ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

บทความพิเศษ……เล่าเรื่องผีในวิถีไทยถิ่นใต้ (Ghost Stories in southern Thailand.)

เริ่มโดย คุณาพร., 23:54 น. 30 ก.ค 53

คุณาพร.

บทความพิเศษ......เล่าเรื่องผีในวิถีไทยถิ่นใต้ (Ghost Stories  in southern Thailand.)

              ถ้าจะกล่าวกันถึงเรื่องที่คนไทยถิ่นใต้ทั่วไปแบบเราๆท่านๆนิยมนำมาเล่าสู่กันฟังในแวดวงสนทนาอยู่บ่อยครั้งและเป็นที่นิยมกัน  "เรื่องผี" คงเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย  เหตุที่เรื่องผีเป็นที่ชื่นชอบในการยกเข้าสู่หัวข้อประเด็นในวงสนทนาก็คงสืบเนื่องมาจากนิสัยของคนไทยที่ล้วนเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอย่างยาวนานแต่ครั้งบรรพกาลว่าจะสามารถดลบันดาลให้แคล้วคลาดปกป้องคุ้มครองพานพบกับความสุขความเจริญได้  คนไทยถิ่นใต้เชื่อในสิ่งเหล่านี้มากแม้น ณ ห้วงเวลานั้นภาคใต้ของไทยยังไม่มีศาสนาเข้ามาเผยแผ่เหมือนเฉกเช่นยุคปัจจุบัน

             ผี คืออะไร?  จากการค้นคว้าเพิ่มเติมของผู้เขียนในตำรับตำราเล่มต่างๆตลอดจนจากการ Search ใน Website ทางวิชาการ พออธิบายถึงความหมาย ตลอดจนบริบทเพิ่มเติมของคำว่า "ผี" ได้ดังต่อไปนี้
             ใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หน้า 735 อธิบายเอาไว้ว่า ผี น. สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและร้าย
           
             ใน ปทานุกรมนักเรียน(ฉบับปรับปรุงใหม่) ของ เปลื้อง ณ นคร ปี พ.ศ. 2535 หน้า 206 ได้อธิบายความหมายของคำว่า "ผี" เอาไว้ว่า ผี หมายถึง สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ อาจให้คุณหรือให้โทษได้
             
             ในหนังสือเรื่อง คติชาวบ้านไทย ของ เจือ สตะเวทิน ไม่ระบุปีที่พิมพ์ หน้า 8-9 ได้อธิบายความหมายของคำว่า "ผี" เอาไว้ว่า ผีนั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด มีทั้งที่ให้คุณและให้โทษ ผีที่ให้คุณก็ยกย่องบูชาและเซ่นไหว้ ส่วนผีที่ให้โทษเราก็มีวิธีเซ่นไหว้ขอไม่ให้ทำอันตราย
     
               ใน Wikipedia ได้อธิบายสรุปความหมายของคำว่า ผี เอาไว้ว่า ในคติชน นิยายปรัชญา และวัฒนธรรมความเชื่อเรื่องผีนั้น ล้วนมีความเชื่อว่าผีคือคนที่สูญสิ้นชีวิตไปแล้ว  ดวงวิญญาณจึงออกจากร่าง  ผีสามารถปรากฏกายคนปกติให้เห็นได้ในบางครั้ง  มนุษย์สามารถติดต่อกับผีได้ด้วยผู้ใช้เวทย์มนต์ หรือคนทรงเจ้าเข้าผี (ข้อมูลจาก Wikipedia เรื่อง Ghost ใน http://en.wikipedia.org/wiki/Ghost#European_folklore วันที่ 30 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2553)
           
              และใน Modern English-Thai Dictionary ปี พ.ศ.2538 ไทยวัฒนาพานิช  หน้า 292  อธิบายสรุปความหมายของคำว่า ผี เอาไว้ว่า  ผี หรือ Ghost n. หมายถึง ผี หรือมีความหมายรวมถึงปีศาจก็ได้
             
            จากข้อมูลที่ได้กล่าวอ้างมาข้างต้นจึงพอสรุปได้ว่า  ผี  หมายถึง  สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับอาจให้คุณหรือให้โทษได้  ผีหรือมีความหมายรวมถึงปีศาจก็ได้  ในคติชน นิยายปรัชญา และวัฒนธรรมความเชื่อเรื่องผีนั้น ล้วนมีความเชื่อว่าผีคือคนที่สูญสิ้นชีวิตไปแล้ว  ความเชื่อเรื่องผีในประเทศไทยหากเป็นผีที่ให้คุณเราก็ยกย่องบูชาและเซ่นไหว้ ส่วนผีที่ให้โทษเราก็มีวิธีเซ่นไหว้ขอไม่ให้ทำอันตราย 

              ความเชื่อเรื่องผีของคนไทยถิ่นใต้เท่าที่รู้มาในสมัยก่อนที่ยังมิได้รับพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นศาสนาประจำชาตินั้น  คนไทยถิ่นใต้ล้วนนับถือผี หรือดวงวิญญาณประจำถิ่นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของพวกตนอย่างฝังรากลึก  เรียกกันว่า "คติถือภูตผีและดวงวิญญาณประจำถิ่น"  อันมีความเชื่อว่ามีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ในสิ่งที่พวกตนเคารพบูชา  เช่นในต้นไม้ใหญ่  จอมปลวก  แม่น้ำ  ภูเขา  ก้อนหิน  เป็นต้น  ซึ่งในเรื่องนี้ รศ.ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม ได้กล่าวเพิ่มเติมเอาไว้ในหนังสือศาสนาเปรียบเทียบ ปี พ.ศ. 2542 หน้า 13 ว่า การเข้าใจและถือว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสิ่งที่ตนนับถือ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้นไม้ใหญ่ ภูเขา เป็นต้น เป็นความเชื่อที่มีมาก่อนยุคพระเวทในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กล่าวกันว่าเป็นลักษณะของวิญญาณนิยม หรือ Animism วิญญาณเช่นนี้เองที่สามารถจะให้คุณให้โทษแก่มนุษย์ได้

;)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

หลังจากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในราวปี พ.ศ. 236  โดยความอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดียในขณะนั้น  ประเทศไทยที่ยังอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า "สุวรรณภูมิ" ได้ตอบรับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งนี้อย่าดียิ่ง  เป็นดังที่ Wikipedia ได้อธิบายถึงกระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นดังนี้  พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อประมาณ พ.ศ. 236 สมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ 9 สาย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดีย ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ทั้ง 7 ประเทศในปัจจุบัน ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซึ่งสันนิษฐานว่ามีใจกลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐมของไทย เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่นพระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ แต่พม่าก็สันนิษฐานว่ามีในกลางอยู่ที่เมืองสะเทิม ภาคใต้ของพม่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สุวรรณภูมิในยุคนี้ นำโดยพระโสณะและพระอุตตระ พระเถระชาวอินเดีย เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาในแถบนี้ จนเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ (ข้อมูลจาก Wikipedia เรื่อง พุทธศาสนาในประเทศไทย ใน  http://th.wikipedia.org  วันที่ 30 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2553)

             ชาวไทยถิ่นใต้ ณ ขณะนั้นเองมีลัทธิประจำถิ่น  หรือคติถือภูตผีและดวงวิญญาณประจำถิ่นไว้สำหรับยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้ได้เคารพนับถืออยู่แล้ว  แต่ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาด้วย  จึงทำให้รับเอาศาสนาพุทธเข้ามาเป็นศาสนาของหมู่ตนด้วยโดยไม่ทิ้งรากทางความเชื่อเดิม  ซึ่งกลับเอามาผสมผสานรวมเข้าด้วยกันกับพระพุทธศาสนา  เป็นการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธกับลัทธิเดิมที่เคารพบูชาสืบทอดกันมาแต่  เป็นดังที่ ชัยวุฒิ พิยะกุล ได้ศึกษาไว้ว่า ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนาบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลาก่อเกิดจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย  ก่อเกิดจากการผสมผสานของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ผู้คนนับถือวิญญาณ ผีสาง เทวดา อารักษ์ พุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  และศาสนาอิสลาม  ศาสนาเหล่านี้ได้ผสมกลมกลืนจนกลายเป็นวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น (ชัยวุฒิ พิยะกุล บทความเรื่องพัฒนาการของพุทธศาสนาบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา พ.ศ.2442-2542 ใน เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ  ทะเลสาบในกระแสความเปลี่ยนแปลง  :   ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและกระบวนทัศน์การพัฒนา 2546  หน้า 22)

              การผสมผสานเรื่องราวทางความเชื่อนี้เองก่อให้เกิดพระพุทธศาสนาในแนวทางผสมผสาน  ที่เป็นการผสมกันระหว่างพื้นความเชื่อเดิมของชนในถิ่นกับศาสนาที่แผ่กระจายมาจากประเทศนอก  ความเชื่อเดิมที่ยังคงดำรงอยู่ก็อาทิ  ความเชื่อในเรื่องทวด  ความเชื่อในเรื่องพัง  เป็นต้น  ซึ่งในเรื่องของการผสมผสานทางความเชื่อและศาสนานี้ รศ.ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม ได้อธิบายเพิ่มเสริมเอาไว้ว่า มิใช่มีแต่เพียงในประเทศไทย  แต่ยังเกิดขึ้นในอีกหลายๆที่  อาทิ  ในยุคพระเวท(ประมาณ 1000-100 ปี ก่อนพุทธกาล)พวก "อารยัน" ซึ่งเป็นพวกผิวขาวได้เดินทางมาจากตอนใต้ของรัสเซีย เข้ามาขับไล่พวก "ดราวิเดียน" ซึ่งเป็นพวกผิวดำและเป็นชนพื้นเมืองเดิมของอินเดีย  พวกดราวิเดียนบางพวกได้พากันหนีไปอยู่ศรีลังกาและไปเป็นชนพื้นเมืองเดิมของศรีลังกา  บางพวกก็ได้สืบเชื้อสายผสมเผ่าพันธุ์กับพวกอารยันกลายเป็นคนอินเดียในปัจจุบัน  คนอารยันนับถือพระอาทิตย์  ส่วนพวกชนพื้นเมืองเดิมบูชาและนับถือไฟ  พวกอารยันเห็นว่าความเชื่อของตนเข้ากันได้กับความเชื่อของพวกดราวิเดียน  จึงได้พยายามเผยแผ่ความเชื่อของตนโดยชี้ให้เห็นว่า  ดวงไฟที่ยิ่งใหญ่นั้นคือดวงอาทิตย์  จึงควรนับถือพระอาทิตย์ที่เป็นที่มาของไฟทั้งปวงในโลกมนุษย์  โดยวิธีนี้ทำให้แนวความคิดทางสาสนาของชนพื้นเมืองเดิมกับของพวกอารยัน ผสมผสานเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นศาสนาพราหมณ์ขึ้น (รศ.ดร.สุจิตรา อ่อนค้อม  หนังสือศาสนาเปรียบเทียบ  สำนักพิมพ์ดวงแก้ว  ปี พ.ศ. 2542 หน้า 12)

             ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าการผสมผสานดังกล่าวนั้นก่อให้เกิดพระพุทธศาสนาในแนวทางผสมผสาน  ซึ่งยังดำรงรากทางความเชื่อเดิมของชนในถิ่นเอาไว้อย่างแนบแน่น  ซึ่งความเชื่อหนึ่งที่ยังคงคงอยู่จวบจนยุคปัจจุบันก็คือ  ความเชื่อในเรื่องทวด  ซึ่งทวด (tuad) หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ในหมู่ของชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอันเรียกตนเองว่า "ไทยสยาม" ดังมีความเชื่อร่วมกันว่า ทวด เป็นดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พ่อ แม่ ของปู่ย่าตายาย บรรพชน หรือผู้มีบุญวาสนาที่ล่วงลับดับสูญไปแล้ว และรวมถึงเทวดากึ่งสัตว์ ประเภทพญาสัตว์ อันมีลักษณะพิเศษที่สง่าและน่ายำเกรงกว่าบรรดาสัตว์สามัญปกติโดยทั่วไป มีความเชื่อร่วมกันว่าหากเซ่นสรวงบูชาแก่ทวดแล้วจะก่อให้เกิดความรุ่งเรืองและได้รับความคุ้มครองตามมา แต่หากมีการลบหลู่ดูหมิ่นก็จะได้รับโทษ ผลเสีย รวมถึงความวิบัติตามมาในไม่ช้า

             ทวดในวัฒนธรรมทางความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้มีปรากฏให้ได้พบเห็นอยู่อย่างมากมาย  อาทิ  ทวดในรูปคน  ทวดในรูปต้นไม้  ทวดไร้รูป  นอกจากนี้ยังปรากฏทวดในรูปสัตว์ อันเป็นทวดที่เชื่อกันว่าดำรงตนอยู่ในรูปแบบ  "กึ่งเทวดากึ่งสัตว์"  เป็นพญาสัตว์มีความสามารถและเดชานุภาพให้คุณและให้โทษได้  เช่น ทวดงู  ทวดจระเข้  ทวดช้าง  และทวดเสือ  เป็นต้น

             จากการศึกษาตำนานทางความเชื่อ เอมอร  บุญช่วย ได้สรุปความหมาย และแบ่งประเภทของทวดเอาไว้สรุปได้ดังนี้ว่า   ทวด  หมายถึง ดวงวิญญาณอันมีเดชานุภาพสูง ต้องมีการปฏิบัติบูชาเอาใจจึงจะให้คุณ และให้โทษหากมีการล่วงละเมิด ทวด แบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. ทวดที่เชื่อว่าเป็นรูปคน เช่น ทวดคำแก้ว ตำบลสะทิ้งหม้อ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เป็นต้น
2. ทวดที่เชื่อว่าไม่มีรูป  เช่น ทวดสระโพธิ์ ตำบลเชิงแส  อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา เป็นต้น
3. ทวดที่เชื่อว่าเป็นรูปสัตว์ เช่น ทวดแหลมจาก(ทวดจระเข้) ตำบลเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์  จังหวัดสงขลา  และทวดตาหลวงรอง(ทวดงู  หรือ งูทวด)ตำบลสะทิ้งหม้อ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เป็นต้น(เอมอร  บุญช่วย  วิทยานิพนธ์เรื่องศึกษาตำนานและความเชื่อที่เกี่ยวกับทวดในคาบสมุทรสทิงพระ จังหวัดสงขลา  ปี พ.ศ.2544 มหาวิทยาลัยทักษิณ หน้า 93)

              จัดว่าทวดนั้นก็คือผีอีกอย่างหนึ่ง  แต่เป็นผีในลำดับขั้นที่สูงกว่าผีในระดับโดยทั่วไปกล่าวคือเป็นผีเจ้า  หรือผีที่มีฤทธิ์อำนาจมากกว่าปกติ  หากเซ่นสรวงบูชาดีก็จักให้คุณ  แต่หากเซ่นสรวงบูชาไม่ดีหรือลบหลู่ดูหมิ่นก็อาจเป็นโทษได้  ผู้เขียนเองได้จัดจำแนกประเภทของทวดเอาไว้ว่าน่าจะจำแนกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้คือ ทวดในรูปคน,ทวดในรูปสัตว์,ทวดในรูปต้นไม้ เเละทวดไร้รูป(ไม่ปรากฏรูปร่าง)  นอกจากนี้ยังมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนบทความได้มีโอกาสเดินทางไปเก็บข้อมูลเรื่อง "ความเชื่อเรื่อง ทวด ในสถาบันการศึกษาจังหวัดสงขลา" ทำให้ได้รับทราบถึงความเชื่ออันมีตกทอดมาอย่างยาวนานของทวด 3 ตนคือ ทวดช้าง(ม.ราชภัฏสงขลา เเละ ม.ทักษิณ)ทวดเลียบ(ม.ทักษิณ)ทวดตาเดียว(วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่)จึงขอนำเสนอเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาร่วมกันดังต่อไปนี้

