่าขึ้น  เดิมสร้างอยู่ใกล้ป่าช้าหนองหินชื่อ ?วัดสระเต่า? ลักษณะวัดเป็นที่ราบลุ่ม เป็นที่อยู่อาศัยของเต่าเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อช้างได้ย้ายวัดสระเต่า มาตั้งในที่ใหม่ ในพื้นที่อยู่อาศัยของชาวจีน และชาวจีนได้บริจาคที่ดินถวายหลวงพ่อช้าง  ท่านได้ร่วมกับชาวจีนและคนไทยช่วยกันสร้าง วัดคูเต่าขึ้นมา ในปี พ.ศ. 2299 ในชื่อและที่มาของ ?คูเต่า? นี้เองพอที่จะสืบประวัติความเป็นมาได้ว่า ในขณะที่ชาวบ้านได้ถางป่า ขุดตอไม้เพื่อปลูกผลไม้  ส้มจุ ไม่มีไม้ใช้ต้องขุดคูล่องเรือไปตัดไม้เสม็ดมาทำ เป็นไม้ค้ำต้นส้มจุก ล้อมรั้วรอบสวนส้มจุก  บรรดาเต่าจากสระน้ำได้ไต่ขึ้นลงตามสายคูน้ำ ออกมาวางไข่ตลอดสายคูน้ำ ซึ่งมีความยาวลายสิบกิโลเมตร คูน้ำแห่งนี้จึงมีชื่อว่า ?คูเต่า? เป็นที่มาของชื่อ ?วัดคูเต่า?
                ซึ่งในเรื่องที่มาของคำว่า ?คูเต่า? นี้เอง  อุษณีย์  ทองลิ้มป์  ได้ศึกษาเพิ่มเติมเอาไว้ใน  การศึกษาประวัติชื่อหมู่บ้านในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา  ปี พ.ศ. 2537 หน้า 52-83  โดยเป็นการกล่าวอ้างจากคำพูดของ  นายทองชุม สุขสว่าง  หมู่ที่ 6 บ้านคูเต่า ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ว่า ?บ้านคูเต่า? เดิมมีคูเล็กๆ มีเต่าชุกชุมมาก ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของคลองอู่ตะเภา  ได้มีคนจีนกลุ่มหนึ่งเข้ามาบุกเบิกที่ดินทำมาหากินที่นี่ ชาวบ้านจึงเรียกว่า ?คูเต่า? ต่อมาคูแห่งนี้ได้มีผู้คนเข้ามาอยู่มากขึ้น เต่าซึ่งแต่เดิมมีอยู่มากก็ค่อยๆหมดไป คือลงไปอยู่ในทะเลสาบสงขลา ซึ่งการเรียกชื่อหมู่บ้าน หรือวัดในลักษณะดังกล่าวมานี้จัดอยู่ในประเภท ?ประวัติชื่อหมู่บ้านที่มีสภาพแวดล้อมตามชื่อของสัตว์? 


ประวัติวัดคูเต่าในทรรศนะของ พระอธิการถาวร ถาวโร เจ้าอาวาสวัดคูเต่า รูปที่ 6 (สัมภาษณ์ วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2551 ที่วัดคูเต่า)ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปขอสัมภาษณ์พระอธิการถาวร ถาวโร  เจ้าอาวาสวัดคูเต่า รูปที่ 6 (รูปปัจจุบัน) ถึงประวัติความเป็นมาของวัดคูเต่าในความเห็นของท่านพอที่จะสืบทราบความเป็นมาได้ดังนี้คือ เดิมทีวัดคูเต่า มีชื่อว่า ?วัดสระเต่า? เนื่องด้วยมีเต่าอาศัยอยู่ในบริเวณสระของวัดเป็นจำนวนมาก  และวัดมิได้ตั้งอยู่ในบริเวณสถานที่ตั้งในปัจจุบัน(เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา) แต่วัดคูเต่าเดิม หรือวัดสระเต่า นั้นตั้งอยู่ในบริเวณผืนดินตรงข้ามป่าช้าหนองหิน หรือโคกวัดในปัจจุบัน  เหตุที่ต้องย้ายสถานที่ตั้งวัดนี่เพราะบริเวณเดิมเป็นที่ราบลุ่มมักมีน้ำหลากในฤดูฝน จึงทำให้สภาพของวัดไม่ต่างอะไรกับจมอยู่ในทะเล  สิ่งก่อสร้างต่างๆรวมถึงพระ  ภิกษุ ชาวบ้านต่างได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก   ประการหนึ่งเชื่อกันว่าแต่เดิมคนในพื้นที่คูเต่าเป็นชาวจีนส่วนหนึ่งซึ่งเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากผืนแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ และชาวไทยในพื้นที่อีกส่วนหนึ่งต่างช่วยกันร่วมมือร่วมใจในการสร้างวัดคูเต่าขึ้น  ครั้งหนึ่งชาวจีนซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพในการทำสวนส้มโอ  ส้มเขียว  ส้มเช้ง  ส้มแป้นจุก(ส้มจุก) ต้องการไม้มาเพื่อเป็นวัสดุอุปกรณ์สำหรับค้ำยันต้นส้ม  เนื่องด้วยเชื่อกันว่าดินที่ทำการปลูกส้มชนิดต่างๆที่ถือเป็นดินดีที่สุดในจังหวัดสงขลานั้นต้องเป็นดินที่บ้านคูเต่า จึงไม่แปลกที่ชาวบ้านคูเต่า(จีน)จะสามารถกอบโกยผลผลิตจากการทำสวนส้มได้ผลกำไรเป็นที่น่าพอใจยิ่ง  เนื่องด้วยเป็นดินดีปุ๋ยดีต้นส้มของที่นี่จึงมีลำต้นและให้ผลผลิตที่สูง ส้มมีผลใหญ่และแต่ละช่อมีปริมาณหลายผล  ปัญหาหนึ่งที่ตามมาของชาวสวนที่นี่ก็คือ ปัญหาในเรื่องที่ต้นส้มมักจะกิ่งหักเพราะผลที่ดกเป็นพิเศษ เป็นประจำ  วิธีแก้ปัญหาของชาวบ้านก็คือการไปตัดไม้ในบริเวณใกล้เคียงกับสวนส้มของพวกเขานำมาทำเป็นไม้ค้ำยันซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง  แต่ต่อมาในระยะหลังเมื่อมีการทำสวนส้มกันมากขึ้นๆ จึงเป็นเหตุให้ไม้ที่นำมาทำเป็นตัวค้ำยันหมดลง ครั้งชาวบ้านส่วนหนึ่งเดินทางไปตัดไม้ในป่าซึ่งเป็นไม้เสม็ด ที่บริเวณทุ่งเกาะไหล ขากลับมักประสบความลำบาก พบปัญหาคือไม่สามารถนำพาไม้เสม็ดจำนวนมากกลับมาได้ทั้งหมด  ทำให้เสียเวลาในการเดินทางไกลโดยใช่เหตุและได้ไม้เสม็ดไม่คุ้มกับห้วงเวลาที่สูญเสียไป  มีชาวจีนในพื้นที่หลายกลุ่มเล่าว่าขาไปในช่วงเช้ามักไม่มีปัญหา แต่ตอนช่วงขากลับมักเจอสัตว์ร้ายต่างๆอาทิ เสือ งู หมี เสือ และอื่นๆซึ่งถือเป็นสัตว์มีอันตรายเข้ามาทำร้ายได้ เป็นต้น อนึ่ง มีความเชื่อเดิมของคนในพื้นที่เล่าว่าอีกเหตุผลที่มีความต้องการขุดสระ และย้ายวัดสระเต่ามาเป็นวัดคูเต่าในปัจจุบันนั้นเชื่ออยู่เรื่องหนึ่งว่าอาจจะเป็นเพราะความกลัวสถานที่ตั้งเดิมซึ่งมีอาณาบริเวณเป็นป่ารกทึบมีสัตว์ร้ายนานาพันธุ์ บ้างก็เล่าสืบทอดกันมาว่าเคยมี ?เสือสมิง? อาศัยอยู่ใกล้บริเวณวัดได้เข้าทำร้ายสามเณรมรณภาพ 1 รูป คือสามเณรถูกกัดจนศีรษะขาดและถูกกินเป็นอาหารเป็นที่เล่าลืออย่างสยดสยองต่างๆนานา(เสือสมิง คือ เสือร้ายที่เชื่อกันว่าเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณร้ายที่แปลงร่างขึ้นมา)    ช่วงนั้นเองประจวบเหมาะกับที่ชาวบ้านต้องการจะย้ายวัดคูเต่าเดิม(วัดสระเต่า)ไปอยู่ในบริเวณตั้งวัดในปัจจุบันเพื่อหนีปัญหาน้ำท่วมในหน้าฤดูน้ำหลาก  ทั้งชาวจีน และชาวไทยจึงร่วมแรงร่วมใจกันขุดคูขึ้นมาแห่งหนึ่งทอดยาวไปยังสถานที่ตั้งวัดในปัจจุบัน ซึ่งในตอนที่ขุดคูนี้เองส่งผลให้เต่าที่แต่เดิมอาศัยอยู่ในบริเวณสระของวัดสระเต่าได้เคลื่อนย้ายอพยพหาทำเลที่อยู่อาศัยใหม่คือย้ายไปที่วัดคูเต่าปัจจุบันและค่อยๆหมดไป ซึ่งชาวบ้านหลายคนเชื่อว่าพวกเต่าได้ย้ายทำเลที่อยู่อาศัยคือย้ายไปลงทะเลแล้ว(สันนิษฐานว่าอาจเป็นเต่าน้ำกร่อย)  นับแต่เริ่มมีการขุดคูจนแล้วเสร็จชาวบ้านจึงมีเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่ดีขึ้น  มีเส้นทางลำเลียงไม้เสม็ดจากทุ่งเกาะไหลมายังสวนส้มได้ง่ายขึ้น  ทำให้มีผลผลิตส้มที่เสียหายจากกรณีกิ่งหักในปริมาที่ลดลง เพื่อระลึกถึงบรรดาเต่าทั้งหลายที่เคยมีมากในพื้นที่ดังกล่าวชาวบ้านจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อคูที่ขุดใหม่ว่า ?คูเต่า? และร่วมแรงร่วมใจกันสร้างวัดขึ้นมาแทนวัดสระเต่า  จนแล้วเสร็จให้ชื่อว่า ?วัดคูเต่า?  ดังปัจจุบัน ผลพลอยได้จากการขุดคูเต่านอกจากจะได้เส้นทางลำเลียงไม้จากทุ่งเกาะไหล และได้สถานที่สร้างวัดคูเต่าที่น้ำไม่ท่วมเหมือนวัดเดิมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ได้ตามมาก็คือตลาดน้ำคูเต่าซึ่งได้รับการตกทอดมาจนถึงชนรุ่นปัจจุบัน ชาวบ้านจะนำสินค้าต่างๆขนถ่ายลงเรือจากสถานที่ต่างๆนำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันที่ตลาดน้ำแห่งนี้ซึ่งมีอาณาบริเวณอยู่ที่ท่าน้ำของวัดคูเต่า  ตลาดน้ำในยุคแรกๆหรือในราวปี พ.ศ. 2299 นั้นถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองในระดับหนึ่ง และรุ่งเรืองสูงสุดในระหว่างปี พ.ศ. 2451-2505 ซึ่งมีพระครูสุคนธศีลาจาร(หลวงพ่อหอม ปุญญาโน)เป็นเจ้าอาวาส ถือเป็นศูนย์กลางตลาดน้ำที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของจังหวัดสงขลา  จวบจนในยุคหลังๆหรือประมาณปี พ.ศ. 2520 (ในยุค พระคุณสารพิสุทธิ์ หรือหลวงพ่อหวั่นเซี้ย คุณปาโล)ได้เริ่มมีการใช้เรือยนต์ในการคมนาคมเพิ่มมากขึ้น  การค้าขายในตลาดน้ำคูเต่าเริ่มซบเซาลง  ประจวบกับการค้าขายในตลาดที่โคกเสม็ดชุน กลับดีวันดีคืนจึงเป็นผลทำให้ตลาดน้ำที่คูเต่าเริ่มเสื่อมลงเรื่อยๆจนกลายเป็นตลาดที่ไม่ใหญ่มากนักในปัจจุบัน   