;)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

ทวดช้าง  หรือพ่อทวดช้าง  ทวดศักดิ์สิทธิ์ในรูปสัตว์(พญาช้างใหญ่)ผู้ทำหน้าที่ป้องปกในความเชื่อของชาวมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา  ทวดช้าง  หรือ  พ่อทวดช้าง  ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองสงขลา และในความเชื่อของชาวมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ถ.กาญจนวนิช ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา   โดยเชื่อกันว่าทวดช้าง หรือ พ่อทวดช้าง สถิตอยู่ในเขารูปช้างอันศักดิ์สิทธิ์  นักศึกษา  บุคลากร และชาวบ้านในแถบนี้ล้วนเชื่อว่าทวดช้างเป็นทวดศักดิ์สิทธ์ในรูปของพญาช้างใหญ่ นิยมเคารพกราบไหว้บูชามาช้านานแล้ว  และเชื่อตกทอดกันว่าพ่อทวดช้างจะช่วยดลบันดาลให้สามารถดำรงชีพอยู่อย่างปลอดภัยและเป็นสุขได้  นักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาหลายคนเชื่อว่าหากบูชาทวดช้างอย่างถูกต้องแล้วท่านจะดลบันดาลให้เรียนจบได้สมดั่งใจมุ่งหวังดังมีความเชื่อในเรื่องของพิธีกรรมการบูชาทวดช้างในมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาซึ่งจะทำการบวงสรวงท่านทุกปี(ราววันที่ 9-18 สิงหาคมของทุกปี) ดังนี้ ตั้งโต๊ะพิธีบูชาด้วยธูป 9 ดอก เทียน 2 เล่ม ดอกไม้นานาพันธุ์แล้วแต่จะหาได้  อ้อย  กล้วยน้ำว้า  ไข่ไก่ต้นสุกปอกเปลือก  และอาหารคามหวานต่างๆแล้วแต่จะถวาย

*****บทคาถาบูชาทวดช้าง หรือพ่อทวดช้าง*****
โอมคชชะ  เทวะปูชัง  สิทธิกิจจัง
ภะวันตุเม  สัพพะภะยัง  วินาศสันตุ
โอมประสิทธิการ  สะวะโหม

             ตำนานทวดช้าง ในความเชื่อของชาวมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลามีเล่าสืบทอดต่อๆกันมาว่า ท่านลักเก้า ผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สินเงินทองและมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าได้ทำการรวบรวมทรัพย์ แก้วแหวงเงินทองต่างๆนับได้มหาศาล ออกเดินทางจากสถานที่พำนับของตนเพื่อจะไปบรรจุใส่พระบรมธาตุเมืองนคร  พร้อมด้วยผู้ติดตามเป็นควาญช้างชื่อนายบังดอเลาะห์  ยายมาล่าห์  และบังสุม  รวมทั้งพญาช้างใหญ่ 2 เชือกคือ พ่อพลายแก้ว  และแม่พังงา  ออกร่วมเดินทางมาด้วย  ครั้งมาถึงบริเวณที่ตั้งของเขาใหญ่ลูกหนึ่งในอำเภอเมืองจังหวัดสงขลาก็เกิดพายุร้ายถาโถมเข้าใส่คณะของท่านลักเก้า  ท่านและคณะจึงหลบฝนอยู่บนเขาลูกดังกล่าว  แต่ไม่อาจต้านทานความรุนแรงของพายุร้ายได้  เป็นเหตุให้ควาญช้างทั้ง 2 และช้างทั้งหมดถึงแก่ความตาย  นำความเศร้าโศกมาสู่ท่านลักเก้าเป็นยิ่ง  ท่านจึงฝังศพควาญช้าง และพญาช้างใหญ่ทั้ง 2 ไว้บนยอดเขาลูกดังกล่าว

            ต่อมาจุดที่มีการฝังศพช้างดังกล่าวมีหินก้อนหนึ่งผุดขึ้นมามีลักษณะคล้ายพญาช้างใหญ่ชาวบ้านเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์เรียกว่าทวดช้าง  หรือพ่อทวดช้าง  เชื่อกันว่าท่านนั้นจะช่วยป้องปกผู้คนในพื้นที่ๆท่านดูแลให้ประสบอยู่แต่ความสุขความเจริญ  อนึ่ง  นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกเรื่องหนึ่งว่าทวดช้าง นั้นยังมีศิษย์เอกอีกตนหนึ่งเป็นพญางูเผือกขนาดใหญ่(หลายคนเชื่อว่าเป็นงูบองหลาเผือก/งูจงอางเผือก)  ครั้งหนึ่งพลทหารที่มาตั้งค่ายบริเวณหน้าเขารูปช้างได้จับมาตีจนถึงแก่ความตาย  และย่างกินเป็นอาหารจนเป็นเหตุให้ผู้ที่ได้กินเนื้องูเผือกตนดังกล่าวเข้าไปเกิดอาการเป็นใบ้  บ้างคนกลายเป็นบ้าเป็นบอไปเลยก็ว่า  จนผู้มีความรู้ต้องทำพิธีแก้บนจึงหายจากอาการดังกล่าว  นอกจากนี้บนยอดเขารูปช้างอันหันหน้าไปทางทิศตะวันตกยังเป็นที่ตั้งขององค์เจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ลักษณะเป็นเจดีย์ใหญ่ย่อมุมไม้สิบสอง  ก่ออิฐถือปูน  ส่วนยอดขององค์เจดีย์ถูกยิงได้รับความเสียหาย 

             ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ราวปี พ.ศ. 2484) ทหารปืนใหญ่ที่ 13 ค่ายสวนตูลได้ใช้เป็นที่สังเกตการณ์และเป็นที่ตั้งปืนใหญ่ยิงสู้รบกับเรือรบของทหารญี่ปุ่น  และระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เองที่ชาวบ้านบริเวณนี้นิยมขึ้นไปอยู่บนเขารูปช้างเพื่อหลบภัยสงครามและบนบานสานกล่าวขอให้ทวดช้าง หรือ พ่อทวดช้างช่วยคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัย  ส่วนตำนานหรือที่มาที่เรียกเขาลูกนี้ยังมีอีกตำนานหนึ่งซึ่งเล่าแตกต่างจากตำนานบทแรกมาว่าเขารูปช้างนั้นมีนิทานพื้นบ้านเล่าต่อๆกันมาว่า  ในสมัยก่อน นายแรง  ไปทำไร่ไถนาและเลี้ยงสัตว์อยู่ที่อำเภอกงหลา  จังหวัดพัทลุง  และอำเภอกระแสสินธุ์  จังหวัดสงขลา  อยู่มาวันหนึ่งมีช้างป่าลงมาจากเทือกเขาบรรทัด  ลงมายังพื้นราบและทำลายพืชผลไร่นาของชาวบ้านเสียหายเป็นจำนวนมาก  นายแรงรู้เข้าจึงเข้าสู้กับจ่าโขลงช้างป่า(หัวหน้าช้างป่า)และมีชัยชนะสามารถขับไล่ช้างป่าทั้งโขลงกลับสู่เทือกเขาบรรทัดได้  โดยจ่าฝูงของช้างป่าโขลงนี้เองที่นายแรงจับยกขึ้นเหนือศีรษะและทุ่มไปตกในเมืองสงขลากลายเป็น เขาลูกช้าง ภายหลังคนเรียกเพี้ยนเป็น เขารูปช้าง ดังปรากฏในปัจจุบัน 

             ทวดเลียบ ทวดศักดิ์สิทธิ์ในรูปต้นไม้(ต้นเลียบขนาดใหญ่)ผู้ทำหน้าที่ป้องปกในความเชื่อของชาวมหาวิทยาลัยทักษิณ  ความเชื่อในเรื่องของทวดเลียบ  หรือปู่เลียบ ที่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยทักษิณ  เลขที่ 140 ถนนกาญจนวนิช ม.4 ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จังหวัดสงขลา เชื่อกันนั้นก็ล้วนมีความเกี่ยวพันธ์กันกับสภาวะทางจิตใจของผู้นับถือเป็นยิ่ง เพราะต่างเชื่อกันว่าถ้ามีการมาบนบานขอพรกับทวดเลียบ หรือปู่เลียบที่ปรากฏเป็นต้นไม้ใหญ่ใจกลางมหาวิทยาลัยแล้วจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุขสามารถที่จะบรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้อย่างราบรื่น เป็นต้น เมื่อคนหมู่มากเชื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงเกิดการสร้างศาลสำหรับเป็นที่อยู่ของดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นามว่า ทวดเลียบ ขึ้น ซึ่งก็ปรากฏว่ามีผู้ศรัทธาทั้งที่เป็นนิสิต-นักศึกษา บุคลากรของมหาวิทยาลัย และชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงนำเครื่องเซ่นไหว้มาบูชา มาแก้บนกันเป็นจำนวนมาก
             
            ส่วนเครื่องเซ่นที่ดูว่า ท่าน จะโปรดปรานเป็นพิเศษนี่จากการนั่งสังเกตอยู่นานแล้วนั้นพบว่า ท่านโปรดของแก้บนที่เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเป็นที่สุด  ยาคูลท์ คือสิ่งที่นิสิต-นักศึกษาของที่นี่นิยมนำมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้ครับ บ้างก็นำมาเป็นเครื่องแก้บน อย่างปกติก็สามารถที่จะพบเห็นขวดยาคูลท์ที่มีหลอดสำหรับดูดเรียบร้อยวางเรียงรายอยู่รอบศาลปู่เลียบมากพอควร(ราว 100-200 ขวด) แต่ถ้าเป็นช่วงวันรับปริญญาก็มีให้ได้เห็นเป็นพันๆขวดเลย ส่วนเรื่องที่ทำไม่ต้องแก้บนด้วยยาคูลท์สอบถามไปสอบถามมาได้ความว่าน่าจะเป็นเพราะพวกนักศึกษารุ่นแรก(รุ่นพี่)มาทำการบนแล้วสำเร็จจึงจัดการแก้บนด้วยของที่เป็นที่นิยมทานกันในสมัยนั้น ประมาณว่ายาคูลท์ราคาไม่แพง หาง่าย ใครมีมากก็ทำมากใครมีน้อยก็ทำน้อยแล้วแต่กำลังศรัทธา ต้นเลียบ ต้นดังกล่าวจะยังคงเป็นที่สถิตของทวดเลียบและยืนต้นตระหง่านอยู่คู่กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปอีกนาน แม้นในอนาดตสักวันหนึ่งต้นไม้ต้นนี้จะต้องล้มหายตายจากไปก็ตาม แต่ก็เชื่อได้ว่าความเชื่อในเรื่องของ ทวดเลียบ จะไม่สูญหายสลายไปกับกาลเวลาอย่างแน่นอนคนที่นี่เขาเชื่อกันอย่างนั้น

              ทวดตาเดียว  หรือเจ้าพ่อตาเดียว  ทวดศักดิ์สิทธิ์ในรูปคนผู้ทำหน้าที่ป้องปกในความเชื่อของชาววิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่  พบเป็นศาลสำหรับสถิตบูชาปรากฏพบอยู่บริเวณไหล่เขาใกล้ตัวอาคารเรียนของแผนกช่างยนต์ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่  ถ.กาญจนวณิช ต. คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  โดยรูปประติมากรรมเคารพบูชาดังกล่าวหันหน้าไปทางทิศตะวันตก  ลักษณะตัวงานโดยรวมเป็นประติมากรรมในแบบลอยตัว(round relief)หรือรูปประติมากรรมที่สามารถแลดูได้โดยรอบด้าน โดยเป็นรูปลักษณ์เศียรครูฤาษีตั้งอยู่บนพื้นศาล จุดเด่นที่น่าสนใจก็คือเศียรฤาษีดังกล่าวมีดวงตาเพียงข้างเดียว ส่วนด้านหลังเป็นลักษณะของศาลสำหรับสถิตบูชา ในตำนานทางฝ่ายพราหมณ์-ฮินดู  กล่าวอ้างว่าท่านนั้นมีหลายชื่อ อาทิ  ศาลทวดตาเดียว   เจ้าพ่อตาเดียว  ฤาษีตาเดียว  หรือ พระศุกร์ เป็นต้น(นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่นิยมเรียกท่านว่า  เจ้าพ่อตาเดียว)  อันถือเป็นเทพเจ้าแห่งความงาม ความรัก และสันติภาพ  พระศุกร์ หรือเจ้าพ่อตาเดียวถือเป็นพระอาจารย์ของเหล่าเทวดาและอสูร 

            ส่วนเหตุที่ต้องเสียดวงตาข้างหนึ่งไปนั้น เชื่อกันว่าเป็นเพราะเคยลองฤทธิ์กับพระนารายณ์แต่พ่ายแพ้ถูกพระนารายณ์ใช้ยอดหญ้าคาทิ่มแทงถูกดวงตาจนบอด  ดังความว่า  นานมาแล้วยังปรากฏว่ามีกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีพระนามว่า ท้าวทศราช ปกครองกรุงพาลี อย่างขาดทศพิธราชธรรมนำพามาซึ่งความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แม้พระนางสันทาทุกข์พระมเหสี และพระโอรสทั้ง 9 พระองค์จะทูลขอให้พระบิดาทรงยุติพฤติกรรมดังกล่าวแต่ก็ไม่เป็นผล ร้อนถึงองค์พระนารายณ์ต้องลงมาปราบโดยการจำแลงกายเป็นพราหมณ์เตี้ยเดินทางมาขอรับบริจาคทานที่ดินจากท้าวทศราช สืบเนื่องด้วยขณะนั้นเองท้าวทศราชกำลังกระทำการเสริมอิทธิฤทธิ์บุญบารมี(พิธียัญญกิจ)เล็งเห็นว่าการบริจาคทานแก่พราหมณ์เตี้ยจะเป็นการเสริมฤทธิ์อำนาจของตนให้มีสูงขึ้น จึงพูดกับพราหมณ์เตี้ยว่า ท่านอยากได้ทานที่ดินเพื่อประกอบกิจใดใดก็ขอให้บอก เราจะให้  พราหมณ์เตี้ยจึงทูลขอที่ดินเพียงแค่ 3 ย่างก้าวเท่านั้น เนื่องด้วยขณะนั้นเองท้าวทศราชมิได้คิดไตร่ตรองให้ดีจึงทรงพระราชทานที่ดินจำนวน 3 ย่างก้าวให้  ฝ่ายพระศุกร์อันเป็นพระอาจารย์ของท้าวทศราชรู้แกวว่าพราหมณ์เตี้ยเป็นองค์รารายณ์แปลงจึงหายตัวเข้าไปอุดรูเต้าน้ำไว้เพื่อมิให้ท้าวทศราชหลั่งน้ำเป็นทานได้ 

             พระนารายณ์จึงใช้ยอดหญ้าคาทิ่มแทงถูกดวงตาพระศุกร์จนบอดไปเสียข้างหนึ่งจนจำต้องออกมาจากเต้าน้ำปล่อยให้ท้าวทศราชหลั่งน้ำเป็นทานให้องค์นารายณ์แปลง  เมื่อกลอุบายสำเร็จพระนารายณ์จึงคืนร่างเดิมพร้อมทั้งเหยียบเท้าไปบนที่ดินจำนวน 3 ย่างก้าวตามที่ขอไว้ กล่าวคือ ก้าวแรกเหยียบไปยังโลกมนุษย์ ก้าวสองเหยียบไปยังโลกสวรรค์ ก้าวสามเหยียบไปยังโลกนรก ท้าวทศราชจึงไม่มีที่ดินอยู่อาศัยต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ต่อมาพระนารายณ์เห็นใจท้าวทศราชจึงลดโทษให้ด้วยการยินยอมให้ท้าวทศราชมีที่อยู่อาศัย แต่ต้องขออนุญาตและกระทำการบูชาพระภูมิเจ้าที่ในบริเวณนั้นเสียก่อน ซึ่งก็คือการบูชาพระโอรสทั้ง 9 ของพระองค์นั้นเอง ต่อมาจึงเกิดเป็นประเพณีการตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ขึ้นสืบต่อกันมาจวบจนปัจจุบัน ดังนี้
1.พระชัยมงคล                                  ปกคลองบ้านเมือง
2.พระนครราช                                  ปกครองป้อมปราการ
3.พระเทเพน                                     ปกครองป่าเขา
4.พระชัยศพณ์                                  ปกครองยุ้งฉาง
5.พระคนธรรพ์                                 ปกครองเรือนหอ
6.พระธรรมโหรา                              ปกครองสวน ไร่ นา
7.พระเทวะเถระ                                ปกครองวัด
8.พระธรรมิกราช                               ปกครองพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งปวง
9.พระทาสธารา                                  ปกครองห้วย หนอง คลอง บึง และลำธาร เป็นต้น

             นอกจากนี้ยังมีตำนานความเชื่อในแบบท้องถิ่นนิยมของที่นี่ซึ่งเชื่อเกี่ยวกับทวดตาเดียวเล่าเอาไว้ว่า  ท่านอาจจะเป็นเจ้าของพื้นที่ตั้งวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่แต่เดิมก็ได้  ด้วยความเป็นห่วงผู้ที่เข้ามาขอใช้สถานที่สำหรับศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ไว้ประกอบสำมาอาชีพเลี้ยงตนในอนาคต ท่านจึงคอยเฝ้าดูแลความปลอดภัยภายในวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ให้เป็นปกติสุขดังปัจจุบัน  บางคนก็เชื่อว่าหากใครมีเรื่องไม่สบายใจอะไรก็ขอให้เข้ามาทำการบนบานสานกล่าวบอกท่านไว้  ท่านก็จะช่วยให้สมดั่งมุ่งหวังทุกคนไปจนมีการสร้างศาลบูชาท่านเพิ่มจากเดิมมีเพียงศาลเดียวเป็น 3 ศาลในปัจจุบัน  นอกจากนี้ยังเชื่อด้วยว่าการบูชา หรือพิธีกรรมในการบวงสรวงท่านนั้นให้ใช้อาหารคาวหวานอะไรก็ได้  แต่ห้ามนำเนื้อหมูมาบูชาท่าน  จึงมีหลายคนเชื่อว่าท่านทวดตาเดียวอาจจะดำรงตนเป็นมุสลิมก็เป็นได้ 

             เคยมีเรื่องเล่าในหมูนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่เมื่อหลายสิบปีก่อนเล่าว่า  เคยมีนักศึกษาชายคนหนึ่งได้ขับรถผ่านไปยัง ซอยคุณยายสปีด  หรือซอยๆหนึ่งอันกั้นกลางระหว่างวัดโคกนาว(ป่าช้าโคกเน่า ในอดีต)  กับป่ายางร้าง(ห้างโลตัส  หน้า ม.อ.ในปัจจุบัน)แล้วปรากฏว่านักศึกษาคนดังกล่าวไปเจอเข้ากับผียายสปีด  หรือผีตายโหงตัวขาดที่ว่ากันว่า ดุ ที่สุดซอยหนึ่งของเมืองไทยหลอกเอา  ด้วยความกลัวจึงเข้ามาบนบานขอให้ทวดตาเดียวช่วย  ปรากฏว่าหลังจากไปไหว้ขอพรทวดตาเดียวแล้วสติของนักศึกษาคนดังกล่าวก็กลับคืนมาไม่ขวัญหนีดีฝ่อเหมือนครั้งที่เจอผีหลอกในตอนแรกๆ  ทำให้หลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะบารมี  และอำนาจของทวดตาเดียว หรือเจ้าพ่อตาเดียวท่านช่วยไว้นั่นเอง  ศาลทวดตาเดียว  หรือเจ้าพ่อตาเดียว ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพสักการบูชาของนักศึกษาที่วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่มาอย่างยาวนาน เรียกว่าใครเข้ามาเรียนที่นี่ก็จะต้องกราบไหว้บูชากัน ถามไถ่ดูหลายๆคนยืนยันว่าท่านศักดิ์สิทธิ์จริง  ยิ่งใกล้วันสอบปลายภาคยิ่งเห็นเครื่องเซ่นไหว้มากมายกว่าปกติ คนที่นี่เขาเชื่อกันอย่างนั้น

            อนึ่ง  เชื่อกันว่าในสมัยก่อนเเถวบริเวณวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ยังมีสภาพเป็นป่ารกทึบ  มีเจ้าที่บริเวณนี้เป็นคนมุสลิม(ชายชรา)มีดวงตาเพียงข้างเดียว  คนเเถวนี้เรียกท่านว่า "บังตาเดียว"  ท่านได้มอบผืนดินไว้ให้เป็นสมบัติของเเผ่นดิน(คือตั้งเป็นวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่)  ในสมัยก่อน  ราวปี พ.ศ.2536 เคยมีการประกอบพิธีกรรมบวงสรวงทวดตาเดียว(เด็กเทคนิคเรียก เจ้าพ่อตาเดียว)เป็นพิธีบวงสรวงในยามค่ำคืนราว 2 ทุ่ม  นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ในชั้นปี 1 ทุกคนจะต้องมานั่งสมาธิ ณ บริเวณเชิงเขา(ข้างช่างยนต์)จากนั้นจึงทำพิธีขอฝากตัวเป็นผู้อาศัยทวดตาเดียว  เก็บเศษใบไม้คนละ 1 ชิ้น  ระลึกถึงสิ่งที่ไม่ดีไว้ในใบไม้  เก็บมารวมกันให้พราหมณ์(จำเเลง)เป็นผู้นำขึ้นไปฝังไว้บนเชิงเขา(ที่อยู่ของท่าน)  เชื่อกันว่าจะทำให้นักศึกษาที่เข้ามาเรียนที่นี่อยู่เย็นเป็นสุข  เป็นต้น
             
;)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

             เล่าต่อถึงผีชั้นสูงในความเชื่อของชาวหาดใหญ่อีกตนหนึ่งว่าเป็นผีต้นไม้ชื่อสมัยแรกๆที่เรียกกันคือทวดแม่จามจุรี อันเป็นต้นจามจุรีใหญ่ ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1  ตรงข้าม สภ.หาดใหญ่  ข่าวเล่าลือกันมาตามลมบนว่าให้หวยแม่นนักแลผู้เขียนจึงเดินทางไปเก็บข้อมูลงานเขียนเสียเล็กน้อยพอได้เรื่องได้ราวพอสมควร  สรุปว่าน่าจะเป็นทวดอีกรูปลักษณ์หนึ่งในความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้  จำแนวเอาว่าคงเป็นทวดในรูปต้นไม้

             เล่าต่อถึงผีชั้นสูงในความเชื่อของชาวหาดใหญ่อีกตนหนึ่งว่าเป็นผีต้นไม้ชื่อสมัยแรกๆที่เรียกกันคือทวดแม่จามจุรี อันเป็นต้นจามจุรีใหญ่ ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1  ตรงข้าม สภ.หาดใหญ่  ข่าวเล่าลือกันมาตามลมบนว่าให้หวยแม่นนักแลผู้เขียนจึงเดินทางไปเก็บข้อมูลงานเขียนเสียเล็กน้อยพอได้เรื่องได้ราวพอสมควร  สรุปว่าน่าจะเป็นทวดอีกรูปลักษณ์หนึ่งในความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้  จำแนวเอาว่าคงเป้นทวดในรูปต้นไม้

              เคยได้ยินคุณพ่อของผมท่านเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆว่า  สมัยคุณพ่อยังเด็กอายุประมาณ 12 ขวบหรือราวปี พ.ศ. 2503 คุณพ่อเป็นนักเรียนโรงเรียนวัดโคกสมานคุณ  ท่านมักถีบ-ปั่นรถจักรยาน(รถสองล้อ)ไปเรียนในยามเช้าเสมอๆ  อากาศตอนเช้าของบ้านเหนือ(หาดใหญ่)ในสมัยนั้นเย็นสบายมาก  ไม่ร้อนเหมือนในปัจจุบัน  จากสามแยกคลองเรียนผ่านทุ่งนาและป่าพรุ(แหล่งน้ำขังแถวห้างไดอาน่าในปัจจุบัน)  ขับเลียบสวน  บ้านของชาวบ้านในสมัยเก่าก่อนที่ยังไม่สู้เจริญมากนักและมีน้อยชนิดนับหลังคาครัวเรือนได้เลย  ปั่นรถถีบไปเรื่อยๆจนถึงต้นขามหรังใหญ่ต้นหนึ่ง(ต้นจามจุรี)ซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาเย็นสบายตาอยู่ ณ บริเวณป่ารก(ด้านหน้าสนามยิงปืนรุจิรวงศ์ในปัจจุบัน)ปั่นรถจักรยานเรื่อยไปจนถึงโรงเรียนวัดโคกสมานคุณ(สมัยนั้นมีเพียงชั้น ป.4)เข้าเรียนตามปกติวิถีของเด็กในสมัยนั้น  ถามคุณพ่อท่านว่าในสมัยปี พ.ศ. 2503 ต้นจามจุรีต้นดังกล่าวเป็นอย่างไรบ้าง 

            พอได้ความว่า  "ในสมัยนั้นต้นขามหรัง หรือต้นจามจุรีต้นดังกล่าวเป็นต้นไม้ใหญ่ดังยุคปัจจุบัน  รากชอนไชไปเกือบทั่วอาณาบริเวณ  สมัยก่อนฝั่งตรงข้ามต้นจามจุรีคือโรงพักหาดใหญ่ยังมิได้ตั้งอยู่ ณ ที่ปัจจุบัน  บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ว่างเปล่า  แต่หากเกิดการจับชาวต่างชาติคนหนึ่งไปเรียกค่าไถ่  เข้าใจกันว่าเป็นคนสิงคโปร์เคราะห์ดีที่ตำรวจหาดใหญ่ช่วยไว้อย่างปลอดภัย  ได้เงินรางวัลมาก้อนหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้านบาท  จึงได้สร้างโรงพักหาดใหญ่เป็นดังปัจจุบัน  ต้นจามจุรีนี้มีมาก่อนโรงพักหาดใหญ่แน่  แต่ไม่ได้เกิดความเชื่อเรื่องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในต้นไม้ดั่งยุคนี้"  พูดกันถึงเรื่องต้นจามจุรีมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในต้นไม้ทำให้เข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะได้รับอิทธิพลทางความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มาไม่มากก็น้อย  เข้าเค้ากับทางวิชาการว่าด้วยการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์-ศาสนา  ของทางอินเดียนิยมที่ว่ากันด้วยเรื่องการศึกษาแบบแบ่งยุคในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ยุคหลักๆ  ดังนี้คือ
1.ยุคพระเวท(ประมาณ 1000-100 ปีก่อนพุทธกาล)
2.ยุคพราหมณ์(ประมาณ 100 ปีก่อนพุทธกาล ถึงปี พ.ศ. 700)
3.ยุคฮินดู(ตั้งแต่ พ.ศ. 700 เป็นต้นมา)

             แต่ที่เราจะมาทำความรู้จักกันนี้เป็น "ยุค" ที่เกิดมาก่อนยุคพระเวท  เรียกว่า "ยุคก่อนพระเวท" ดังมีความเชื่อในยุคนี้ที่สอดคล้องสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องการบูชาต้นไม้ใหญ่ในเมืองไทยว่า  ความเชื่อ หรือคติในประเทศอินเดียในยุคก่อนพระเวทดำเนินแนวทางในแบบ "วิญญาณนิยม" (animism) หรือ "คติถือภูตผีและดวงวิญญาณ"  คือเชื่อถือกันว่าในธรรมชาติมีดวงวิญญาณสถิต หรือแฝงเร้นอยู่  ดวงวิญญาณดังกล่าวนี้เองที่สามารถให้คุณและให้โทษได้  คนหมู่มากล้วนเชื่อว่ามีดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในดิน น้ำ ลม ไฟ ภูเขา  รวมถึงในต้นไม้ใหญ่  เชื่อกันว่าในดินมีพระแม่ธรณี  ในน้ำมีพระวรุณ  ในลมมีพระวายุ  ในไฟมีพระอัคนี  ในภูเขาหรือในป่ามีพระรุทระ(พระรุทระ หรือพระอิศวร)  ในต้นไม้มีพระเทพารักษ์  เป็นต้น เนื่องด้วยคติความเชื่อดังกล่าวมาข้างต้นนี้เองจึงเป็นมูลเหตุให้เกิดการเซ่นสรวงบูชาดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว  เพื่อเอาอกเอาใจมิให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นมาทำร้ายตนเอง  พวกพ้อง  รวมทั้งนำพาภัยพิบัติเกิดขึ้นแก่มนุษย์ได้  ต่อมาดวงวิญญาณดังกล่าวมานี้จึงได้รับการยกระดับ  ยกสถานะขึ้นเป็นเทพ  เทวดา  บ้างก็เรียกผีฟ้า  เป็นอาทิ  เข้าใจว่าความเชื่อเรื่องทวดแม่จามจุรี  หรือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในต้นจามจุรีใหญ่นั้นน่าที่จะได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อในแบบ "วิญญาณนิยม" ไม่มากก็น้อย 

             ความเชื่อในเรื่อง "ทวดแม่จามจุรี"  บ้างก็ว่า "เจ้าแม่จามจุรี"  หรือในชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ทวดไกรสิงห์ ราชสีห์"  นี้มีความเป็นมาอย่างไร  ผู้เขียนขอลำดับเหตุการณ์ตามที่ได้รับทราบมาดังนี้  ในสมัยก่อน(ราวปี พ.ศ. 2503)ต้นจามจุรีดังกล่าวนี้เป็นไม้ยืนต้นที่มีลำต้นใหญ่  แผ่กิ่งก้านสาขา  ชูก้านใบสง่าเย็นตา  บ้างก็ว่าต้นจามจุรีต้นนี้ดูเหมือนจะตายมาแล้วครั้งหนึ่ง  ครั้งที่ถูกตัดจนเหลือแต่ตอแต่ก็ไม่ตายอย่างน่าอัศจรรย์ใจ  กลับเติบใหญ่ชูกิ่งก้านได้ดังเดิม  เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว   จวบอยู่มาวันหนึ่งในราวปี พ.ศ. 2552  ภรรยาของตำรวจชั้นประทวนซึ่งทำงานอยู่ใน สภ.หาดใหญ่   ได้หลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปฏิบัติภาระหน้าที่ประจำวันที่บ้านพักใกล้กับต้นจามจุรี  ครั้งหลับก็ฝันไปว่ามีเจ้าแม่จามจุรี สถิตอยู่ ณ ต้นจามจุรีใหญ่ใกล้กับที่พักของตน  เจ้าแม่จามจุรี  หรือทวดแม่จามจุรีบอกว่าจะให้เลขเด็ดแต่มีข้อแม้ว่าขอให้ตั้งศาลให้ที่ใต้ต้นจามจุรีเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน  ปรากฏว่าถูกหวยจริง  แต่ผู้เป็นภรรยาของตำรวจชั้นประทวนนางนี้ก็ยังไม่ปักใจเชื่อเสียเท่าใดนักจึงไปทำการบนกับทวดแม่จามจุรีว่าขอให้ถูกหวยเป็นครั้งที่สองแล้วจะสร้างศาลแก้บนให้  ปรากฏถูกหวยมาเลย์จริงดังที่ทำการบนไว้ 

             ต่อมาจึงมีการสร้างศาลเพียงตาไว้ให้สำหรับเป็นที่สถิตแก่ทวดแม่จามจุรี  ครั้งข่าวลือเรื่องทวดแม่จามจุรีให้เลขเด็ดได้อย่างแม่นยำยิ่งนักรู้ถึงหูเซียนหวย  นักเลงตัวเลขจากทั่วประเทศจึงแห่กันเดินทางมาเพื่อขอเลขเด็ด  ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างประเทศที่ทราบข่าว อาทิ ชาวมาเลย์  สิงคโปร์  จีน  เป็นต้น  จามจุรีอันเป็นที่สิงสถิตของทวดแม่จามจุรี ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1  ตรงข้าม สภ.หาดใหญ่จึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วทุกสารทิศ  ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ  อันมีสิ่งมุ่งหวังอันเดียวกันคือ "เลขเด็ด" นั่นเอง  นอกจากเรื่องเลขเด็ดที่ชาวบ้านนิยมมาขูด  ทาแป้ง  ลูบหากันแล้วนี่ยังปรากฏความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่แพร่สะพัดกันไปในวงกว้าง  คือเชื่อกันว่าทวดแม่จามจุรีนี้ไม่ชอบให้ใครมาตัดกิ่ง ก้าน ใบโดยไม่ได้รับอนุญาต  ดังเรื่องเล่าลือที่ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเคยมีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลนครหาดใหญ่ จะทำการตัดแต่งกิ่งไม้ข้างถนน  ครั้งตัดแต่งมาเรื่อยๆจนถึงต้นจามจุรีใหญ่ต้นดังกล่าวปรากฏว่าอุปกรณ์สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ไม่ทำงานอยู่นาน  พยายามอย่างไรก็ไม่สามารถซ่อมอุปกรณ์ดังกล่าวได้  จึงต้องล้มเลิกการตัดแต่งกิ่งต้นจามจุรีออกไป  ครั้งเจ้าหน้าที่ของเทศบาลนครหาดใหญ่มาทำการตัดแต่งกิ่งไม้ในครั้งที่สองก็ปรากฏว่าอุปกรณ์สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ไม่ทำงานเหมือนครั้งแรก  จึงเกิดการเล่าลือกันถึงเรื่องความเฮี๊ยนของต้นจามจุรีใหญ่ ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1  กันอย่างกว้างขวาง 