1. ภาพ   ต้นไม้ใหญ่ภายในบริเวณวัดคูเต่าซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้
2.ภาพ  พระอธิการถาวร ถาวโร เจ้าอาวาสวัดคูเต่ารูปที่ 6 (รูปปัจจุบัน)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

ย้อนอดีตเจ้าอาวาสวัดคูเต่า
                รูปที่ 1 หลวงพ่อช้าง ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสราว ปี พ.ศ. 2299-2348  หลวงพ่อช้างเป็นผู้ริเริ่มบุกเบิก และถือเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวบ้านคูเต่าทั้งชาวจีนจากผืนแผ่นดินใหญ่ รวมถึงชาวไทยในพื้นที่เดิม ให้มีความผสมผสานแนวแน่นสามัคคีกลมเลียวเป็นปึกแผ่นกัน  ร่วมกันขุดคูเต่าขึ้นมา จวบจนทำการย้ายวัดสระเต่า(เดิม) มาสร้างเป็นวัดคูเต่าในผืนดินใหม่บริเวณปัจจุบันขึ้น 
                รูปที่ 2 พระอาจารย์แก้ว ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ปี พ.ศ. 2348-2399 ท่านได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาวัดคูเต่าจนเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน
           รูปที่ 3 พระอุปัชฌาย์หนู ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ปี พ.ศ. 2399-2451 พระอุปัชฌาหนูถือเป็นทวดของ พระอธิการถาวร ถาวโร(เจ้าอาวาสวัดคูเต่ารูปปัจจุบัน) กล่าวกันว่าพระอุปัชฌาย์หนู ถือเป็นพระที่ชาวบ้านในพื้นที่ชาวคูเต่าให้การนับถือศรัทธาเป็นอันมาก และในยุคของท่านนี่เองที่เริ่มมีการออกแบบสร้างโรงเรียนประถมศึกษาขึ้นมา  ชาวบ้านเชื่อว่าท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ คือ หากท่านพูดหรือว่ากล่าวสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงขึ้นมา ประการหนึ่งเชื่อกันว่าท่านมักใช้การปกครองคนโดยยึดหลัก  ?การปกครองคนโดยอิทธิฤทธิ์?  ซึ่งก็คือการใช้วาจาสิทธิ์ในการปกครองนั่นเอง
                รูปที่ 4 พระครูสุคนธศีลาจาร หรือหลวงพ่อหอม ปุญญมาโน ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ปี พ.ศ. 2451-2505 กล่าวกันว่าพระครูสุคนธศีลาจาร หรือหลวงพ่อหอม นั้นท่านเป็นพระที่ไม่ค่อยพูด  บ้างก็ว่าท่านนั้นเป็นพระที่มีความนิ่งสูง เป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้าอาวาสรูปอื่นๆ  เนื่องด้วยท่านเป็นพระที่ไม่ค่อยพูดจึงมักเห็นท่านแก้ปัญหาต่างๆให้ชาวบ้านด้วยสติปัญญาและความนิ่งมานักต่อนัก โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเรื่องลักเล็กขโมยน้อย ท่านมักจะชอบพูดว่ากล่าวเทศนาธรรมเป็นประจำเกี่ยวกับเรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว  ส่งผลให้โจรหลายคนกลับใจมาเป็นคนดี  บ้างก็ว่าท่านนั้นมีวาจาสิทธิ์ มีเรื่องเล่าสืบทอดมาว่าครั้งสมัยหนึ่งมีโจรมาขโมยเรือของทางวัดคูเต่า  หลวงพ่อหอม ท่านพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า ?ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวเขาจะเอา เรือมาคืนเอง? ปรากฏว่าอีกเพียงไม่กี่วันท่านก็ได้เรือของท่านคือสมดังวาจาที่ท่านกล่าวไว้ 
                รูปที่ 5 พระคุณสารพิสุทธิ์ (หลวงพ่อหวั่นเซี้ย คุณปาโล) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ปี พ.ศ. 2505-2547  สถานะเดิมชื่อ หวั่นเซี้ย แซ่ตัน เกิด 1 กันยายน ปี พ.ศ. 2462 บ้านเดิมอยู่ที่ บ้านคูเต่า ตำบลคูเต่า อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา บิดาชื่อ ขั้น แซ่ตัน  มารดาชื่อ เห้ง แซ่ตัน ประกอบอาชีพกสิกรรม  พระคุณสารพิสุทธิ์ หรือหลวงพ่อหวั่นเซี้ย ถือเป็นผู้ที่ชาวบ้านเคารพศรัทธาในด้านการเป็นพระนักพัฒนา ตลอดเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสท่านได้ชักชวนชาวบ้านให้ร่วมกันทะนุบำรุงศาสนสถานภายในวัดคูเต่าเป็นอันมาก อาทิ ร่วมกับชาวบ้านสร้างสะพาน กุฏิพระ  ศาลาพักร้อน  กุฏิเจ้าอาวาส  โรงครัว  เจดีย์  ซุ้มประตู  เมรุเผาศพ  และงานซ่อมแซมด้านต่างๆ เป็นต้น  นอกจากนี้ท่านยังถือเป็นผู้ทรงซึ่งพุทธาคมไสยเวท  อันสืบทอดมาจากพระคุณสารพิสุทธิ์ (หลวงพ่อหวั่นเซี้ย คุณปาโล) และเกจิผู้มีชื่อของทางภาคใต้อีกหลายรูป  พระคุณสารพิสุทธิ์ ได้มรณภาพด้วยอาการสงบลงเมื่อวันที่ 14 กันยายน ปี พ.ศ. 2547 สิริรวมอายุได้ 85 ปี 65 พรรษา

               พระอธิการถาวร ถาวโร เจ้าอาวาสวัดคูเต่ารูปที่ 6 (รูปปัจจุบัน)
                เดิมชื่อ ถาวร กุลนิล บ้านเดิมอยู่ที่ เลขที่ 33 หมู่ 2 ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา มีพี่น้อง 6 คน โดยท่านเป็นคนที่ 5 จวบจนจบการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดคูเต่า ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา ก็เข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมที่โรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่3จากนั้นจึงสอบเข้าโรงเรียนนายสิบทหารบก กรุงเทพมหานครจนได้ติดยศสิบเอก กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาจนเข้าวัย 35 ขวบปีก็เริ่มเบื่อหน่ายทางโลกมุ่งเสาะแสวงหาทางธรรมสุขสว่างให้แก่ตน โดยเข้าสู่พิธีอุปสมบทเพื่อทดแทนพระคุณโยมบิดา-มารดา เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2540  ที่วัดหน้าพระลาน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช  โดยมีพระครูคุณสารพิสุทธิ์(หลวงพ่อหวั่นเซี้ย คุณปาโล)เป็นพระอุปัชฌาย์ จำพรรษาที่วัดคูเต่า ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลาเรื่อยมา  พระอธิการถาวร ถาวโร ยังเป็นผู้ฝึกและศึกษาปริยัติธรรมอย่างเคร่งครัด ท่านสอบนักธรรม ตรี โท เอก ได้ในห้วงเวลาต่อมา  ในทางวิชาพุทธาคม และไสยเวท เชื่อกันว่าพระอธิการถาวร ถาวโร เป็นผู้สืบทอดทางวิชาพุทธาคม และไสยเวทมาจากอดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 5 (หลวงพ่อหวั่นเซี้ย คุณปาโล)รวมทั้งจากพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงไปด้วยสรรพวิชาจากทั่วภาคใต้ จนท่านเป็นผู้ชำนาญด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาด  มิใช่เพียงแค่ชาวไทยในพื้นที่  หรือชาวไทยจากต่างถิ่นเท่านั้นที่เลื่อมใสศรัทธาท่าน  แต่ยังรวมไปถึงชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย อันเรียกตนว่า ?ไทยสยาม? อันมีแหล่งพำนับในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย(ไทรบุรี  กลันตัน  และปะลิต)ยังให้ความนับถือท่านเป็นอันมากอีกด้วย  โดยพระเทพวีราภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสงขลา ได้แต่งตั้งให้ท่านได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดคูเต่าเมื่อวันที่ 14 กันยายน ปี พ.ศ. 2547 จวบจนปัจจุบัน



1. ภาพ   เจ้าอาวาสรูปที่ 3 พระอุปัชฌาย์หนู ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ปี พ.ศ. 2399-2451

2. ภาพ  เจ้าอาวาสรูปที่ 4  พระครูสุคนธศีลาจาร หรือหลวงพ่อหอม ปุญญมาโน ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ปี พ.ศ. 2451-2505

3. ภาพ  เจ้าอาวาสรูปที่ 5  พระคุณสารพิสุทธิ์ (หลวงพ่อหวั่นเซี้ย คุณปาโล) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ปี พ.ศ. 2505-2547

4. ภาพ   พระอธิการถาวร ถาวโร เจ้าอาวาสวัดคูเต่ารูปที่ 6 (รูปปัจจุบัน)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

อุโบสถวัดคูเต่า
กับคติที่ปรากฏในศิลปะตกแต่งประเภทจิตรกรรม
                จีรพันธ์  สมประสงค์ ได้ศึกษาถึงความหมายของคำว่า ?จิตรกรรม? เอาไว้ใน ประวัติศิลปะ  ปี พ.ศ.2533 หน้า 7  ว่า จิตรกรรม หมายถึง ผลของความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เป็นประสบการณ์รองของธรรมชาติตรงหน้า เช่น เมื่อศิลปินเขียนภาพทิวทัศน์ ศิลปินเพียงจำลองสภาพธรรมชาติตรงหน้าเป็นรูปเท่านั้น ไม่ใช่ธรรมชาติจริงๆ
                ราชบัณฑิตยสถาน ได้อธิบายความหมายของคำว่า ?จิตรกรรม? เอาไว้ใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ปี พ.ศ. 2546 หน้า 312-313 ว่า จิตรกรรม  น.  ศิลปะประเภทหนึ่งในทัศนศิลป์เกี่ยวกับการเขียนภาพวาด
                เปลื้อง ณ นคร ได้อธิบายความหมายของคำว่า ?จิตรกรรม? เอาไว้ใน ปทานุกรมนักเรียน ฉบับปรับปรุงใหม่ ปี พ.ศ. 2535 หน้า 83 ว่า ศิลปะการวาดเขียน ศิลปะการวาดภาพ
                นอกจากนี้ ศุภสิน  สารพันธ์ ยังได้อธิบายถึงลักษณะของงานจิตรกรรมไทยเอาไว้ใน ศิลปะไทย  ปี พ.ศ.2545 หน้า 42  ว่า จิตรกรรมไทย หมายถึง ภาพวาด ภาพเขียนที่เป็นลายเส้น หรือระบายสีให้เป็นลวดลายรูปภาพเรื่องต่างๆ โดยทั่งไปอาศัยเค้าโครงเรื่องจากพุทธประวัติ วรรณคดี และประวัติศาสตร์เขียนด้วยสีฝุ่น และปิดทองบนสมุดภาพ และบนฝาผนังโบสถ์วิหารเป็นส่วนมาก  จิตรกรรมไทยโดยทั่วไปมีลักษณะแบบอย่างเป็นพิเศษของไทยโดยเฉพาะ ทั้งในด้านวิธีการการจัดองค์ประกอบ สีและเรื่องราว เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมการแต่งกาย ประเพณีในยุคสมัยต่างๆ บางแห่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงลักษณะพิเศษของท้องถิ่นด้วย  แต่โดยมากลักษณะของจิตรกรรมไทยมักมีลักษณะดังนี้คือ
                  1. เป็นภาพเขียนแบบ 2 มิติ               
                  2. แสดงความรู้สึกของภาพคนด้วยเส้นและท่าทาง
                  3. แสดงความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วยสีและเครื่องแต่งกาย
                  4. แสดงจุดสนใจโดยไม่คำนึงถึงส่วนสัด
                  5. เป็นภาพแบบเล่าเรื่อง
                  6. เป็นภาพที่มีทัศนียภาพแบบตานกมอง(วิวตานก)
                  7. เป็นภาพที่แสดงออกในลักษณะจินตนาการ
                  8. เป็นภาพที่ไม่แสดงเวลา