             เล่าลือกันจากปากของแม่ค้ารายหนึ่งที่ขายธูปเทียนอยู่แถวนั้นว่าเหตุที่ต้นจามจุรีใหญ่ต้นนี้เกิดอาการเฮี๊ยนอย่างน่าขนลุกนี่อาจจะสืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  ทหารญี่ปุ่นได้จับตัวเชลย หรือแรงงานทาสมาแขวนคอกับต้นไม้ต้นนี้  ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆต้นจามจุรีต้นนี้คงมีอายุที่นานพอดู(เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นและได้มีการยกพลทหารญี่ปุ่นขึ้นบกที่เก้าเส้ง  สงขลา เวลา 1 นาฬิกาเศษของคืนวันที่ 8 ธันวาคม 2484)แสดงว่าต้นจามจุรีต้นนี้น่าจะมีอายุมากกว่า 69 ปีเป็นแน่

             ความเชื่อเรื่องต้นจามจุรีอันเป็นที่สถิตของ "ทวดแม่จามจุรี"  บ้างก็ว่าตอนนี้ท่านนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น "ทวดไกรสิงห์ ราชสีห์" นี้ดูๆไปแล้วก็คล้ายๆกับความเชื่อในเรื่องของทวดม่วงหวาน  หมู่ที่ 3  ตำบลทำนบ  อำเภอสิงหนคร  จังหวัดสงขลา  อันมีความเชื่อของชนในท้องถิ่นว่า  ทวดม่วงหวานเป็นคนในพื้นที่เมื่อราว 300 ปีก่อน  เป็นเศรษฐีใหญ่ประจำหมู่บ้านที่ชาวบ้านให้ความเคารพยำเกรงเป็นยิ่ง  เมื่อทวดได้เสียชีวิตลงท่านได้สถิตในต้นมะม่วงภายในที่ดินของตนเพื่อเฝ้าทรัพย์สมบัติ  อาณาเขตของตนอย่างหวงแหน  ชาวบ้านในท้องที่เชื่อกันว่าทวดม่วงหวานมักปรากฏกายให้ใครต่อใครในหมู่บ้านได้เห็นบ่อยๆ ชาวบ้านบอกรูปลักษณะของทวดม่วงหวานได้ตรงกันดังนี้  ทวดม่วงหวานเป็นชายไทยรูปร่างสูงใหญ่  พูดจาโผงผางเสียงดังมาก  ซี่โครงใหญ่และห่างมาก  เดินเร็วเสียงดัง  มีฟันซี่หน้าใหญ่เท่ากับจอบ  มีดวงตาโตเท่ากับไหขนาดย่อมๆ  ที่สำคัญทวดม่วงหวานนิยมให้โชคลาภโดยเฉพาะหวยใต้ดิน(คล้ายกับทวดจามจุรี)  ตำนานในเรื่องทวดในรูปต้นไม้นิยมให้โชคลาภนี้มีอยู่ทั่วไปในท้องถิ่นภาคใต้  โดยเฉพาะในหมู่คนนิยมตัวเลขในท้องถิ่นต่างๆมักจะมีความเชื่อมากเป็นพิเศษ 

;)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

ความเชื่อเรื่องเจ้าแม่จามจุรี  ทวดแม่จามจุรี  หรือทวดไกรสิงห์ ราชสีห์  ถือเป็นความเชื่อ  นับถือ  เซ่นสรวงบูชาในคนกลุ่มหนึ่ง(เป็นจำนวนมาก  แต่ไม่ทั้งหมด)ว่าท่านนั้น "ศักดิ์สิทธิ์  มีฤทธิ์เดชานุภาพที่จะให้คุณให้โทษได้  โดยเฉพาะโชคในด้านตัวเลขมงคล"  ส่วนคนที่ไม่เชื่อ  ไม่นับถือก็ว่า "งมงาย  เลอะเทอะ  ไม่มีแก่นสาร  ไร้สาระ"  เป็นต้น  เรื่องนี้ก็แล้วแต่ดุลพินิจของแต่ละคนแต่ละท่าน  บ้างก็ว่าปรากฏการณ์ทวดแม่จามจุรีเป็นเพียง mass hysteria ที่เกิดขึ้นโดยมีเจตนาแฝงบางอย่างของกลุ่มคนบางกลุ่มที่ต้องการจุดกระแสให้เกิดการแพร่กระจาย(diffusion)  อาจจะเกิดเป็นปฏิกิริยาแบบลูกโซ่ (chain reaction) โดยหวังผลบางอย่าง(อันนี้แล้วแต่พิจารณากันเอาเอง)อย่างไรก็ตามไม่ว่าทวดแม่จามจุรีจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในต้นจามจุรีจริงอย่างที่ชาวบ้านเขาเล่าลือ  หรือเป็นเพียงความงมงายของคนบางกลุ่มที่หวังผลตอบแทนบางอย่างจากกระแสแห่งความเชื่อ 

             แต่ปรากฏการณ์ต้นจามจุรีใหญ่ให้โชคให้ลาภ  ณ  สถานที่แห่งนี้ก็เกิด  และปรากฏขึ้นแล้ว  มีตัวตนที่สามารถจับต้องได้ในรูปของกลุ่มคนจำนวนมากแห่กันเข้ามาอย่างไม่ขาดสายเพื่อจุดธูปเทียนบูชา  เซ่นสรวง  และปะแป้งขูดขอเบอร์เลขเด็ดบริเวณลำต้นจามจุรีดังกล่าว  มีการเสี่ยงเซียมซี(ในลัทธิจีนนิยม)  มีการผูกผ้าขาว  แดง  เหลือง  สีต่างๆมากมาย  มีการคล้องพวงมาลัย  มีของขายเต็มอาณาบริเวณที่มีการเซ่นสรวง  ทั้งของขายสำหรับบูชา(ดอกไม้  ธูป  เทียน)รวมทั้งของขายทั่วไปอาหาร-เครื่องดื่ม  รู้สึกดีใจที่เห็นพ่อค้าแม่ค้ามีงานทำมีรายได้  แต่ไม่แน่ใจว่ากลุ่มคนที่มาเสี่ยงโชค(หลายคน)จะกลับไปพร้อมโชคที่ทวดแม่จามจุรีให้หรือเปล่า?  นอกจากนี้ผู้เขียนยังแอบเห็นกลุ่มนักศึกษา  เด็กวัยรุ่นหลายคนเดินทางมากราบไหว้ทวดแม่จามจุรีกันอย่างคึกคัก  สอบถามได้ความว่ามาบูชาเพื่อขอพรให้สอบปลายภาคได้ในระดับคะแนนที่ดี  สอบผ่าน  บ้างก็มาขอแฟนกับทวดแม่จามจุรี  บ้างก็มามุงดูด้วยความอยากรู้  บ้างก็มาแอบขอขูด(เลขเบอร์)ด้วย  ผู้เขียนสังเกตมาหลายสัปดาห์แล้วว่าก่อนวันหวยออกของทุกเดือน  ณ  โคนต้นจามจุรีต้นนี้ต่างหนาแน่นไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ  ทุกคนต่างมีความหวัง  ยิ้มแย้มเบิกบาน  พยายามปะ  ขูด  มุง  ดู  เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา  ความหวังเป็นสิ่งที่ดีจุดประกายให้มนุษย์สามารถดำรงตนเพื่อรอคอย(สิ่งใดสิ่งหนึ่ง)ในวันข้างหน้า  ความหวังก่อนวันหวยออก  กับสิ่งที่เหลือในวันหวยออกจะออกมาในรูปใด(นั่นสิใครรู้บ้าง?)

               เล่าผ่านผีชั้นสูงประเภททวดในรูปต่างๆให้ได้รับฟังกันมาหลายตนแล้ว  ผู้เขียนจึงขอเปลี่ยนมาเล่าถึงผีประเภทเป็นดวงไฟแปลกๆในแบบฉบับไทยถิ่นใต้ให้ได้รับฟังกันบ้าง  ผีตนนี้มีชื่อว่า ชิน เคยได้ยินกันบ้างรึเปล่าล่ะ  เคยเห็นกันมาบ้างรึเปล่าครับ  กลุ่มดวงไฟประหลาดสีแดงขุ่น ลอยไปลอยมาอยู่บนต้นไม้ใหญ่เวลาค่ำคืน(โดยเฉพาะในคืนเดือนมืด)  หลายคนอาจจะนึกหรือจินตภาพเป็นรูปของดวงไฟขนาดเท่าลูกฟุตบอล สีแดงๆ เข้มๆ กำลังลอยไหลเวียนอยู่บนกิ่งก้านต้นไม้อย่างน่าพิศวงงงงวยว่ามันคืออะไร  มันเป็นสัตว์  มันเป็นผี  หรือมันเป็นตัวอะไรกันแน่  อย่ามัวรอช้าอยู่เลยขยับเข้ามาใกล้ๆสิผมจะเล่าให้ฟัง...........จากประสบการณ์ออกเดินทางทั้งเพื่อท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ  ทั้งเพื่อออกเก็บเสาะแสวงหาข้อมูลทางไทยศึกษา หรือแหล่งองค์ความรู้ใหม่ๆอันนำพามาซึ่งการทราบถึงประวัติความเป็นมาของแหล่งประวัติศาสตร์ ความเชื่อที่แตกต่างกันไป 

             จนครั้งหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสออกเก็บข้อมูล  ออกเก็บประวัติความเป็นมาของอำเภอเหนือ(อำเภอหาดใหญ่)จึงทำให้พอที่จะทราบถึงเรื่องราวทางความเชื่อเกี่ยวกับลูกไฟประหลาด  หรือดวงไฟประหลาดจำนวนหนึ่งที่คนในบ้านคลองเรียน  อำเภอหาดใหญ่  จังหวัดสงขลาในอดีตล่วงเลยผ่านมากว่า 50 ปี แล้วต่างขนานนามให้ว่า......ชิน    ชินมีรูปร่างลักษณะยังไง  จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ภายในพื้นที่ที่อายุเกิน 60 ปี ทำให้พอที่จะทราบได้ว่า  ชิน มีรูปลักษณะเป็นดวงไฟสีแดงขุ่นเข้ม  บ้างก็ว่าเป็นสีแดงมากๆ  มีปลายหางยาวประมาณ 50 เซนติเมตร  ชินมีอยู่หลายขนาด  อย่างเล็กๆว่ากันว่ามีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล  แต่ถ้าใหญ่ขึ้นมาหน่อยน่าจะมีขนาดเท่ากับตะแกรง หรือฝาครอบพัดลมเลยก็ว่า  ชินจะล่องลอยอยู่บนต้นไม้ใหญ่อย่างช้าๆคล้ายกับฝูงงูเขียวต้นไม้ที่เลื้อยไหลไปมาระหว่างกิ่งก้านใบของไม้ใหญ่อย่างละมุนนุ่ม  เคลื่อนไหวไปมาจากต้นหนึ่งไปสู่อีกต้นหนึ่ง 

             ซึ่งในเรื่องนี้คุณพ่อระนอง  ไชยโรจน์(อายุ 62 ปี)ได้เล่าถึงประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านเลยมากว่า 50 ปีเอาไว้ว่า   สมัยเมื่อ 50 ปีก่อนเมืองหาดใหญ่ยังไม่สู้เจริญนักเหมือนในปัจจุบัน  วัดคลองเรียนบ้างก็ว่าคลองเวียน  เนื่องจากเคยมีคลองเวียนล้อมรอบวัดมาก่อน(คำบอกเล่าของพ่อท่านแก้ว  เจ้าอาวาสวัดคลองเรียนรูปปัจจุบัน)  ถนนสายคลองเรียน 2 ยังเป็นเพียงถนนสายดินลูกรังที่สมัยก่อนมีสัตว์จำพวกกวาง  เสือ  หรืองูบองหลา(งูจงอาง)เที่ยวเลื้อยเพ่นพานเป็นจำนวนมาก  บริเวณเปิดท้ายกรีนเวย์ยังเป็นแอ่งน้ำขนาดย่อมๆที่เรียกกันว่า วังน้ำดำ  ซึ่งมีเหล่าสัตว์ร้ายนานาพันธุ์อาศัยอยู่  บริเวณวัดคลองเรียนก็เช่นกันยังไม่มีตัวอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างในแบบปัจจุบันมากนัก  กำแพงวัดก็ยังไม่มีแต่ชาวบ้านก็ยังคงให้ความเคารพและศรัทธาหลวงพ่อปาน(ลิ้นดำ)อันถือเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของชาวบ้านที่นี่กันอย่างยึดมั่นถือมั่น โดยเฉพาะเมื่อใดก็ตามที่มีกิจกรรมของทางวัด อาทิ  งานเวียนเทียน  จะมีชาวบ้านราว 300-400 คนมาร่วมงานเป็นประจำ  โดยเฉพาะเวลามาเวียนเทียนในยามพลบค่ำนี่เองทำให้หลายๆคนที่มาร่วมงานภายในวัดได้มีโอกาสเห็นดวงไฟประหลาดเหล่านั้น  ดวงไฟ หรือลำแสงสีแดงขุ่นราว 3-4 ดวง ขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล ลอยอยู่หลังวัดคลองเรียน  ห่างจากวัดไปทางหมู่บ้านร่มเย็น(ปัจจุบัน)ราว 700 เมตร  ดวงไฟเหล่านั้นลอยอยู่บนต้นยางใหญ่ขนาดสูงเท่าตึก 4 ชั้น  เหล่าดวงไฟ  หรือลูกไฟก็ว่า  ลอยไปลอยมาอยู่บนต้นยางจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งอย่างช้าๆ  หลายคนเรียกมันว่า  ชิน  และไม่แน่ใจว่ามันเป็นผี หรือเป็นสัตว์กันแน่  แต่ผู้คนที่มาร่วมงานเวียนเทียนภายในวัดคลองเรียนก็เห็นมันแทบทุกปี 
           
             จากที่มีการกล่าวอ้างถึงต้นยางใหญ่ในอดีต(เข้าใจว่าน่าจะเป็นต้นยางป่า) ผู้เขียนจึงทำการค้นคว้าหาข้อมูลถึงสถานที่ตั้งของต้นยางใหญ่ว่าอยู่ที่ไหน  จึงทำให้พอที่จะได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าต้นยางใหญ่ที่ว่านั้นมีกันอยู่หลายต้น  กระจุกตัวกันเป็นป่ารก  แต่ที่จัดว่ามีลำต้นใหญ่กว่าเพื่อนนั้นมีอยู่ต้นหนึ่ง  เป็นต้นยางที่ยืนต้นอย่างสง่าในผืนดินของทวดปาน พัฒโน  และทวดแดง ทวีรัตน์ซึ่งในขณะนั้นสถานที่ดังกล่าวยังมีสภาพเป็นทุ่งร้าง และรกชัน  ต้นยางใหญ่ที่เป็นที่อยู่ของดวงไฟประหลาด(ชิน)  เชื่อกันว่าเป็นต้นยางที่ยืนต้นกลางดินของทวดทั้งสอง  ปัจจุบันน่าจะเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านร่มเย็น  ซึ่งไม่สามารถระบุ หรือกำหนดพิกัดที่ตายตัวได้เสียแล้ว  อนึ่ง  ใกล้กับต้นยางใหญ่ดังกล่าว ว่ากันว่ามีบ้านปลูกสร้างอยู่เพียงหลังเดียวเท่านั้น คือ บ้านของ หมอเวียง ซึ่งเป็นครูหมอตั้งศาลพระภูมิ  หมอเวียงมีน้องชายอยู่คนหนึ่งมีชื่อว่า หมอสิน  ปลูกบ้านอยู่แถวที่ดินถนนสามสิบเมตร  ชาวบ้านเชื่อกันว่าทั้งหมอเวียง และหมอสิน ต่างเป็นลูกศิษย์ของครูโนราห์ยาน  อินสุวรรณโน แห่งบ้านทุ่งเสา ผู้ชำนาญคาถาอาคม  จึงไม่แปลกที่หมอเวียง จะมาปลูกสร้างบ้านภายในบริเวณป่ายางดังกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับดวงไฟประหลาดแต่ประการใด 