                  จากทรรศนะของนักวิชาการที่ได้กล่าวมาข้างต้นจึงพอที่จะสรุปได้ว่า จิตรกรรม และจิตรกรรมไทย หมายถึง ผลของความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เป็นประสบการณ์รองของธรรมชาติตรงหน้า การเขียนภาพวาด ศิลปะการวาดเขียน ศิลปะการวาดภาพ จิตรกรรมไทย หมายถึง ภาพวาด ภาพเขียนที่เป็นลายเส้น หรือระบายสีให้เป็นลวดลายรูปภาพเรื่องต่างๆ โดยทั่งไปอาศัยเค้าโครงเรื่องจากพุทธประวัติ วรรณคดี และประวัติศาสตร์เขียนด้วยสีฝุ่น และปิดทองบนสมุดภาพ และบนฝาผนังโบสถ์วิหารเป็นส่วนมาก  โดยมากลักษณะของจิตรกรรมไทยมักมีลักษณะคือ เป็นภาพเขียน 2 มิติ แสดงความรู้สึกของภาพคนด้วยเส้นและท่าทาง เป็นภาพที่ไม่แสดงเวลา เป็นต้น
                   งานจิตรกรรมฝาผนังที่วัดคูเต่า เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา  จัดเป็นงานจิตรกรรมไทยพื้นถิ่นที่เขียนด้วยสีฝุ่น ฝีมือช่างพื้นบ้าน มีความอิสระทั้งการวาดเส้น การใช้สี และการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ  โดยมากงานจิตรกรรมไทยที่วัดคูเต่าเน้นการแสดงภาพด้วยลักษณะของตัวหนังตะลุงผสมเข้าไป อาทิ ตัวชูชก ในงานชุดมหาเวสสันดรชาดก หรือมหาชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของเทพชุมนุม  และตำนานราหูอมจันทร์ เป็นต้น  จากคำบอกเล่าของ พระอธิการถาวร ถาวโร เจ้าอาวาสวัดคูเต่า รูปที่ 6  จึงพอที่จะสืบทราบได้ว่างานจิตรกรรมไทยพื้นถิ่นประดับภายในอุโบสถวัดคูเต่าน่าที่จะวาดขึ้นในราวปี พ.ศ. 2348-2399(ในยุคของพระอาจารย์แก้ว  เจ้าอาวาสรูปที่ 2)โดยใช้ชาวบ้านที่เป็นช่างศิลป์ในพื้นที่เป็นผู้วาดทั้งหมด ซึ่งโดยมากวัสดุอุปกรณ์ สีในการระบายได้มาจากธรรมชาติ เช่น เปลือกไม้ รากไม้ เป็นต้น


เวสสันดรชาดก หรือมหาชาติ
                ปรากฏเป็นรูปงานจิตรกรรมเขียนด้วยสีฝุ่น ประดับตกแต่งภายในอุโบสถวัดคูเต่า(ภายในอุโบสถ บริเวณฝาผนัง)เป็นจิตรกรรมไทยพื้นถิ่นภาคใต้ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ค่อนข้างมาก
                ราชบัณฑิตยสถาน ได้อธิบายความหมายของคำว่า เวสสันดร เอาไว้ใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ปี พ.ศ. 2546 หน้า 1087 ว่า เวสสันดร น. พระนามพระโพธิสัตว์ชาติที่ 10 ในทศชาติ,โดยปริยาย หมายถึง ผู้ที่มีใจกว้างขวางชอบให้ของแก่ผู้อื่นอย่างไม่มีของเขตจำกัด
                เทพพร  มังธานี ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของ พระเวสสันดร เอาไว้ใน เรียนรู้พลังแห่งบารมีและยุทธวิธีทางจริยธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายของชีวิต จาก ทศชาติชาดก พระเจ้าสิบชาติ ปี พ.ศ. 2543 หน้า 191 ว่า ดังที่ทราบกันว่าก่อนที่เจ้าชายสิททธัตถะมหาบุรุษจะได้มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า และบำเพ็ญบารมีมาแล้วเป็นเวลานับไม่ได้โดยการคำนวณ ในพระชาติสุดท้ายของการบำเพ็ญบารมีนั้น ทรงเกิดเป็นพระเวสสันดร และบำเพ็ญทานบารมี คือ การบริจาคทาน ซึ่งเป็นการเสียสละประโยชน์ส่วนตัว หรือประโยชน์ส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ทรงทำให้ทานบารมีเต็มเปี่ยมเพื่อจะได้ตรัสรู้เป้นพระพุทธเจ้า นำประโยชน์เกื้อกูลมาแต่มวลสรรพสัตว์ นับเป็นการบริจาคที่มีเป้าหมายยิ่งใหญ่
                วรรณนิภา ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของ พระเวสสันดร เอาไว้ใน 50 เรื่องเนื่องในพระพุทธศาสนา ปี พ.ศ. 2536 หน้า 9 ว่า พระโพธิสัตว์แต่ละชาติจะประกอบด้วยบุญบารมีทั้งสิบประการนี้ แต่ในเรื่องที่แสดงแต่ละบารมีนั้น แสดงว่ายอดเยี่ยมกว่าบารมีอื่นๆทั้ง 9 ประการ ในชาติสุดท้ายที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรนั้น ถือเป็นชาติใหญ่เรียกว่ามหาชาติ เป็นชาติที่ย้ำบารมีทั้งสิบ โดยมีทานบารมีเป็นยอด และเชื่อกันว่าพระชาตินี้เป็นพระชาติสุดท้ายก่อนที่จะเกิดเป็นพระพุทธองค์ ซึ่งพระองค์ทรงเกิดเป็นพระเวสสันดร และบำเพ็ญทานบารมี คือ การบริจาคทาน ซึ่งเป็นการเสียสละประโยชน์ส่วนตัว หรือประโยชน์ส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่
                จากทรรศนะของนักวิชาการที่ได้กล่าวมาข้างต้นจึงพอที่จะสรุปได้ว่า เวสสันดรชาดก หรือมหาชาติ คือ พระนามพระโพธิสัตว์ชาติที่ 10 ในทศชาติ เป็นชาติที่แสดงบารมีที่ยอดเยี่ยมกว่าบารมีอื่นๆทั้ง 9 ประการในพระชาติสุดท้ายของการบำเพ็ญบารมีนั้น ทรงเกิดเป็นพระเวสสันดร และบำเพ็ญทานบารมี คือ การบริจาคทาน ซึ่งเป็นการเสียสละประโยชน์ส่วนตัว หรือประโยชน์ส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่
                ภายในอุโบสถของวัดคูเต่า เลขที่ 1 หมู่ที่ 3 ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา ปรากฏพบรูปงานจิตรกรรมไทยพื้นถิ่นซึ่งวาด และรังสรรค์สร้างขึ้นมาจากจินตนาการ ความอดทน ทุนทรัพย์ของชนในท้องถิ่น และพลังศรัทธาในพระพุทธศาสนา ของช่างศิลป์ในพื้นที่ ก่อให้เกิดเป็นงานพุทธศิลป์ที่งดงามยิ่ง เป็นสมบัติที่ชวนหวงแหนของชนในพื้นที่ ตลอดจนคนในชาติสืบไป  ในภายภาคหน้า  ทั้งนี้จากการสำรวจงานจิตรกรรมไทยพื้นถิ่นที่มีปรากฏอยู่ภายในอุโบสถวัดคูเต่า บริเวณฝาผนังชั้นในแล้วนั้น ปรากฏพบว่ามีการสร้าง วาดออกมาเป็นเรื่องราวในทศชาติ กล่าวคือ เป็นเรื่องราวในพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ คือเรื่องเวสสันดรชาดก หรือมหาชาติ ซึ่งมีภาพเขียนปรากฏไว้ในอุโบสถราว 20 ภาพ ผู้เขียนจึงขอนำเสนอภาพจิตรกรรมดังกล่าว รวมทั้งมีคำอธิบายใต้ภาพเพื่อผู้ที่สนใจได้ใช้ศึกษาหรืออ้างอิงต่อไปในภายภาคหน้าได้ ดังนี้



ภาพ  อุโบสถวัดคูเต่า

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

1. นางผุสดีเทพธิดาทูลขอพร 10 ประการจากพระอินทร์
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้ถึงแม้ว่าโครงสร้างของภาพส่วนใหญ่จะลางเลือนเต็มทีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังพอที่จะสามารถตีรูปลักษณะของตัวละครต่างๆได้ในระดับหนึ่ง  ซึ่งแสดงเรื่องราวบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันเป็นสวรรค์ชั้นที่ 2  ดาวดึงส์เป็นสวรรค์ชั้นที่อยู่สูงกว่า ?จาตุมหาราชิกา? แต่อยู่ต่ำกว่าชั้น ?ยามา?  ภาพที่เห็นคาดว่าเป็นนางผุสดีเทพธิดา เข้ามาทูลขอพร 10 ประการจากพระอินทร์ผู้เป็นพระสวามี ก่อนที่นางจะลงมาจุติยังโลกมนุษย์ โดยเนื้อพรที่ขอพอจะสรุปได้ดังนี้       
                1. ขอให้นางมีแววตาดำสนิท จักษุงดงามเหมือนนางที่กำเนิดได้เพียงปีเดียว
                2. ขอให้นางมีขนคิ้วงดงามประหนึ่งพระจันทร์เสี้ยวบนฟากฟ้า
                3. ขอให้นางยังดำรงชื่อว่า ?ผุสดี? ดังเดิม
                4. ขอให้นางได้บุตรผู้เลิศด้วยคุณ และเป็นที่พึ่งแก่คนยากไร้ทั้งปวง
                5. ยามที่นางทรงพระครรภ์ ขอให้พระครรภ์นูนเพียงแค่คันศร
                6. ขอให้ปทุมถันทั้งคู่ งดงามประหนึ่งบัวตูมชั่วนิรันดร์
                7. ขอให้นางอย่ามีผมหงอกแม้นเพียงเส้นเดียว
                8. ขอให้ผิวกาย และเรือนร่างของนางจงอย่ามีตำหนิแม้เพียงน้อย
                9. ขอให้นางมีอำนาจที่จะลดโทษแก่ผู้ประมาทให้พ้นจากการถูกประหาร
                10. ขอให้นางได้เป็นมเหสีของพระราชาแคว้นสีพีราษฎร์
               
                เมื่อนางผุสดีเทพธิดา ได้รับพรจากพระอินทร์ครบทั้ง 10 ข้อแล้วนางจึงลงมาจุติยังโลกมนุษย์ เป็นธิดาของพระเจ้ามัททราช  ซึ่งต่อมาได้อภิเษกกับพระเจ้าสญชัย แห่งสีพีรัฐนคร ได้พระโอรสองค์หนึ่งพระนามว่า ?พระเวสสันดร? เป็นผู้ที่มีน้ำพระทัยมากด้วยเมตตากรุณายิ่ง พระองค์ทรงบริจาคทานแก่ทุกคนที่ขอ  ต่อมาพระเวสสันดรได้อภิเษกกับพระนางมัทรี พระราชธิดาแห่งกษัตริย์มัททราช มีพระโอรส 1 องค์พระนามว่า ?ชาลี? และมีพระราชธิดา 1 องค์พระนามว่า ?กัณหา?

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

2. พระเวสสันดร และพระนางมัทรี ประทานช้างปัจจัยนาเคนทร์แก่คณะพราหมณ์ชาวกาลิงคะ
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวที่คณะพราหมณ์จากเมืองกาลิงคะทั้ง 4 เข้าเฝ้าพระเวสสันดร และนางมัทรี เพื่อทูลขอช้างปัจจัยนาเคนทร์ ตามพระบัญชาของพระเจ้ากาลิงคะมหากษัตริย์ แห่งเมืองกาลิงคะ เพื่อที่จะนำไปเป็นสิริมงคลทางด้านขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล  พระเวสสันดร จึงประทานช้างปัจจัยนาเคนทร์ให้คณะพราหมณ์ตามคำขอ
                อนึ่ง  สังเกตที่ฉากหลังจะมีรูปนายพรานคนหนึ่งกำลังดักยิงนกอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยธนู  อาจจะเป็นการสอดแทรกวิถีความเป็นอยู่ของชาวบ้านคูเต่าในอดีตไว้ก็เป็นได้

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

3. พระเวสสันดร ทูลลาพระบิดา พระมารดาออกบวชในป่าเขาวงกต
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวที่พระเวสสันดร นำพระนางมัทรี รวมทั้งชาลี  กัณหา(พระโอรส-พระธิดา) กราบทูลลาพระบิดา และพระมารดา โดยทั้งหมดพร้อมใจกันเดินทางออกจากพระนคร ไปยังป่าเขาวงกตพร้อมบวชเป็นฤาษี และฤาษิณี เนื่องด้วยเหตุชาวเมืองไม่พอใจที่พระองค์ประทานช้างปัจจัยนาเคนทร์แก่คณะพราหมณ์ชาวกาลิงคะ  พระบิดาจำต้องเนรเทศพระเวสสันดรตามมติของประชาชนชาวเมืองแต่โดยดี 


4. พราหมณ์ทั้ง 2 ทูลขอรถม้า
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวตอนที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี พร้อมด้วยพระโอสร พระธิดา เสด็จออกเดินทางออกจากพระนครด้วยรถม้าเพื่อมุ่งสู่เขาวงกต  รถม้าของพระเวสสันดร ยังไม่ทันพ้นเขตชานพระนครก็ปรากฏมีพราหมณ์ทั้ง 2 วิ่งออกมาทูลขอรถม้า พระเวสสันดรก็ทรงประทานให้


5. พระเวสสันดรเดินทางมุ่งสู่เขาวงกตด้วยพระบาท
               งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวหลังจากที่พระเวสสันดร ทรงประทานรถม้าให้แก่พราหมณ์ทั้ง 2 ที่ทูลขอแล้ว ปรากฏว่าพระองค์ไม่ทรงท้อถอยในการที่จะเดินทางไปยังเขาวงกตแต่ประการใด พระเวสสันดรทรงอุ้มพระโอรส ส่วนพระนางมัทรีทรงอุ้มพระธิดา ทั้ง 4 พระองค์ต่างมุ่งหน้าไปสู่เขาวงกตตามดำริแต่แรก

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

6. พระเวสสันดรได้ที่พักเป็นอาศรมในป่าเขาวงกต
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวหลังจากการเดินทางด้วยพระบาทเปล่าของพระเวสสันดร พระนางมัทรี พระโอรส พระธิดา จนถึงเขาวงกตแล้วก็ได้ที่พักเป็นอาศรมหลังหนึ่ง ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก พอเหมาะที่จะใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญตนในเพศฤาษี และฤาษิณี
                อนึ่ง  ในจิตรกรรมไทยแสดงภาพชาลี และกัณหา กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ภายในอาศรม  บริเวณหน้าอาศรมแสดงด้วยรูปต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่งมีนกเกาะบนกิ่ง 2 ตัว อย่างรื่นรมย์  ส่วนพระนางมัทรีก็กำลังหาบผลไม้ป่าที่ทรงเก็บได้มายังอาศรมเพื่อเป็นอาหาร


7. ชูชก ทวงเงินจากพราหมณ์ผัว-เมีย
               งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวของ ?ชูชก? พราหมณ์ผู้ชำนาญการขอแห่งหมู่บ้านทุนวิฐะ ในแคว้นกาลิงคะได้นำทรัพย์ที่ขอมาไว้มากมายไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัว-เมียคู่หนึ่ง แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาที่ชูชกจะมาเอาทรัพย์กลับ กลับได้ความว่าทรัพย์ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้ฝากไว้นั้นฝ่ายพราหมณ์ผัว-เมียนำไปใช้จ่ายจนหมดสิ้นแล้ว  และจำต้องส่งมอบ ?นางอมิตตา? ลูกสาวเป็นสินทดแทนแก่ชูชก

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

8. ชูชกถูกนางอมิตตา ขอร้องแกม บังคับให้ไปขอบุตร-ธิดา ของพระเวสสันดรมาเป็นทาสรับใช้
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวที่บ้านของชูชก  เป็นตอนที่นางอมิตตา ขอร้องแกมบังคับให้ชูชกไปขอพระโอรส-พระธิดา ของพระเวสสันดร มาเพื่อเป็นข้าทาสรับใช้  เนื่องด้วยนางอมิตตามีนิสัยเกลียดคร้าน ไม่ค่อยเอาใจใส่ในการงานหน้าที่ๆบ้าน จึงต้องการได้พระโอรส-พระธิดา ของพระเวสสันดรมาเป็นทาสรับใช้ และบังคับให้ชูชกผู้เป็นสามีไปขอให้  ชูชกเห็นเมียสาวของตนต้องลำบากในการปฏิบัติกิจจึงรับปากว่าจะเดินทางไปขอให้

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

9. ชูชก ออกเดินทางมุ่งสู่ป่าเขาวงกต
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวในตอนที่ชูชก รับปากนางอมิตตาเมียสาวเรียบร้อยแล้วว่าจะไปขอบุตร-ธิดา ของพระเวสสันดรมาเป็นข้าทาสรับใช้แก่นาง  ชูชกจัดการเก็บข้าวเครื่องใช้ที่จำเป็นแต่เช้าตรู่  สะพายย่ามและไม้เท้าคู่ใจได้ก็บอกลาเมียรัก ออกเดินทางมุ่งสู่ป่าเขาวงกต ณ บัดนั้น