             ยังมีชาวบ้านอีกหลายคนเชื่อว่าดวงไฟประหลาด  หรือชิน นั้นเป็นผีที่หมอเวียงเลี้ยงเอาไว้เฝ้าบ้านก็ว่า  จึงเป็นความเชื่อของคนอีกกลุ่มหนึ่งว่า ชิน นั้นจัดเป็นผีประเภทหนึ่ง   พูดถึงเรื่องชิน แล้วผู้เขียนจึงลองจินตนาการดูเอาว่ามันเป็นไปได้รึเปล่าที่จะมีฝูงหิงห้อยฝูงใหญ่ๆสัก 3-4 ฝูง  ออกหากิน เปล่งแสงพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน  ปรากฏว่าคนเฒ่าคนแก่หลายคนท้วงมาว่า หิงห้อยมันสีขาวขุ่น แต่ที่พวกเขาเห็นเมื่อราว 50 ปีก่อนนั้นมันเป็นดวงไฟสีแดงขุ่นขนาดใหญ่  ที่สำคัญไม่ได้เห็นคนเดียวแต่เห็นกันหลายร้อยคน  ข้อสันนิษฐานว่าชินเป็นหิงห้อยนี่เลยตกไป  หรือถ้าจะสันนิษฐานเอาไว้แบบพิสดารว่ามีคนคิดอุตริปีนต้นไม้แล้วเอาคบเพลิงไปโบกเล่น 3-4 อันในยามค่ำมืดก็คงเป็นความคิดที่สู้จะไม่ปกติดีนัก  บริเวณดังกล่าวเป็นป่ายางรกมาก  แถมต้นยางป่าก็สูงราวตึก 4 ชั้น  คงจะมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหล่ะที่จะกล้าปีนแล้วเอาคบเพลิง หรือคบไฟขึ้นไปโบกเล่น  ดีไม่ดีปีนพลาดตกลงมาคอหักตายมันจะคุ้มหรือเปล่านี่ยังคงเป็นข้อสงสัยกันอยู่ 
               
            คราวนี้เลยไปถามคุณปู่ไข่  ไชยโรจน์(อายุราว 92 ปี)ท่านเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องชินว่า  ?เมื่อราว 80 ปีก่อนต้นตระกูลของคุณปู่และคุณย่าคือ คุณทวดเอี้ยง  ทวีรัตน์  และทวดแดง  ทวีรัตน์(บุญโชติ)ทั้งสองท่านนี้เป็นต้นตระกูลของผู้เขียน  ครั้งหนึ่งท่านทวดทั้งสองได้ออกเดินทางไปซื้อที่ดินของ ?ลุงเจี้ยน? ซึ่งเป็นดินที่อยู่ในบริเวณป่าข้างทางขึ้นควนเจดีย์(เขาคอหงส์)  ปัจจุบันคาดว่าที่ดินดังกล่าวคือบริเวณใดบริเวณหนึ่งตรงส่วนหน้าของบ้านทุ่งรี  หลังจากซื้อที่ดินเสร็จแล้วท่านทั้งสองก็ได้ออกสำรวจที่ดังกล่าวจนถึงเวลาพลบค่ำ  ปรากฏมีฝูงชิน  หรือลูกไฟประหลาดราว 2-3 ดวงลอยไปลอยมาระหว่างยอดต้นมะพร้าวจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง  ลักษณะเป็นดวงไฟมีสีแดงขุ่นขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล  มีหางยาวราวครึ่งเมตร  ยืนมองชินเหล่านั้นอยู่ได้สักครู่จนลูกไฟกลุ่มนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่ามันไม่มีตัวตนอยู่ในอากาศธาตุ  เห็นกันทั้งสองคนในแบบเดียวกัน?           
               
             นอกจากนี้คนโบราณล้วนเชื่อว่าเวลาเจอชิน แล้วอย่าชี้นิ้วมือไปทางที่มันลอยอยู่ เพราะมีคติโบราณว่าชินจะนำพาสิ่งไม่ดี หรือความซวยมาเข้าตัวผู้ชี้ได้  แต่ก็มีความเชื่อของชนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ชาวบ้านบริเวณเขาชนไก่  จังหวัดกาญจนบุรี ที่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องดวงไฟประหลาดว่าหากเจอดวงไฟดังกล่าวบนต้นไม้  แล้วปรากฏว่าดวงไฟนั้นเลื้อยลงมาสู่พื้นดิน  หรือดวงไฟลอยอยู่เหนือพื้นดินเพียงเล็กน้อย  หมายถึงจะมีความโชคดีเข้ามาเยือน  ให้วิ่งตามดวงไฟ(ชิน)ให้ทันว่าดวงไฟเหล่านั้นจะไปหยุด หรือหายไปในบริเวณใด.......คนโบราณเขาเชื่อกันว่ามักจะมีทรัพย์สมบัติฝังซ่อนอยู่ภายในบริเวณนั้น  ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ออกเดินทางเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรม  ไทยคดีศึกษา  และคติชาวบ้านภาคใต้ในจังหวัดต่างๆ  และในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย  ในหมู่ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอันเรียกตนว่า ไทยสยาม (ไทรบุรี  กลันตัน  และปะลิต) จึงได้เก็บข้อมูล และเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งว่า  หลายคนเชื่อกันว่า ชิน เป็นดวงวิญญาณชั้นต่ำอีกประเภทหนึ่งที่พวกหมอเข้าทรงโนราห์  โนราห์โรงครู  หมอไสยศาสตร์ และหมอตั้งศาลมักนิยมเลี้ยงเอาไว้เพื่อเฝ้าบ้าน  บ้างก็ว่าชิน จะเสริมดวงชะตาราศีให้แก่ผู้เลี้ยงได้ลาภ ยศ สรรเสริญ  โดยมากนิยมเลี้ยงชิน เอาไว้ภายนอกบ้าน บ้างก็ว่าใครที่มีบ้านยกพื้นสูงมักนิยมเลี้ยงไว้ใต้ถุนเรือนต่างหมาเฝ้าบ้าน  ให้อาหารหรือเครื่องเซ่นวันละครั้ง  แต่ชินก็ใช่จะมีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียว  ว่ากันว่าหากใครเลี้ยงไม่ดี  หรือควบคุมชินเอาไว้ไม่อยู่  ชินจะกลับมากินเจ้าของหรือคนเลี้ยงให้ถึงแก่ความตายได้  เป็นต้น
               
             เขียนบันทึกมาจนถึงตรงนี้คงทำให้หลายคนรู้จักกับ ชิน หรือผีชนิดหนึ่ง(สันนิษฐานของผู้เขียน)ได้ในระดับหนึ่ง  ชิน ถือเป็นความเชื่อโบราณที่มีมาคู่กับชาวบ้านคลองเรียน  มาเป็นเวลาช้านานแล้ว เมื่อ 80 ปีก่อน หรือเมื่อ 50 ปีก่อน ไม่ว่าสิ่งที่ชาวบ้านคลองเรียนในอดีตเห็นจะเป็นอะไร  จริงหรือเท็จประการใด  แต่มันก็กลายเป็นตำนานประจำถิ่นไปเสียแล้ว


บทความโดย  อ.คุณาพร  ไชยโรจน์ /วันที่ 30 กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2553
ห้องคุยกับคุณพร. http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

;)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

เล่าเรื่องประสบการณ์ผีที่เคยเจอมา(ตามที่ท่านกิมหยงขอมา)

ได้คุยกับท่านกิมหยง(www.gimyong.com)เมื่อคืนก่อน  ที่ว่าอยากให้ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ผีให้ฟัง  เป็นประสบการณ์เจอผีแบบจะๆ  ได้ครับ  รับปากแล้วก็จะเล่าให้ฟัง...............กี่หนนะเหรอ 2 มั๊ง(ชักไม่แน่ใจ) ครั้งแรกก็ตอนดู VDO ครั้งที่ 2 ก็ตอนเข้าห้องน้ำ(ที่บ้านหลังปัจจุบัน)

ครั้งแรก(ผมว่าน่าจะบังเอิญ)  เรื่องนี้เกิดขึ้นในราวปี พ.ศ.2538 ได้(จำเอาจากปีที่ผมเรียน ปวช.ปี 3 )ช่วงนั้นกลางคืนว่างมากๆ  นอนดึกได้เพราะผมเรียนรอบบ่าย  ได้เช่าหนังสยองขวัญมาดูเรื่องหนึ่ง  ราคา 20 บาทจากร้านวัฒนาศิลป์(ข้างห้างจุลดิสหาดใหญ่) หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า  Thinner   ซึ่งใช้ชื่อภาคภาษาไทยว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"  พอดีกลางคืนหลังจากเขียนแบบตกแต่งภายในเสร็จ  ราวตี 1 ได้(มั๊ง)เลยหยิบหนังเรื่องนี้ขึ้นมาดู  เอามาดูในครัว(เพราะทีวีอยู่ในครัว)  ตอนนั้นหนังยังเป็นม้วน VDO อยู่เลย   ดูไปได้ราวครึ่งเรื่องถึงฉากที่ยิปซีแก่สาปแช่งพระเอก  พี่แกพูดว่า............ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!!!!

ปรากฏไฟดับครับ  ลืมบอกไปอย่างในห้องครัวที่ผมนั่งดูหนังอยู่นั่นเวลาราวตี 2 ได้มั๊งครับ   หน้าต่าง 4 บานปิดหมด  พอไฟดับมันเลยมืดสุดๆ   ผมเลยนั่งนิ่ง................เวลาผ่านไปราว 20 วินาที  ไฟมาครับท่าน!!!   ผมเริ่มลังเล  แต่ก็น่ะ...............ดูต่อ(ว่ะ)อยากรู้ตอนจบ   เลยดูหนังเรื่องดังกล่าวต่อ  เวลาผ่านไปราว 10 นาที  ถึงฉากที่ตัวเอกอ้อนวอนยิปซีแก่  พี่แกพูดอีก...............ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!!!!   อยากจะบ้าตาย  ไฟดับครับ(ดับตรงคำพูดนี้อีกแล้ว  สาบาน!!!) 

ภายในห้องครัวมันจะมืดขนาดไหนคิดดูกันนะครับ  ไม่มีแสงไฟ  ไม่มีแสงอะไรลอดออกมาจากหน้าต่างแม้นเพียงบานเดียว(เพราะปิดหมดทุกบาน)............ผมนั่ง  นั่ง  นั่ง   เวลาผ่านไปราว 2 นาที(ผมนั่งอยู่ในความมืด)  เหงื่อเริ่มแตก  ไม่กล้ามองไปข้างหลัง  สุดท้ายตัดสินใจลุกขึ้นยืน  เดินไปที่เตาแก๊ส  จุดไฟเปิดแก๊ส

แม่เจ้า............เชื่อรึเปล่าครับ  พอผมจุดไฟที่แก๊ส   ไฟฟ้ามันก็มา(เหมือนมันแกล้งผมเลยนะนี่)  เลยตัดสินใจกดม้วน VDO ออกมา  นั่งมองมันอยู่เกือบ 10 นาที  สุดท้ายลองดูอีกที(ถ้าคราวนี้ไฟดับอีกเข้านอน  ฮา)...............สุดท้ายก็ดูจบครับ  เป็นประสบการณ์ดูหนังสยองขวัญที่ระทึกขวัญที่สุดในชีวิตของผม 
^ _ ^

ครั้งที่สอง(คราวนี้จะๆ  * ^ *)
หลายคนที่มาเที่ยวบ้านผมมักบอกว่าบ้านผมเจ้าที่แรง   คนเฒ่าคนแก่ก็ว่ากันว่าเจ้าที่บ้านผมแรงนะ  หลายคนได้มาเจอจะๆกับตาว่าเจ้าที่ที่บ้านผมเป็นชายแก่ใส่เสื้อ-กางเกงสีเขียว ไว้หนวดเคราขาวยาวมาจนถึงหน้าอก  หลายคนที่เคยมาค้างที่บ้านผมเขาว่าเคยเจอกันนะ   ส่วนผมน่ะไม่เคยๆๆๆๆ  นานๆสักครั้งที่ผมจะได้ยินเสียงคนเดินอยู่หน้าห้องนอนในตอนกลางคืน..................

จริงๆนะ  นานๆสักครั้งที่ผมจะได้ยินเสียงคนเดินอยู่หน้าห้องนอน  บางครั้งก็เดินอยู่หน้าห้องนอนติดต่อกันหลายๆคืน  เสียงดังฟังชัด  บางครั้งก็เป็นเสียงเอานิ้วมือมาเคาะราวจับบันไดที่เป็นอลูมิเนียม บางครั้งก็ได้ยินเป็นเสียงคนเปิด-ปิดห้องน้ำตอนกลางดึก     ผมกลัวรึเปล่าน่ะเหรอ?   ไม่ๆๆๆ.....แค่สงสัยน่ะ  เลยเปิดประตูออกมาดู  บางครั้งก็เปิดไฟออกมาดู   นานๆเข้าก็แอบเปิดประตูออกมาดู(แบบไม่เปิดไฟ  ไม่ใช้ไฟฉาย)ขอดูแบบมืดๆจะๆมันนี่แหล่ะ  เดินสำรวจบ้านจนเหนื่อย  ก็ไม่เจอใคร  ผมเลยเข้าใจเอาเองว่า  เขาทำหน้าที่ของเขา  เราทำหน้าที่ของเรา  อยู่ร่วมกัน......ประมาณนั้น

จนอยู่มาคืนหนึ่ง..............ราวเที่ยงคืนครึ่ง  คืนนั้นบ้านผมนอนกันดึก  ผมกำลังเขียนรายงานการวิจัยอยู่  ออกจากห้องนอนก็ไปคุยกับน้องชายห้องข้างๆ   แล้วเดินลงชั้นล่างว่าจะเข้าห้องน้ำซะหน่อย  ปรากฏห้องน้ำปิดประตู(แต่ไม่เปิดไฟ)  ได้ยินเสียงคนกดชักโครกชัดเจน 1 ครั้ง      เลยไปล้างหน้าที่อ่างล้างจานในครัว  เสร็จจึงเดินไปคุยกับน้องสาว  เดินไปหน้าบ้าน คุณพ่อ-แม่นั่งดูข่าวการชุมนุมของเสื้อเหลืองอยู่(ASTV)..............เฮ๊ยยยยยย!!!!

ผมคิดในใจ(เฮ๊ยยยยย)  บ้านผมมีกัน 5 คน  ผมยืนอยู่  น้องชายนั่งดูทีวี  น้องสาว พ่อ แม่ ดูทีวี.......แล้วใครอยู่ในห้องน้ำฟะ?   คิดได้ดังนั้นจึงรีบเดินไปดู  ปรากฏประตูห้องน้ำเปิดออก..............ไม่มีใครข้างใน!!!

ปล.  จนบัดนี้ผมยังไม่กล้าบอกคนในบ้านเลย  ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น(กลัวคนในบ้านตกใจ)  ไม่กลัวนะ.....เรายังอยู่ด้วยกันอย่างสันติ  ^ _ ^
;) ;) ;) ;) ;D






****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

กิมหยง

สร้าง & ฟื้นฟู

คุณาพร.

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 07:03 น.  31 ก.ค 53
ขออาสาสมัรครถ่ายรูปประกอบด้วยนะครับ

งั้นเอารูปยักษ์ที่ยะลาไปดูก่อนนะท่านกิมหยง( ^ 0 ^ )  :D

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

ตัวอย่างประเภทของผีที่ปรากฏพบในประเทศไทย..................... O0

1.นางตะเคียน
นางตะเคียน หรือ พรายตะเคียน เชื่อกันว่าเป็นผีผู้หญิงอยู่ประจำต้นตะเคียนใหญ่ คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมนำต้นตะเคียนมาสร้างบ้านเพราะเชื่อกันว่ามีผีประจำอยู่ในต้นไม้ คนไทยหลายคนเชื่อกันว่าผีนางตะเคียนนั้นดุร้ายขนาดกินคนได้เลย


2.ผีกระหัง
คนไทยหลายๆคนเชื่อกันว่าผีกระหังเป็นผีที่มีปีกบินไปไหนมาไหนได้ บ้างก็เชื่อกันว่าบางครั้งมันจะปรากฏอยู่ในรูปของสุนัขดำขนาดใหญ่ มีดวงตาเป็นสีแดงคล้ายดวงไฟ ผีกระหังมักชอบทำอันตรายคนที่เดินทางไปไหนมาไหนยามค่ำคืนโดยเฉพาะพวกที่ขวัญอ่อน

3.ผีขโมด
เชื่อกันว่าผีขโมดเป็นผีที่มีรูปร่างเป็นดวงไฟลอยล่องอยู่ในบริเวณแหล่งน้ำสกปรกในยามค่ำคืน คนไทยหลายคนเชื่อกันว่าผีขโมดจะไม่ทำอันตรายคน(ถ้าคนไม่ไปทำอันตรายมันก่อน)มีบ้างเป็นบางครั้งที่ผีขโมดเพียงแต่หลอกให้คนที่เดินทางในยามค่ำคืนเดินหลงทางเล่น

4.ชิน
เชื่อกันว่าชินมีลักษณะเป็นดวงไฟเช่นเดียวกันกับผีขโมด แต่ชินมีลักษณะเป็นดวงไฟสีขาวขุ่น เป็นความเชื่อของชาวไทยภาคใต้บางกลุ่มว่า ชินเป็นเพียงดวงวิญญาณชั้นต่ำที่ได้แต่ล่องลอยอยู่บนต้นไม้ในป่าเท่านั้น แต่บางคนก็ว่าชินอาจนำพาเอาความไม่ดีเข้ามาสู่ตนได้หากชี้นิ้วไปทิศทางที่มันอยู่

5.ผีพราย
เชื่อกันว่าผีพรายเป็นผีที่มีตัวตนที่อยู่ในน้ำ เช่น ในแม่น้ำ ลำคลองสายต่างๆในประเทศไทย โดยมากเชื่อว่ามีทั้งที่เป็นหญิงและชาย ผีพรายชอบฉุดดึงขาคนที่ไปเล่นน้ำให้เป็นตะคริว และจมน้ำตายในที่สุด เชื่อกันว่าที่ผีพรายทำเช่นนี้ก็เนื่องจากผีพรายต้องการเพื่อนไปอยู่ด้วยนั่นเอง

6.ผีหลังกลวง
เชื่อกันว่าผีหลังกลวงเป็นความเชื่อของชาวไทยภาคใต้มีลักษณะเป็นเหมือนกับคนธรรมดาแบบเราๆท่านๆนี่แหล่ะ แต่มันไม่ชอบใส่เสื้อผ้า(ประมาณว่าใส่แต่กางเกงที่ขาดรุ่งริ่ง)และที่สำคัญคือมันมีสันหลังที่กลวงโบ๋มีน้ำหนองไหลออกมาอย่างน่ากลัว ผีหลังกลวงชอบอาศัยอยู่ในแถบสถานที่ๆมีอากาศเย็นโดยเฉพาะในบริเวณน้ำตกต่างๆของทางภาคใต้ เชื่อกันว่ามันชอบกินของดิบๆเป็นนิสัย ส่วนกรรมวิธีในการหลอกคนก็คือ มันจะหันหลังให้คนที่มันจะหลอกดู(หลายคนพอได้เห็นแล้วก็กลัวจนวิ่งหนีไปเลยก็มี) แต่ผีหลังกลวงในบางพื้นที่ เช่น ที่จังหวัดพัทลุงนั้นมันมีวิธีหลอกโดยการเดินมาตอนกลางคืนแล้วอาสาว่าจะช่วยตำข้าวให้ พอเจ้าของบ้านเผลอมันจะฉวยโอกาสหักคอกับครกตำข้าว(คนพัทลุงในสมัยก่อนเลยไม่ค่อยมีใครนิยมตำข้าวตอนเวลากลางคืน)

7.ผีตาโขน
เชื่อกันว่าผีตาโขนเป็นผีในความเชื่อของชาวไทยภาคอีสาน ส่วนสาเหตุที่มันได้ชื่อว่า ?ผีตาโขน? นั้นก็สืบเนื่องมาจากในสมัยก่อนมีความเชื่อว่าเคยมีผีกลุ่มหนึ่งพยายามเดินตามพระเพื่อขอส่วนบุญ ประมาณว่าจะได้ใช้เอาไปเกิดในภพหน้าได้ ชาวบ้านมาเห็นก็เลยเรียกผีกลุ่มนั้นว่า ?ผีตามคน? ภายหลังเรียกเพี้ยนไปเพี้ยนมาจนกลายมาเป็น ?ผีตาโขน? ในที่สุด

8.กุมารทอง
เชื่อกันว่า ?กุมารทอง? เป็นผีเด็กที่ตายทั้งกลม คนมีอาคมแกร่งกล้านำเอาศพทารกออกมาโดยการผ่าท้อง แล้วนำไปผ่านกรรมวิธีทางไสยศาสตร์ เพื่อให้ผีเด็ก(ตนดังกล่าว)ตกอยู่ในความปกครองของตน เชื่อกันว่ากุมารทองเป็นผีเด็กที่มีฤทธิ์มากที่สุด ส่วนกุมารทองที่มีชื่อเสียงก็ อาทิ กุมารทองของ ?ขุนแผน? ในเรื่อง ?ขุนช้างขุนแผน? เป็นต้น

9.ผีห่า
เชื่อกันว่าผีห่าเป็นผีโบราณของไทยมีมากในภาคกลาง ไม่มีใครเคยเห็นหรือรู้ว่าผีห่ามันมีรูปร่างหรือหน้าตาเป็นเช่นไรรู้แต่เพียงว่าผีห่ามันชอบมาทางน้ำในคืนเดือนมืดเท่านั้น ยามใดก็ตามที่ผีห่าลงในหมู่บ้านคนจะตายเป็นเบือ(ตายมาก)และเรียกคนที่โดนผีห่ากินว่า ?ตายห่า? หรือ ?ห่าแดก? จนในที่สุดเราจึงรู้ว่า ?ผีห่า? นั้นมันมีตัวตนอยู่ในน้ำจริงแต่มันเป็นเพียงเชื้อโรค หากไม่ดื่มกินมันลงไปก็ไม่เป็นไร ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาคำว่าผีห่าจึงหายไปกับกาลเวลา

10.แม่ซื้อ
เชื่อกันว่าแม่ซื้อเป็นผีผู้หญิงที่ชอบติดตามเด็กเกิดใหม่ บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่เชื่อกันว่ามักจะมีแม่ซื้อมาประจำ ณ ที่แห่งนั้นด้วยเสมอๆ บางบ้านเชื่อว่าเหตุที่เด็กทารกในบ้านของตนมักจะหัวเราะหรือดูยิ้มแย้มแจ่มใส บ้างก็ร้องห่มร้องไห้ในบางครั้งนั้นเชื่อกันว่ามาจากแม่ซื้อเฝ้าหยอกล้อกับเด็กๆนั่นเอง แม่ซื้อจึงจัดเป็นผีดีที่ชอบหยอกล้อเด็กเล็กๆให้ไม่เหงายามอยู่คนเดียว

11.แม่บันได
เชื่อกันว่าที่บันไดทางขึ้นบ้านของคนไทยในสมัยก่อนนั้นมีผีประจำอยู่ เป็นผีผู้หญิงเรียกกันว่าแม่บันได ผีตนนี้มีหน้าที่ในการปกป้องบันไดในบ้านนั้นๆ มีคติความเชื่อของชาวไทยภาคกลางว่า ?ห้ามเหยียบแม่บันไดยามเดินเข้าสู่เรือนชาน? เพราะเชื่อว่าหากเหยียบแม่บันไดแล้วจะก่อให้เกิดผลร้ายตามมา เป็นต้น

12.ลูกกรอก
เชื่อกันว่าลูกกรอกเป็นผีเด็กเช่นเดียวกับกุมารทอง แต่ดูว่าลูกกรอกจะมีฤทธิ์น้อยกว่ากุมารทองอยู่มาก ลูกกรอกเป็นผีเด็กที่เกิดมาแล้วตายจึงมีผู้นำมาทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ให้อยู่ภายในบังคับของผู้มีอาคม

13.ผีแม่ม่าย
เชื่อกันว่าผีแม่ม่ายเป็นผีผู้หญิงที่มีผมยาวประบ่า รูปร่างหน้าตาสวยงาม ผีแม่ม่ายมักออกล่าเหยื่อในตอนกลางดึก(โดยเฉพาะชายหนุ่มในหมู่บ้าน) เชื่อกันว่าชายหนุ่มที่ถูกผีแม่ม่ายกินนั้นจะตายในลักษณะที่นอนหลับตายเรียกกันว่า ?ไหลตาย? ผีแม่ม่ายเป็นผีในความเชื่อของชาวไทยภาคอีสานโดยเชื่อกันว่ามีวิธีแก้ไม่ให้ผีแม่ม่ายมากินชายหนุ่มดังนี้คือ นำรูป ?ปลัดขิก? (ปลัดขิก มีลักษณะเป็นไม้แกะสลักรูปอวัยวะเพศชาย)มาห้อยคอ และนำมาวางเอาไว้ตรงประตูรั้วทางเข้าบ้านแล้วเชื่อกันว่าผีแม่ม่ายจะเข้ามาไม่ได้

14.ผีปอบ
เชื่อกันว่าเป็นผีที่ชอบกินตับไตไส้พุงของคน โดยการกินของผีปอบก็ด้วยวิธีการเข้าสิง จะสังเกตว่าคนที่โดนผีปอบสิงหรือกินนั้นจะมีลักษณะร่างกายที่ซูบผอม ตาขวาง ไม่กล้าสู้สายตาคน เชื่อกันว่าผีปอบกลัวใบหนาดมาก ในการไล่ผีปอบออกจากร่างคนที่ถูกสิงส่วนใหญ่จึงนิยมนำเอาใบหนาดมาเป็นส่วนหนึ่งในการไล่ด้วย

15.ผีกองกอย
เชื่อกันว่าผีกองกอยเป็นผีที่มีขาเพียงข้างเดียว เป็นผีที่มีลักษณะนิสัยดุร้ายมาก โดยเฉพาะคนที่ชอบออกไปพักค้างแรมในป่าตอนกลางคืนแล้วนอนไม่ใส่รองเท้า ผีกองกอยจะแอบย่องเข้ามาดูดเลือดที่นิ้วเท้ากินเป็นอาหาร

16.นางตานี
เชื่อกันว่านางตานีเป็นผีผู้หญิงที่สิงอยู่ในต้นกล้วยตานี ผีชนิดนี้นิยมชมชอบออกมาล่าชายหนุ่มไปทำสามีในยามค่ำคืน โดยหากใครก็ตามโดนเสน่ห์ผีนางตานีเข้า ชายหนุ่มผู้นั้นจะมีรูปร่างที่ซูบผอมลงๆจนแห้งตายไปในที่สุด

17.นางกวัก
เชื่อกันว่านางกวักเป็นลูกของปู่เจ้าเขาเขียว มีลักษณะเป็นผีผู้หญิงนุ่งผ้าโจงกะเบน ห่มสไบเฉียง ไว้ผมยาวประบ่า ว่ากันว่าหากใครบูชานางกวักแล้วจะทำให้อาชีพที่ประกอบนั้นเจริญรุดไปข้างหน้าด้วยดี(โดยเฉพาะอาชีพค้าขาย)

18.ผีโป๊กกะโล่ง
เชื่อกันว่าผีโป๊กกะโล่งเป็นผีที่อยู่ปกป้องรักษาป่าทางภาคเหนือของประเทศไทย  มีรูปร่างลักษณะคล้ายคนป่าไว้ผมยาวรุงรัง เล็บมือและเล็บเท้ายาวเหมือนคนป่า นิยมกินกุ้งหอยปูปลาและออกล่าสัตว์เล็กๆมาฉีกกินเป็นอาหาร นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าผีโป๊กกะโล่งเคลื่อนที่ได้เร็วดุจลมพัด ไม่เคยมีใครสามารถที่จะตามจับหรือตามไล่มันได้ทัน   

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

19.ผีกระสือ
เชื่อกันว่าผีกระสือเป็นผีผู้หญิงที่สามารถถอดส่วนหัวกับส่วนลำตัวออกจากกันได้ ยามใดก็ตามที่ผีกระสือถอดหัวออกมาแล้วจะสามารถบินได้(เฉพาะส่วนหัวกับลำไส้) เชื่อกันว่าผีกระสือนั้นเวลาบินไปไหนมาไหนจะมีไฟกระพริบอยู่ที่บริเวณไส้  ผีกระสือกินทุกอย่าง(โดยเฉพาะของสกปรก)และยังเชื่อกันอีกด้วยว่าผีกระสือชอบใช้ผ้านุ่งสีดำของผู้หญิงมาใช้เช็ดปากยามที่มันกินอาหารเสร็จแล้ว ส่วนอาหารที่เป็นที่โปรดปรานของผีกระสือตามความเชื่อของชาวไทยภาคเหนือนั้นล้วนเชื่อกันว่ามันชอบกินอาหารจำพวก กบ เขียด สัตว์เล็กๆตามท้องทุ่งนา และที่สำคัญก็คือ ?รก? ของเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่มันจะชอบมาก เลยมีบางบ้างนำเอาใบหนาดมาวางเอาไว้รอบบ้านที่มีเด็กเพิ่งเกิดใหม่เพื่อป้องกันผีกระสือ เป็นต้น

20.แม่ย่านาง
เชื่อกันว่าแม่ย่านางเป็นผีประจำเรือของชาวไทยมาแต่ครั้งโบราณ  กล่าวกันว่าแม่ย่านางเป็นผีหญิงชราสถิตอยู่ที่หัวเรือมีหน้าที่ในการอำนวยความสุขสวัสดีแก่คนในเรือ อีกทั้งยังทำหน้าที่ป้องปกมิให้เรือ(ลำดังกล่าว)ต้องประสบอุบัติเหตุทางน้ำ เป็นต้น

21.ผีนางนาคพระโขนง
เชื่อกันว่าเป็นผีผู้หญิงที่ตายทั้งกลม คนไทยเชื่อกันมากว่าผีผู้หญิงที่ตายทั้งกลมนี้มีความ ?ดุ? ระดับที่น่ากลัวมากๆ ผีนางนาค แห่งพระโขนงหลายๆคนเชื่อกันว่าเคยอาละวาดในกรุงเทพมาก่อน ความดุของนางนาคเป็นที่กล่าวขานกันจนนำมาสร้างเป็นหนังหลายต่อหลายภาคแล้ว

22.ปู่เจ้าสมิงพราย
เชื่อกันว่าปู่เจ้าสมิงพรายเป็นเจ้าผีที่มีอายุมาก โดยมากเชื่อกันว่าปู่เจ้าสมิงพรายเดิมทีเป็นพญาเสือที่ชอบกินคน แต่พอครั้งกินคนเข้าไปมากๆเสือตนนั้นเลยกลายร่างเป็นคนในกาลต่อมา อนึ่ง พอเสือตายไปไม่นานก็กลายเป็น ?สมิงพราย? คือ ?ผีเสือ? ในที่สุด โดยมีความเชื่ออีกเรื่องหนึ่งเล่าว่าปู่เจ้าสมิงพรายนั้นท่านมีธิดาอยู่ด้วยกัน 101 องค์ หากชายหนุ่มคนใดก็ตามเดินพลัดหลงทางเข้าไปในเขตแดนของท่านแล้วกลับออกมาตายแสดงว่าปู่เจ้าต้องการดวงวิญญาณไปให้เป็นคู่กับธิดาของท่าน
23.เปรต
เชื่อกันว่าเปรตเป็นผีของคนที่ตายไปแล้วแต่ทำเวรทำกรรมกับบิดา-มารดาของตนเองในชาติภพที่แล้วเอาไว้มาก บ้างก็เชื่อว่าไปด่าบิดา-มารดาเอาไว้พอตายไปก็เลยมาเกิดเป็นเปรต ว่ากันว่าเปรตมีรูปลักษณะเป็นผีที่มีรูปร่างสูง ผอม ใส่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น เปรตมีปากที่เล็กเท่ากับรูเข็มด้วยเหตุนี้เองจึงกินอาหารได้ไม่ค่อยสะดวก และผอมแห้งแรงน้อย(ประมาณว่าอดอยาก) โดยความเชื่อในเรื่องเปรตนี้เป็นความเชื่อที่คนภาคใต้ของประเทศไทยเชื่อกัน รวมทั้งมีการจัดงานในเดือน 10 ของทุกปี ซึ่งเรียกงานวันหนึ่งว่า ?ชิงเปรต?