10. ชูชก ถูกหมาล่าเนื้อของนายพรานเจตบุตรรุมทำร้าย
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวที่ชูชก เดินทางไปถึงปากทางเข้าเขาวงกตก็พลันเจอเข้ากับหมาล่าเนื้อกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นบริวารของนายพรานเจตบุตรเข้า  กลุ่มหมาล่าเนื้อไม่รีรอพุ่งกระโจนตามกัดชูชกอย่างไม่ลดละ  ชูชกถูกหมาล่าเนื้อรุมกัดรุมทึ้งเสื้อผ้าจนหลุดลุ่ยเหลือเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียว  ปรากฏว่าหมาล่าเนื้อก็ตามจัดผ้าขาวม้าของชูชกจนหลุดออกมาจากเรือนกาย กลายเป็นทัศนอุจาดตาพอควร


11. ชูชก หลอกล่อนายพรานเจตบุตร
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวตอนที่นายพรานเจตบุตรเข้ามาช่วยชูชกจากฝูงหมาล่าเนื้อของตน  จากนั้นจึงนำชูชกมายังที่พักเพื่อถามไถ่ถึงเหตุผลที่เดินทางมายังเขาวงกต  ขณะที่นายพรานเจตบุตรเข้ามาถามว่าชูชก เป็นใคร คราวนี้แลชูชกนั้นหัวไวกว่านายพรานเจตบุตรมาก หลอกล่อนายพรานด่านหน้าแห่งเขาวงกตไปว่า ?อันข้าพเจ้านั้นเป็นกัลยาณมิตรกับพระเวสสันดร และที่มาวันนี้นั้นก็เพื่อทูลเชิญพระเวสสันดร พระนางมัทรี รวมทั้งพระโอรส-พระธิดา กลับพระนครตามบัญชาแห่งพระราชาแคว้นสีพีราษฎร์? นายพรานเจตบุตรนั่งลงบนเก้าอี้  แล้วจึงชี้เส้นทางในการเดินป่าเขาวงกตมุ่งสู่อาศรมพระเวสสันดรให้ชูชก

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

12. ชูชกลวง อจุตฤาษี
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวของ อจุตฤาษี ผู้ทรงศีลแห่งป่าเขาวงกต ถูกชูชกใช้กลอุบายลวงหลอกให้บอกทางไปยังอาศรมของพระเวสสันดร  ชูชกลวงอจุตฤาษีว่าตนเป็นกัลยาณมิตรกับพระเวสสันดร(อีกแล้ว) อจุตฤาษีหลงเชื่อจึงบอกทางสู่อาศรมกลางป่าให้



13. พระนางมัทรีออกเก็บผลไม้ป่า
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวในตอนที่พระนางมัทรีออกเก็บผลไม้ป่า เพื่อไว้สำหรับเป็นเครื่องยังชีพในการบำเพ็ญพรตในป่าเขาวงกต  ชูชกนั้นมาถึงอาศรมของพระเวสสันดรนานแล้ว แต่ยังรอคอยให้ถึงเวลาที่พระนางมัทรีออกไปเก็บผลไม้ป่าเสียก่อนจึงจะเข้าไปขอ 2 เด็กน้อยจากพระเวสสันดร



14. ชูชก เข้าไปขอพระโอรส-พระธิดา ของพระเวสสันดร
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวในตอนที่ ชูชกฉวยโอกาสในตอนที่พระนางมัทรีออกไปเก็บผลไม้ป่า  เข้าไปขอพระโอรส-พระธิดาจากพระเวสสันดร  ปรากฏว่าพระโอรส-พระธิดาได้หนีลงไปซ่อนตัวในสระโบกขรณีหลังอาศรมเสียแล้ว  อาศัยใบของดอกบัวเป็นเพียงเครื่องกำบังกาย  พระเวสสันดรจึงเดินก้าวย่างมายังสระโบกขรณีแล้วอธิบายถึงการบำเพ็ญทานที่ยิ่งใหญ่  จากนั้นจึงตั้งค่าไถ่พระโอรส-พระธิดาไว้สูงมาก พร้อมทั้งกระทำการหลั่งน้ำอุทิศให้แก่ชูชกที่อาศรม

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

15. ชูชก ได้พระโอรส-พระธิดา ของพระเวสสันดร
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวหลังจากที่พระเวสสันดรกระทำการหลั่งน้ำอุทิศให้แก่ชูชกที่อาศรมเสร็จแล้ว  ก็ใช้เชือกที่ตระเตรียมมามักมือของพระโอรส-พระธิดา พลางใช้ไม้เท้ารูปหัวงูเฆี่ยนตีต่อหน้าพระเวสสันดรอย่างน่าเวทนา จากนั้นจึงลากพระโอรส-พระธิดาออกจากอาศรมไป



16. พระอินทร์ แปลงเป็นพราหมณ์ลงมาทูลขอพระนางมัทรี
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวหลังจากที่ชูชกได้พระโอรส-พระธิดา ของพระเวสสันดรไปแล้ว คราวนี้เองที่พระนางมัทรีได้วิ่งกลับมาถึงอาศรมพร้อมกับความโศกเศร้ายิ่ง  และเพื่อให้พระเวสสันดรบำเพ็ญทานบารมีที่เหลือให้ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น พระอินทร์จึงลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมจำแลงกายเป็นพราหมณ์หนุ่ม(แต่ดูจากภาพจิตรกรรมที่วัดคูเต่า ดูแล้วท่าจะไม่หนุ่มเสียเท่าไหร่)เข้ามาทูลขอพระนางมัทรี  พระเวสสันดรนั้นรู้ถึงทานบารมีอันยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้าจึงกระทำการหลั่งน้ำอุทิศให้แก่พราหมณ์หนุ่มตามที่ต้องการ  ฝ่ายพระอินทร์แปลงเมื่อรับพระนางมัทรีมาแล้วก็ถวายพระนางกลับคืนแก่พระเวสสันดร พร้อมแสดงตนว่าเป็นองค์อินทร์จำแลงตัวมา  จากนั้นจึงประทานพร 8 ประการแก่พระเวสสันดรแล้วจึงกลับสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พร 8 ประการที่พระอินทร์ประทานแก่พระเวสสันดร
                1. ขอให้พระบิดาหายโกรธ และจัดขบวนมารับเข้าเมือง
                2. ขอให้นักโทษผู้ทนทุกข์ทั้งหลายได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการ
                3. ขอให้พระองค์มีทรัพย์ เพื่อประทานแก่คนยากจน
                4. ขออย่าให้ประพฤติผิดในภรรยาผู้อื่น
                5. ขอให้พระโอรสของพระองค์เก่งกล้าสามารถปราบศัตรูได้รอบทิศ
                6. ขอให้ฝนแก้ว 7 ประการตกลงมาประทานความชุ่มฉ่ำและอยู่เย็นเป็นสุขทั่วพระนคร
                7. ทรัพย์ที่พระองค์มีไว้พระราชทานแก่ประชาชนขออย่ามีวันหมด
                8. เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว ขอให้อุบัติยังสรวงสวรรค์ชั้นดุสิต(ดุสิต คือ สวรรค์ชั้นที่ 4 สูงกว่าจาตุมหาราชิกา  ดาวดึงส์  และยามา  แต่ต่ำกว่าชั้นนิมมานรดี) และเมื่อถึงเวลาอันควรแล้วขอให้พระองค์ลงมาจุติยังโลกมนุษย์ เพื่อบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในกาลอันใกล้นี้ด้วย



17. ชูชกถูกเทวดาแกล้งให้หลงป่าจนพบเข้ากับทหารนครสีพี
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวตอนที่ชูชกกำลังเดินป่าอยู่  ซึ่งทำให้พระโอรส-พระธิดา ของพระเวสสันดรได้รับทุกข์เวทนายิ่ง เหล่าเทวาอารักษ์ในป่าจึงช่วยกันดลบันดาลให้ชูชกเดินหลงอยู่ในป่า ตกกลางคืนก็นำผลไม้ป่ารสเลิศมาถวายแก่พระโอรส-พระธิดาพร้อมทั้งบีบนวดให้หายเมื่อย  จวบจนชูชกเดินหลงป่ามาหลายวันมาออกที่ชานเมืองนครสีพี พบเข้ากับทหารวังนายหนึ่ง(สังเกตว่าตัวทหารวังนายนี้อาจได้รับอิทธิพลของศิลปะมลายู หน้าเลยเหมือนแขกมลายู)ที่ไหล่ขวาสะพายปืนไว้อย่างอาจอง ได้เข้ามาซักถามทราบความว่าเด็กทั้ง 2 เป็นพระโอรส-พระธิดา ของพระเวสสันดร จึงนำพาชูชกเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสญชัย

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

18. ทหารวังนำ ชูชกเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวที่ชูชก ได้เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี  ฝ่ายพระเจ้ากรุงสญชัยเองทรงทราบเรื่องที่พระเวสสันดรตั้งราคาค่าไถ่พระโอรส-พระธิดาเอาไว้แพงยิ่ง แต่กระนั้นด้วยความสงสารหลานๆจึงมีรับสั่งให้ทหารวังเบิกพระราชทรัพย์มาไถ่พระชาลีกุมาร และพระกัณหากุมารี ซึ่งตีค่าด้วยทรัพย์สินดังนี้คือ พระชาลีกุมาร เป็นชายให้ไถ่ด้วยทรัพย์พันตำลึงทอง  ส่วนพระกัณหากุมารี เป็นหญิงจึงตีค่าตัวเอาไว้สูงด้วยทรัพย์เจ็ดชีวิต เจ็ดสิ่ง สิ่งล่ะเจ็ดร้อย  เช่น ข้าทาสบริวารชาย-หญิง เป็นต้น บวกกับทรัพย์อีกร้อยตำลึงทอง  หลังจากไถ่ถอนตัวหลานทั้ง 2 เสร็จสิ้นแล้วพระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี ยังจัดเลี้ยงอาหารแก่ชูชกเป็นอันมาก  เป็นอาหารดีๆที่ชูชกไม่เคยได้กินได้ทานมาก่อน  ชูชกบริโภคอาหารเหล่านั้นมากเกินพอดีจนท้องแตกตาย  พระเจ้ากรุงสญชัยก็ทรงจัดงานศพให้พร้อมทั้งประกาศหาผู้รับมรดก  ซึ่งนางอมิตตาภรรยาสาวของชูชกเองเข้าใจว่าพระเจ้ากรุงสญชัยลวงให้ตนออกมารับมรดกแล้วจะจับตนมาทำโทษ  เนื่องด้วยรู้ว่านางอมิตตาต้องการนำพระโอรส-พระธิดา ทั้ง 2 ของพระเวสสันดรมาเป็นข้าทาส  นางรู้และเชื่อดังนั้นจึงหลบหนีเตลิดไปไกลทั้งๆที่ฝ่ายพระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี กระทำการด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ตาม หลังจากประกาศหาผู้รับมรดกอยู่นานแต่ไม่มีผู้ใดกล้ามารับพระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี จึงมีดำริให้จัดกระบวนเสด็จเพื่อไปรับพระเวสสันดร



19. พระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี จัดกระบวนเสด็จเพื่อไปรับพระเวสสันดร
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวในตอนที่พระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี มีดำริให้จัดกระบวนเสด็จเพื่อไปรับพระเวสสันดร และพระนางมัทรี ที่ป่าเขาวงกต กลับสู่มหานครเมืองสีพี ตามมติของประชาชนชาวเมือง เนื่องด้วยประชาชนทั้งหลายเป็นที่เข้าใจแล้วว่าทานบารมีที่พระเวสสันดรกระทำทั้งหมดนั้นยิ่งใหญ่กว่ามหาทานบารมีทั้งหมดที่มีอยู่ และก็เพื่อประโยชน์แก่ผู้คนทั้งหลาย หาใช่เพื่อพระองค์เองไม่  เป็นดังนั้นพระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี จึงทรงรถม้าเสด็จมุ่งสู่เขาวงกตในบัดนั้น โดยมานายทหารวังแห่งนครสีพีนำเสด็จ



20. พระเวสสันดร และพระนางมัทรี ทรงช้างปัจจัยนาเคนทร์ กลับสู่พระนคร
                งานจิตรกรรมไทยฉากนี้แสดงเรื่องราวหลังจากที่พระเจ้ากรุงสญชัย และพระนางผุสดี พระโอรส-พระธิดา(ชาลี-กัณหา) พระเวสสันดร  และพระนางมัทรี ได้พบเจอกันที่อาศรมริมสระโบกขรณี กลางป่าเขาวงกต  พระเจ้ากรุงสญชัย ตรัสบอกแก่พระเวสสันดร ว่าประชาชน ชาวเมืองสีพีให้อภัย และเข้าใจในสิ่งที่พระองค์กระทำแล้ว จากนั้นจึงทูลเชิญกลับสู่นครสีพี  ด้วยความดีใจและเสียใจพร้อมๆกันนั้น กษัตริย์ทั้ง 6 พระองค์จึงทรงกรรแสง(ร้องไห้)จนถึงวิสัญญีภาพ(หมดสติ) พระอินทร์นั่งจ้องมองอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จึงทรงดลบันดาลให้มีฝนฝนแก้ว 7 ประการ(ฝนโบกขรพรรษ)ตกในที่ประชุมนั้น  ทั้งหมดจึงคืนแก่สติ  ฝ่ายพระเวสสันดร และพระนางมัทรีได้ทรงลาผนวชและเสด็จกลับสู่นครสีพีด้วยช้างปัจจัยนาเคนทร์ที่ได้รับคืนจากคณะพราหมณ์เมืองกาลิงคะ กลับสู่พระนคร  ซึ่งต่อมาพระเวสสันดรได้เสด็จขึ้นเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรมตลอดพระชนมายุ  ครั้งกาลเวลาล่วงเลยผ่านจวบจนพระเวสสันดรสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็ไปบังเกิดเป็น ?สันดุสิตเทวบุตร? บนสวรรค์ชั้นดุสิตสมดั่งความมุ่งหมายของพระองค์