24.ผีไร้ญาติ
เชื่อกันว่า ?ผีไร้ญาติ? คือผีที่ไม่มีใครทำบุญส่งข้าวปลาอาหารไปให้ใช้ บางครั้งเหล่าผีไร้ญาติจึงสำแดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการออกมาอาละวาดในหมู่บ้านต่างๆนำพาความเดือดร้อนมาให้ชาวบ้านเป็นอันมาก ผู้เขียนเคยเดินทางไปเก็บข้อมูลงานวิจัยที่จังหวัดพัทลุง(บ้านหัวป่าเขียว)ในเรื่อง ?วันชิงเปรต? ก็บังเอิญไปเห็นโต๊ะที่ใช้ในการชิงเปรต(โต๊ะตั้งเปรต)ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยทางซ้ายจะมีโต๊ะพร้อมอาหารคาว-หวานวางเรียงรายกันราว 10 โต๊ะ ส่วนทางขวานั้นก็มีโต๊ะพร้อมอาหารคาว-หวานอีก 1 โต๊ะวางอยู่ เลยเกิดความสงสัยเข้าไปถามคนที่จัดงานพอได้ความว่า โต๊ะที่แลเห็นอยู่ทางขวา 1 โต๊ะนั้นเป็นโต๊ะที่มีเอาไว้สำหรับรับ ?ผีไร้ญาติ? โดยเชื่อกันว่าหากผีไร้ญาติได้รับส่วนบุญส่วนกุศลนี้แล้วจะไม่มารังควานคนในหมู่บ้านให้ได้เดือดร้อน เป็นต้น

25.ผีตา-ยาย
เชื่อกันว่าผีตา-ยายเป็นผีบรรพชนของคนในภาคใต้ที่ล่วงลับดับสูญไปแล้ว และอยู่ดูแลคนในรุ่นต่อๆมาของวงศ์ตระกูล โดยมีความเชื่อว่าต้องมีพิธีเซ่นสรวงบูชาทุกปีเรียกกันว่า ?พิธีลงครูหมอตา-ยาย?

26.ผีบ้าน-ผีเรือน
เชื่อกันว่าผีบ้าน-ผีเรือนเป็นผีที่สถิตอยู่ตามบ้านคนในพื้นที่ต่างๆ หลายคนเชื่อกันว่า ผีบ้าน-ผีเรือนมีอยู่ด้วยกันในทุกบ้านและมีหน้าที่ในการปกป้องรักษาบ้าน และคนที่อยู่ภายในบ้านให้มีแต่ความปกติสุข

27.แม่เตาไฟ
เชื่อกันว่าแม่เตาไฟเป็นผีผู้หญิงที่สถิตอยู่ในเตาไฟของทุกบ้าน แม่เตาไฟจะคอยดูแลการประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องการทำครัวให้ปกติสุขไม่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครัว(จากอัคคีไฟ) นอกจากนี้ยังเชื่อกันอีกด้วยว่าหากกราบไหว้แม่เตาไฟก่อนนอนแล้วจะทำให้เด็กเล็กๆไม่ฉี่รดที่นอนยามหลับด้วย

28.ผีตายโหง
เชื่อกันว่าผีตายโหงเป็นผีของคนที่ตายในแบบอปกติ คือตายโดยอุบัติเหตุบ้าง ตายโดยการถูกฆ่าตายบ้าง ประมาณว่าไม่ใช่การตายในแบบธรรมชาติ หลายคนเชื่อกันว่าผีตายโหงชอบทำให้เกิดอุบัติเหตุในที่ต่างๆ เช่น บริเวณโค้งหักศอกต่างๆเพื่อนำวิญญาณคนที่ตายมาเป็นเพื่อน หรือไม่ก็เชื่อว่า ?เอามาเป็นตัวตายตัวแทนกัน? เป็นต้น

29.โต๊ะเคร็ง
เชื่อกันว่าโต๊ะเคร็งเป็นผีที่สถิตอยู่ในเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของทางภาคใต้ โดยหากมีการเซ่นสรวงที่ดีโต๊ะเคร็งจะทำให้การประกอบอาชีพทางด้านเป็นนักดนตรีเจริญก้าวหน้า แต่หากทำผิดกฎการเซ่นสรวงบูชาแล้วโต๊ะเคร็งจะนำพาความวิบัติมาให้ได้

30.แม่ธรณีประตู
เชื่อกันว่าแม่ธรณีประตูเป็นผีผู้หญิงที่คอยเฝ้าดูแลประตู(ตรงธรณีประตู) โดยมีความเชื่อกันว่าหากใครเดินเหยียบแม่ธรณีประตูแล้วจะทำให้ได้รับผลร้ายตามมาได้ อนึ่ง ในการบวชนาคนั้นตอนที่นาคจะเดินเข้าสู่โรงอุโบสถจะมีการแบกหรือยกนาคขึ้นให้ข้ามพ้นแม่ธรณีประตู โดยเชื่อกันว่าหากนาคเผลอเหยียบแม่ธรณีประตูเข้าจะทำให้การบวชไม่สำริดผล เป็นต้น

31.ผีอำ
เชื่อกันว่าผีอำเป็นลักษณะอาการผีเข้าในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยผีอำมักจะเกิดขึ้นในเวลากลางคืน(เวลานอนหลับ)ส่วนอาการของคนโดนผีอำก็คือ มีลักษณะอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นคล้ายมีคนมานอนกดหรือนอนทับร่างเอาไว้ ยังผลให้หายใจไม่สะดวก พอตื่นขึ้นมาก็จะมีอาการหายใจหอบ เหนื่อยจนเหงื่อแตก คนไทยโดยมากเชื่อว่าให้แก้ผีอำโดยการไปทำบุญที่วัดในวันรุ่งขึ้นก็จะหาย

32.ผีเปรตยักษ์
เชื่อกันว่าผีเปรตยักษ์เป็นผีของยักษ์ที่ตายไปแล้ว(สันนิษฐาน) โดยความเชื่อในเรื่องของผีเปรตยักษ์นี้เป็นความเชื่อที่ชาวไทยอีสานเชื่อกัน ว่ากันตามตำนานว่าครั้งหนึ่งเกิดการต่อสู้เพื่อแย่งความเป็นใหญ่ของนาค 2 ตนใน ?หนองกระแส? การต่อสู้ครั้งนั้นรุนแรงจนสัตว์ใหญ่น้อยล้มตายลงเป็นอันมาก ร้อนถึงพระอินทร์ต้องส่ง ?วิศุกรรมเทวบุตร? (พระวิศวกรรม) ลงมาปราบ พระวิศวกรรมก็เรียกบริวารคือ ?เงือกงู? และ ?ผีเปรตยักษ์? ให้ไปขับไล่นาคทั้ง 2 ออกไปจากหนองกระแส (แสดงว่านาคกลัวเงือกงู และผีเปรตยักษ์)
;)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

เมื่อเป็นผีเเล้วก็ต้อง...................เผา )55




เก็บเก่าเล่าเรื่องแต่แรก.........เผาผีที่ป่าช้าโคกเน่า(วัดโคกนาว)เมื่อ 70 ปีก่อน

      อำเภอหาดใหญ่ในสมัยเมื่อ 70 ปีก่อนนั้นยังไม่สู้เจริญมากนัก  และยังรักษาขนบทำเนียมนิยมแบบดั้งเดิมเอาไว้อย่างฝังราก  คนเฒ่าคนแก่หลายคนเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าแต่ก่อนเรียกอำเภอหาดใหญ่ว่า  ?อำเภอเหนือ?  และยังมีป่าไม้ น้ำท่าที่บริบูรณ์มาก  แถวห้างไดอาน่าในปัจจุบันนั้นเป็นเพียงทุ่งนาขนาดใหญ่ไปตลอดจนถึงบ้านทุ่งเสา  คุณปู่ของผู้เขียนเอง(คุณปู่ไข่  ไชยโรจน์ อายุ 93 ปี  ปัจจุบัน)ในขณะนั้นก็ไปทำไร่ไถนาอยู่ที่บ้านทุ่งเสาเป็นประจำ  บ้างก็มาดักสัตว์  ล่าสัตว์อยู่แถวๆทุ่งนา(ห้างไดอาน่า)ปรากฏมีทั้งเก้ง  กวาง  มากมายลงมาจากเขาคอหงส์  ลงมาหาแร่ธาตุ  หาอาหารในพื้นราบกิน  บางครั้งก็ช่วยกันล่าสัตว์หลายๆคน  ไล่ต้อนด้วยธนูบ้าง  ปืนบ้าง  ไล่จากแอ่งน้ำใหญ่ข้างห้างไดอาน่าในปัจจุบัน(ชาวบ้านเรียกสระของหลวงพ่อปาล  ลิ้นดำ)ทุ่งนา(ห้างไดอาน่า)  สัตว์เหล่านั้นก็หนีไปทางวังน้ำดำ(เปิดท้ายกรีนเวย์)  ลางตัวก็หนีไปทางเนินดิน(ศูนย์หลวงประธาน)  จับได้มากบ้างน้อยบ้าง  เอามาแบ่งปันกันเป็นปกติวิถีแห่ความเอื้ออารีย์ของคนที่นี่เมื่อ 70 ปีก่อน  ชีวิตนี้มีเกิด แก่ เจ็บ และตายก็หนีไม่พ้นแน่  ประเพณีในการเผาศพ  หรือที่คนที่นี่เรียกการเผาผีนั้น  เมื่อ 70 ปีก่อนเขาทำกันเช่นไร?  จากการสอบถามและเก็บข้อมูลจากคนเฒ่าคนแก่ในพื้นที่ที่มีอายุมากกว่า 90 ปี(ข้อมูลจากคุณปู่ไข่  และพ่อท่านแก้ว  เจ้าอาวาสวัดคลองเรียน)ว่า  หากยามใดก็ตามที่มีพิธีกรรมเกี่ยวกับการตายเกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอเหนือ(หรือบ้านเหนือ)ชาวบ้านในอำเภอเหนือทั้งหมดจะส่งข่าวบอกกันปากต่อปาก  จนรู้กันหมดทั้งพื้นที่  โดยจะมีการลำเลียงศพเคลื่อนไปสู่เมรุเผายังป่าช้าโคกเน่า(โคกนาว)ซึ่งจัดเป็นเมรุเผาศพแบบดั้งเดิม  กล่าวคือมีเพียงการก่ออิฐฉาบปูนกั้นเพียงเล็กน้อย  ยกระดับสูงจากพื้นพอให้ใส่ฟืนข้างใต้ได้  โลงศพจะถูกยกขึ้นมาตั้งบนเมรุเพื่อจัดการเผาตามพิธีกรรมทางศาสนา  ชาวบ้านที่มาร่วมงาน.......จะไม่มามือเปล่านะครับ  ชาวบ้านแต่ละคนจะเดินเท้าและมือถือมีดพร้า  ขวาน  บ้างก็ถือดาบแสนคมวาววับนำพาติดไม้ติดมือมาด้วย  เปล่าครับ.......ชาวบ้านไม่ได้ถืออาวุธเหล่านี้มาเพื่อไปมีเรื่องกับใคร  แต่หากนำพามีดพร้า ขวาน  ดาบ  ไปตัดไม้เสม็ดที่มีขึ้นอย่างหนาแนนบริเวณแอ่งน้ำใหญ่หน้าป่าช้าโคกเน่า(ปัจจุบันแอ่งน้ำใหญ่ดังกล่าวอยู่ในความดูแลของ ม.อ.)นำมาทำฟืนสำหรับพิธีเผาศพ  เมื่อชาวบ้านตัดไม้เสม็ดได้ตามที่ต้องการแล้ว(คนละ 1-2 ท่อน) จึงจะทำการลอกเอาเปลือกไม้สดนั้นออกทั้งหมด  เพราะหากใช้ไม้เสม็ดที่ยังไม่เลาะเปลือกออก  ไฟจะไม่กินเนื้อไม้  และไม่สามารถนำมาทำฟืนได้  โดยใต้เมรุเผาจะมีการนำเอาเศษยาง  หรือแผ่นยางเป็นเชื้อไฟแต่เริ่มต้น  ให้ชาวบ้านที่เข้าร่วมพิธีนำไม้เสม็ดมาใส่ใต้เมรุทีละคนๆจนหมด  จัดแจงเผาศพได้เป็นเสร็จพิธี..........ไอ้ตอนเผาศพนี่สิครับมีเรื่องเล่าสนุกๆ แต่ชวนขนหัวลุกของคนบ้านคลองเรียนเล่าเอาไว้ว่า....... สัปเหร่อที่ได้รับมอบหมายงานเผาศพจะต้องดูแลพิธีการ  หรือกระบวนการเผาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน  มิฉะนั้นอาจทำให้เจ้างานไม่จ่ายเงินค่าทำศพได้  ครั้งหนึ่งปรากฏว่าสัปเหร่อที่ทำหน้าที่เผา และเฝ้าศพคงดื่มเหล้ามากไปจนเมาหลับคาเมรุเผา  ครั้งไฟเริ่มมอดก็ไม่มีใครนำเอาเชื้อเพลิงมาเติมต่อ  คราวนี้แหล่ะหมาจรที่อาศัยอยู่แถวนั้นเลยขุดคุ้ย  และคาบส่วนแขนของศพที่ยังมอดไม่หมด  วิ่งพาไปยังสามแยกคลองเรียนตอนเช้าตรู่  เศษซากของศพที่หมาจรกัดแทะเหลืออยู่กลับสร้างความสยดสยองพองขนหัวให้แก่ผู้พบเจอเป็นยิ่ง(โดยเฉพาะแม่ค้าที่ต้องตื่นแต่เช้ามืด)  กลายเป็นเรื่องเล่าลือกันว่าผีที่ป่าช้าโคกเน่าเฮี๊ยนตราบปัจจุบัน



คุณาพร/27/3/52

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

เปิดตำนาน 53 เรื่องผี และสิ่งลี้ลับในจังหวัดสงขลา ภาค 3.........( เชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้!!! )

เรื่องที่จะนำมาเล่าต่อจากนี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนได้รับทราบจากการออกเดินทางไปทำงานวิจัยตามสถานที่ต่างๆในจังหวัดสงขลา  เเน่นอนล่ะว่าการออกเก็บข้อมูลงานทางไทยคดีศึกษาในเรื่องต่างๆ ตามสถานที่ต่างๆย่อมต้องได้รับทราบข้อมูลทั้งเชิงประจักษ์ เเละความเชื่อในเเนวทางเฉพาะถิ่น  อาทิ ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องภูติผี เเละดวงวิญญาณ(ลัทธิวิญญาณนิยม)  เพื่อนๆหลายๆคนของผู้เขียนเลยขอให้ทำการรวบรวมนำมาเล่าสู่กันฟัง(บ้าง)  เพื่อเป็นประสบการณ์เเลกเปลี่ยนกัน 

ปล.  เชื่อก็ได้.....ไม่เชื่อก็ได้..........เเล้วเเต่จะคิดนะครับ


1.หน้าโรงเรียนอุดมศึกษาพานิช......สมัยก่อนล่วงผ่านเลยมามีเรื่องเล่ากันปากต่อปากจากผู้สูงวัยว่าที่เชิงสะพานตอนเช้าตรู่(ราวตี 4-6 โมงเช้า)มักจะมีสาวสวยผมยาวผิวขาวมากๆ  ใส่ชุดขาวมายืนโบกรถอยู่  หากใครจอดรถรับ  เธอจะหายไปพร้อมกับความซวย  หรือเรื่องร้ายๆที่เข้ามาเยือนคนดวงซวยคนนั้น...บรื๋ออออ