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

ซุ้มประตูวัดคูเต่า งานรังสรรค์สร้างที่แฝงคติชวนคิด
                เป็นซุ้มประตูที่กำลังก่อสร้างใหม่ด้านบนเป็นรูปพระพุทธองค์กำลังนั่งสมาธิบนดอกบัวบาน มีฐานเป็นกลีบบัวคว่ำอันตั้งตระหง่านอยู่บนพญาเต่าขนาดใหญ่  เบื้องล่างเป็นรูปก้อนเมฆลอยอยู่บนฟากฟ้ามีพญามังกร 2 ตนกำลังเล่นก้อนเมฆอยู่  ฐานด้านล่างเป็นรูปเต่า 2 ตัวกำลังคลานอยู่บนหินขนาดใหญ่มีความหมายคือแสดงความทนถาวร แข็งแกร่งมั่นคง และเป็นมงคล จากการสอบถาม พระอธิการถาวร ถาวโร เจ้าอาวาสวัดคูเต่ารูปที่ 6 (รูปปัจจุบัน)จึงทำให้พอที่จะทราบว่าท่านเป็นผู้ออกแบบในการจัดสร้างซุ้มประตูและประติมากรรมตกแต่งชิ้นนี้ด้วยตนเอง ส่วนช่างที่ใช้สร้างงานเป็นช่างฝีมือเดินทางมาจากจังหวัดพัทลุง ใช้เรซิ่นในการสร้างโดยมาก ส่วนรูปเต่าประดับซุ้มประตูนั้นมีความหมายเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงฝูงเต่าที่เคยมีมากในบริเวณสระน้ำของวัดมาก่อน ต้นแบบของตัวโครงสร้างเต่าใช้เต่าดำ หรือเต่าภูเขาสันกาลาคีรี(เต่า 6 ขา) เป็นแบบ ส่วนบัวที่พระพุทธองค์ใช้สำหรับนั่งสมาธิอยู่นี้เปรียบได้ดั่งบัว 4 เหล่าคือ บัวพ้นน้ำ  บัวปริ่มน้ำ บัวใต้น้ำ  และบัวที่อยู่ในโคลนตม หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจในลักษณะแบบอย่างพระพุทธเจ้าท่านทรงหยั่งเห็นสันดานของมนุษย์ประดุจดังดอกบัว 4 เหล่าดั่งครั้งเมื่อพระพุทธองค์ทรงรับคำอาราธนาของท้าวสหัมบดีพรหมแล้วว่า
                1. อุคฆติตัญญุ คือ มนุษย์พวกฉลาดมากเปรียบดั่งบัวพ้นน้ำ คือ ได้ฟังหัวข้อธรรมะที่ยกขึ้นมา ก็สามารถจะเข้าใจได้โดยง่าย
                2. วิปจิตัญญู คือ มนุษย์พวกฉลาดพอควรเปรียบดั่งบัวปริ่มน้ำ คือ ได้ฟังหัวข้อธรรมะที่ยกขึ้นมาแล้วฟังคำอธิบายก็สามารถที่จะเข้าใจได้
                3. เยยะ  คือ มนุษย์พวกฉลาดปานกลางเปรียบดั่งบัวใต้น้ำ  คือ มีโอกาสที่จะโผล่ขึ้นมาได้ในวันต่อๆไป เมื่อได้รับการบ่มเพาะสติปัญญาก็สามารถที่จะเข้าใจในธรรมะได้
                4. ปทปรมะ คือ มนุษย์ผู้โง่เขลาเปรียบดั่งบัวที่อยู่ในโคลนตม คือ ยากที่จะสอนให้เข้าใจได้ ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจได้
                นอกจากนี้หากสังเกตให้ดีจะพบว่างานจิตรกรรม  งานประติมากรรม  รวมถึงงานสถาปัตยกรรมที่มีการสร้างขึ้นโดยมีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากพระพุทธศาสนามักนิยมสร้างส่วนประกอบของงานดังกล่าวเป็นรูปบัวคว่ำ-บัวหงาย  อาทิ  ฐานของพระพุทธรูป  ส่วนประกอบลวดลายประดับองค์พระเจดีย์  ปลายเสาอุโบสถ  วิหาร  ตลอดจนสิ่งก่อสร้างอื่นๆก็ล้วนมีมูลเหตุที่ต้องการจะบอกให้ทราบเป็นนัยว่าดอกไม้ชนิดนี้เป็นของเกิดในน้ำ  โดยกลีบบัวคว่ำหมายถึงชาติกำเนิดเกิดในน้ำ  ส่วนกลีบบัวหงายหมายถึงลักษณะอันปรากฏในปัจจุบัน  เป็นต้น
                อนึ่ง  ในลัทธิจีนนิยมล้วนเชื่อว่า ดอกบัว นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งการผุดพ้นน้ำด้วยความใสบริสุทธิ์ และยังเชื่ออีกด้วยว่าดินแดนแห่งดอกบัวเป็นแดนสุขาวดี
                ส่วนมังกรเล่นก้อนเมฆนี้เป็นคติที่ได้มาจากลัทธิจีนนิยม เพื่อสื่อให้เห็นว่ามีชาวจีนมาตั้งรกรากที่นี่เป็นเวลาเนินนานแล้ว มังกรที่เห็นมี 5 เล็บจึงเชื่อได้ว่าเป็นมังกรชั้นสูงมักใช้กับเครื่องทรงขององค์จักรพรรดิ  นอกจากนี้ยังเชื่อด้วยว่าการสร้างงานประติมากรรมประดับซุ้มประตูด้วยรูปมังกรคู่ มีความหมายในคติแบบจีนนิยม คือ ?ที่ใดก็ตามสร้างเป็นสัญลักษณ์แบบมังกรคู่ โดยสร้างอยู่ตนละข้างประตู ให้ความหมายถึงการมีอำนาจ 2 เท่าทวีคูณ หรืออำนาจที่เหนืออำนาจ เป็นอำนาจที่สูงสุด ใช้ในการแสดงการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเดิมไปสู่สิ่งที่ดีกว่า?  ส่วนก้อนเมฆที่มังกรทั้งคู่เล่นอยู่นี้ในลัทธิจีนนิยม ให้ความหมายเอาไว้ว่า น่าจะหมายถึง ?ลายมังกรดั้นเมฆ? คือลายมังกรที่เชื่อกันว่าบันดาลให้เกิดฝนตกได้ เป็นต้น


****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

วัดคูเต่าภาควิเคราะห์

                พระพุทธศาสนา ถือเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาแต่ครั้งอดีตกาล พระพุทธศานาเป็นศาสนาที่ชนชาติไทยนับถือสักการบูชากันในลักษณะที่มีความเชื่อและเลื่อมใสอย่างฝังรากลึกภายในจิตวิญญาณ จนก่อให้เกิดการสร้างวัดขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของพุทธศาสนิกชนและแพร่หลายกระจายไปในดินแดนส่วนต่างๆในประเทศไทย วัดคูเต่าก็เช่นเดียวกันถือเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวบ้านแม่ทอม ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลามาอย่างยาวนานแต่ครั้งรุ่นปู่ย่าตาทวด ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนหนึ่งเชื่อได้ว่าคำว่า ?คูเต่า? นี้มีที่มาจากการขุดคูของชาวจีนในท้องที่เพื่อใช้ในการลำเลียงไม้เสม็ดมาใช้ทำเป็นที่ค้ำกิ่งต้นส้ม ในบริเวณคูที่ขุดขึ้นนี้เองที่มีบรรดาเต่าใหญ่น้อยขึ้นมาจากคูเป็นจำนวนมากจึงเรียกว่า ?คูเต่า? ซึ่งการเรียกชื่อหมู่บ้าน หรือวัดในลักษณะดังกล่าวมานี้จัดอยู่ในประเภท ?ประวัติชื่อหมู่บ้านที่มีสภาพแวดล้อมตามชื่อของสัตว์?  นอกจากนี้ยังพบว่าภายในวัดคูเต่าปรากฏลักษณะพุทธศาสนาเน้นกับการผสมผสานความเชื่อของท้องถิ่นเดิมอย่างแนบแน่น อาทิ ความเชื่อในเรื่องของ ?ทวด? เช่น รูปเคารพบูชาหลวงพ่อทวดภายในเจดีย์บรรจุอัฐิพระครูสุคนธศีลาจาร หรือหลวงพ่อหอม ปุญญมาโน และพระคุณสารพิสุทธิ์ (หลวงพ่อหวั่นเซี้ย คุณปาโล) เป็นต้น อีกทั้งความเชื่อในเรื่องปัจเจกบุคคลของท่าน เจ้าอาวาสวัดคูเต่า รูปที่ 3 (พระอุปัชฌาย์หนู ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ปี พ.ศ. 2399-2451)นั้นท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ คือ หากท่านพูดหรือว่ากล่าวสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงขึ้นมา ประการหนึ่งเชื่อกันว่าท่านมักใช้การปกครองคนโดยยึดหลัก  ?การปกครองคนโดยอิทธิฤทธิ์?  หรือการใช้วาจาสิทธิ์ในการปกครองคนหมู่มากให้เชื่อฟัง เป็นต้น ด้านการสร้างอุโบสถเชื่อได้ว่ารับอิทธิพลมาจากลัทธิทางพุทธศาสนาอย่างชัดเจน คือ สร้างอุโบสถออกเป็น 3 ส่วนเปรียบดั่ง 3 ภพภูมิ ตอนล่างสุดเปรียบเป็นนรกภูมิ  ผนังอุโบสถเปรียบเป็นมนุษย์ภูมิ และส่วนหลังคาอุโบสถเปรียบเป็นสวรรค์ภูมิ  ศิลปะประดับอุโบสถวัดคูเต่าโดยเฉพาะบริเวณตรงส่วนของหน้าบันนั้นพอที่จะวิเคราะห์ได้ว่าล้วนได้รับอิทธิพลทางศิลปะมาจากในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 กล่าวคือในสมัยนั้นนิยมทำหน้าบันเป็นรูปพระพรหมทรงหงส์ ดังหน้าบันอุโบสถวัดคูเต่าฝั่งซุ้มประตูเข้า ซึ่งลักษณะหน้าบันดังกล่าวนี้มีปรากฏให้เห็นเป็นการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมแขนงสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมไทยจากรั้วเมืองหลวงมาสู่เมืองใหญ่ทางตอนใต้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังปรากฏการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมของศิลปะต่างชาติด้วย อาทิ ประติมากรรมรูปสิงโตที่ประดับบริเวณภายนอกอุโบสถอันถือเป็นศิลปวัฒนธรรมและความเชื่อในแบบจีนนิยม  ศิลปะสายพราหมณ์-ฮินดู รูปประติมากรรมพระพิฆเนศวรประดับภายในอุโบสถ  ศิลปะมลายู รูปจิตรกรรม อาทิ นายทหารวังเมือสีพี ซึ่งมีโครงของใบหน้า  การแต่งกาย  รวมทั้งใช้อาวุธปืนแบบทหารมลายู  เป็นต้น


                                                                                                          เขียน,เรียบเรียง  :  คุณาพร  ไชยโรจน์
                                                                                                        ถ่ายภาพ            : กิตติพร  ไชยโรจน์
                                                                                                                          11เมษายน ปี พ.ศ. 2551

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0