2.บริเวณถนนศรีภูวนารถ มีซอยหลายซอยมากๆ  มีอยู่ซอยหนึ่งคือซอย 12  ซอยนี้เองมีโรงเก็บหัวหอมร้างอยู่ซอยหนึ่ง  เล่าลือกันว่าผีดุมากๆ  มีเรื่องเล่าว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนมีลูกจ้างโรงเก็บหัวหอมถูกบานประตูเหล็กตกใส่ ทับจนร่างกายเเหลก เละทั้งตัว  ไม่มีใครสามารถจะนอนค้างคืนในโรงเก็บหัวหอมร้างซอย 12 ได้เพราะถูกหลอกกันมานับไม่ถ้วนเเล้ว

3.สะพานรถไฟ(มีราวเหล็ก)ที่ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านน้ำน้อย  เคยมีคนตายกว่า 400 ศพ  ที่สำคัญเป็นการตายโหง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  โดยเชื่อกันว่าที่นี่เฮี๊ยนมาก  คนเฒ่าคนแก่หลายคนเรียกสะพานรถไฟแห่งบ้านน้ำน้อยว่าสะพานสายมรณะ  บ้างก็ว่าเป็นสะพานผีตายโหง  เคยมีเรื่องเล่าในอดีตว่า  เคยมีกลุ่มคนมายืนโบกรถอยู่ที่แถวๆสะพานรถไฟดังกล่าว  โบกรถเพื่อจะไปสงขลา  พอรถให้ขึ้นมาปรากฏว่าระหว่างขับกลุ่มคนดังกล่าวก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย  ทำเอาคนขับรถถึงกับจับไข้ไปหลายวัน

4.ซอยๆหนึ่งข้างวัดโคกนาว กับห้างโลตัส เด็กหาดใหญ่เรียกกันว่า...." ซอยคุณยายสปีด " เชื่อกันว่าหากขับรถมอเตอร์ไซด์เข้ามาในซอยคนเดียวหลังเที่ยงคืนในคืนเดือนมืดเเล้วจะเจอกับผีคุณยายสปีดหลอกเอา  ด้วยการกระโดดขึ้นมาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์  ใครดวงซวยอาจถึงตายได้

5.ถนนสายหาดใหญ่-สงขลา(สายใหม่)ก่อนถึงปั้นน้ำมันมีเรื่องสยองเล่าว่า  เคยมีกลุ่มรถซิ่งถูกสายสลิงที่ขึงไว้กับต้นไม้ใหญ่ 2 ข้างทาง  ตัดเอาคนนั่งซ้อนท้ายซึ่งเป็นผู้หญิงจนหัวขาดมาเเล้ว.........เชื่อกันว่าหากขับรถมาตอนกลางคืนเเล้วเห็นคนขับมอเตอร์ไซด์ไม่มีหัว.....อย่ามอง หรือชี้มือไปหา  เพราะท่านอาจจะซวยเอาได้

6.บริเวณเปิดท้ายกรีนเวย์(ข้างป่าช้าโคกโพธิ์).......เเต่เดิมเป็นวังน้ำขนาดใหญ่  ชาวบ้านคลองเรียนเรียกกันว่า " วังน้ำดำ "  เชื่อว่าเป็นดินเเดนอาถรรณ์ที่ผู้มีวิชาอาคมมักมาลองปล่อยของกัน

7.วัดโคกนาว......สมัยก่อนเรียก " โคกเน่า "  เพราะเคยมีการฝังศพกันเป็นจำนวนมาก  เเต่ปรากฏว่ามีน้ำท่วมขังในบริเวณดังกล่าวในปีหนึ่ง  ชาวบ้านเลยจำต้องนำศพไปผูกติดเอาไว้กับกิ่งไม้ใหญ่  บ้างก็ว่ามีนายพรานหลายคนไปยิงสัตว์ในโคกเน่า  ถูกซากศพที่เน่าเปื่อยตกใส่จนขวัญหนีตามๆกัน  ผู้เขียนเคยสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้เเก่ท่านหนึ่ง  ท่านกรุณาเล่าให้ฟังว่า.....หากมืดค่ำจะไม่ยอมเดินทางผ่านโคกเน่าเป็นอันขาดเพราะผีที่นี่หลอกเก่งที่สุด

8.หน้าสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่..........เชื่อกันว่าเฮี๊ยนน่าดูชม......เพราะจะต้องมีคนถูกรถชนตาย หรือรถทับตายทุกปี  หลายคนบอกว่าเขาต้องการ  " ตัวตายตัวเเทน "

9.หน้าวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่......บริเวณใต้สะพานลอยหน้าวิทยาลัย  เชื่อกันว่ามีผีเฝ้าอยู่ใต้สะพานลอย.....ใครดวงถึงฆาตจะถูกผีผลักให้รถชนเพื่อเป็นตัวตายตัวเเทนตน(เด็กเทคนิคหาดใหญ่เล่ากันภายใน)

10.เจ้าที่ที่ปกป้องรักษาวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่นอกจากจะมีพระวิษณุกรรมแล้ว  บริเวณเชิงเขา(ข้างแผนกช่างยนต์)ยังมีเจ้าที่เก่าของที่นี่ปรากฏให้ได้เห็น  ครู-อาจารย์ เรียกท่านว่า "ทวดตาเดียว"  ส่วนนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่เรียก "เจ้าพ่อตาเดียว"  ถือกันว่าท่านนั้นศักดิ์สิทธิ์มากๆ  บูชาหรือเซ่นด้วยอะไรก็ได้  ยกเว้นเนื้อสุกร(เพราะท่านเป็นมุสลิม)

11.เจ้าที่ที่มหาวิทยาลัยทักษิณเด็กที่นี่เรียกกันว่า......" ทวดเลียบ "  เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่  ปรากฏในรูปของต้นไม่ใหญ่  เชื่อกันว่าหากใครขวัญอ่อน หรือต้องการเจริญก้าวหน้าในการเรียน หรือการงานด้านต่างๆให้บูชาท่านด้วยยาคูลท์ เท่านั้น

12.หน้าตึกเรียนอาคาร 13 ภายในมหาวิทยาลัยทักษิณ  เชื่อกันว่ามีความเฮี๊ยนระดับสูงมากๆ  เเละที่หน้าตึกเรียนอาคาร 13 นี้เองที่มีฮวงซุ้ยขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าตึก(น่าจะเป็นตึกเรียนตึกเดียวในประเทศไทยที่มีฮวงซุ้ยตั้งอยู่ด้านหน้า)  เล่าลือกันว่าบางครั้งดึกๆจะมีคนเดินไปเดินมาที่หน้าฮวงซุ้ย  มองนานๆเเล้วท่านก็จะหายไป

13.ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา  เชื่อกันว่าสระน้ำหน้าอาคารตึกอำนวยการหลังเก่า.........เคยมีเด็กผู้หญิงที่มาเข้าค่ายที่นี่จมน้ำตาย  เธอมักชอบออกมาเล่นงานคนที่ดวงถึงฆาตด้วยการดึง หรือลากลงไปในน้ำ

14.ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา  อาคารหอสมุด(หลังเก่า).........เชื่อกันว่าที่ บล็อก ฮ. นกฮูก  มีดวงวิญญาณของนักศึกษาที่นี่สิงอยู่  ท่อนบนเป็นผู้ชายใส่ชุดช่างอุตสาหกรรม  ท่อนล่าง........ไม่มี !!!

15.เเถวๆท้ายวัดคลองเรียน........ในอดีตยังมีต้นยางใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง  บนต้นยางปรากฏเป็นฝูง "ชิน" จำนวนมากลอยอยู่(ชิน  หลายคนเชื่อว่าเป็นผีชนิดหนึ่ง รูปลักษณะเป็นดวงไฟสีขาวขุ่นใหญ่ประมาณเท่าลูกฟุตบอล-1 เมตร) ปัจจุบันเชื่อว่าต้นยางใหญ่ดังกล่าวไม่มีเเล้ว  เเละน่าจะเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านร่มเย็น(ตรงบริเวณไหนไม่อาจคาดเดาได้เเน่ชัด)

16.รถเมล์สายหาดใหญ่-สงขลา(เด็กหาดใหญ่เรียก รถโพธิ์ทอง)......เชื่อกันว่ามีรถโพธิ์ทองอยู่คันหนึ่งมักปรากฏหญิงสาวในชุดนักศึกษา  ผมยาว  เธอมักชอบนั่งอยู่เก้าอี้เกือบท้ายสุดในยามหัวค่ำ  พอมองไปนานๆเธอจะหายไป

17.หลังวัดคลองเเห  ตำบลคลองเเห  อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา.......เชื่อกันว่ามีเนินดินสูงอยู่เนินหนึ่ง เรียก...." โคกนกคุ่ม " ภายในเนินดินว่ามีทรัพย์สมบัติฝังอยู่  เเละมีผีนานาชนิดเฝ้าดูเเล  อาทิ ผีปลาหัวกระโหลก

18.เเถววัดคูเต่า ตำบลเเม่ทอม สงขลา(วัดคูเต่าหลังเเรก....วัดสระเต่า)เคยมี ?เสือสมิง? อาศัยอยู่ใกล้บริเวณวัดได้เข้าทำร้ายสามเณรมรณภาพ 1 รูป คือสามเณรถูกกัดจนศีรษะขาดและถูกกินเป็นอาหารเป็นที่เล่าลืออย่างสยดสยองต่างๆนานา(เสือสมิง คือ เสือร้ายที่เชื่อกันว่าเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณร้ายที่แปลงร่างขึ้นมา)   

19.วัดโลการาม  บ้านสะทิ้งหม้อ  สิงหนคร สงขลา...........มีเจ้าที่ประจำวัดเป็นพญางูจงอางขนาดใหญ่  เรียก " ทวดตาหลวงรอง " เชื่อว่าใครบูชาเเล้วจะเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ.....นอกจากนี้ยังเชื่ออีกด้วยว่าหากใครจะเข้ามาขโมยทรัพย์สมบัติของทางวัดจะโดนงูทวดเล่นงานจนต้องหนีกระเจิงทุกรายไป

20.หน้าอุโบสถวัดพรุเตาะ  หาดใหญ่  สงขลา มีต้นโพธิ์อยู่ต้นหนึ่ง........เชื่อว่าต้นโพธิ์นี้เเต่เดิมคือเจ้าอาวาสวัดพรุเตาะ  ครั้งหนึ่งท่านได้ใช้น้ำมันราดเเละเผาตนเองจนมรณภาพ  เเล้วท่านก็ได้เกิดใหม่เป็นต้นโพธิ์หน้าอุโบสถ(ชาวบ้านเขาเชื่อกัน)

21.บริเวณหัวเขาแดง-สงขลา  เชื่อกันว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยป้องปกดูแลอยู่เรียกว่า ?ทวดหัวเขาแดง?  เชื่อกันว่าท่านนั้นมักปรากฏกายให้ได้เห็นในรูปของจระเข้ใหญ่มีนัยตาสีแดงเพลิง

22.น้ำตกโตนงาช้างที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสงขลาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง  ปรากฏมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ป้องปกอยู่เรียกว่า "ทวดตาขุนดำ-ทวดโต๊ะปะหวัง"  ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงกับน้ำตกเชื่อว่าท่านนั้นมีรูปกายเป็นเสือดำขนาดใหญ่ มีเรื่องเล่าว่าราวปี พ. ศ. 2549 ได้มีนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์คนหนึ่งเดินทางมาเที่ยวน้ำตกโตนงาช้าง  จนตกช่วงเย็นชายคนดังกล่าวได้ออกเดินทางปีนขึ้นไปชมทัศนียภาพบนน้ำตกโตนงาช้าง จากนั้นจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย  เพื่อนๆที่มาด้วยกันจึงออกตามหาแต่ก็หาไม่พบจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของทางน้ำตกทราบช่วยกันตามหาจนช่วงดึกจึงต้องยกเลิกไปแล้วออกหาตอนเช้าอีกที  หาอยู่ 3 วัน 3 คืนก็ยังหานักท่องเที่ยวชายชาวสิงคโปร์คนดังกล่าวไม่พบ  จึงได้เชิญหมอไสยศาสตร์มาทำพิธีกรรม "เข้าทรง"  และพอได้รับข้อมูลมาว่านักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ที่หลงป่ายังมีชีวิตอยู่  ประทังชีพด้วยการกินยอดไม้ และน้ำเป็นอาหาร เขาเพียงโดน "ผีบังตา" เอาไว้ท่านมิต้องเป็นห่วงแต่ประการใด  ถึงเวลาเขาก็จะกลับมาเอง  แต่หลังจากนั้นก็ขอให้ช่วยสร้างศาลให้เราอยู่ด้วย  หัวหน้าทีมค้นหาจึงสัญญาว่าหากหาเจอก็จะสร้างศาลสถิตบูชาให้  วันที่ 4 ที่ออกค้นหาจึงหานักท่องเที่ยวคนดังกล่าวจนพบแล้วสร้างศาลให้เรียกว่า "ทวดตาขุนดำ-ทวดโต๊ะปะหวัง"

23.ห้องเบอร์ 333  ณ โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่เยื้องๆกับฟาร์มจระเข้เก่า.........เชื่อกันว่ามีผีฝรั่งสิงสถิตอยู่  หากใครจิตอ่อนเวลานอนอยู่บนเตียงจะถูกลากขา  หรือบีบนวดขาให้ในเวลากลางคืน........ให้แก้เคล็ดด้วยการนำเหรียญบาท 3 เหรียญมาวางไว้ตรงมุมบานประตูทางเข้าห้อง(ด้านใน)แล้วบอกกล่าวขอเช่าห้องกับผีเจ้าของห้องก่อนจึงจะอยู่ได้อย่างปกติสุข(เจอกันหลายคนแล้วห้องเบอร์นี้)

24.ชาวอำเภอเมืองสงขลา  เชื่อกันว่า ณ เขารูปช้างมีผีฟ้า-เทวดาป้องปกรักษาอยู่เรียกกันว่า "ทวดช้าง" หรือ"พ่อทวดช้าง"  เชื่อว่าเป็นดวงวิญญาณของควาญช้างและพญาช้างใหญ่ 2 เชือก(พ่อพลายแก้ว  และแม่พังงา)

25.แถวน้ำตกโตนงาช้าง  และย่านหูแร่ในสมัยก่อนเชื่อกันว่ายังมี ?ผีหลังกลวง? อาศัยอยู่เชื่อกันว่าผีหลังกลวงเป็นความเชื่อของชาวไทยภาคใต้มีลักษณะเป็นเหมือนกับคนธรรมดาแบบเราๆท่านๆนี่แหล่ะ แต่มันไม่ชอบใส่เสื้อผ้า(ประมาณว่าใส่แต่กางเกงที่ขาดรุ่งริ่ง)และที่สำคัญคือมันมีสันหลังที่กลวงโบ๋วมีน้ำหนองไหลออกมาอย่างน่ากลัว ผีหลังกลวงชอบอาศัยอยู่ในแถบสถานที่ๆมีอากาศเย็นโดยเฉพาะในบริเวณน้ำตกต่างๆของทางภาคใต้ เชื่อกันว่ามันชอบกินของดิบๆเป็นนิสัย ส่วนกรรมวิธีในการหลอกคนก็คือ มันจะมาทำทีพูดจา-เจรจาเป็นมิตรกับผู้ที่ผ่านถิ่นที่อยู่ของมันในยามค่ำคืน  จากนั้นมันจะแกล้งคันหลังแล้วขอให้มิตรใหม่ช่วยเกาหลังให้........หันหลังให้คนที่มันจะหลอกดู(หลายคนพอได้เห็นหลังอันกลวงโบ๋วของมันแล้วก็อาจจะกลัวจนวิ่งหนีไปเลยก็มี) แต่ผีหลังกลวงในบางพื้นที่ เช่น ที่จังหวัดพัทลุงนั้นมันมีวิธีหลอกโดยการเดินมาตอนกลางคืนแล้วอาสาว่าจะช่วยตำข้าวให้ พอเจ้าของบ้านเผลอมันจะฉวยโอกาสหักคอกับครกตำข้าว(คนพัทลุงในสมัยก่อนเลยไม่ค่อยมีใครนิยมตำข้าวตอนเวลากลางคืน)

:D

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

คุณาพร.

26.บ้านคูเต่า  อำเภอบางกล่ำ  จังหวัดสงขลา  ยังเชื่อว่าในเครื่องดนตรีของถิ่นตนมีผีชนิดหนึ่งสถิตอยู่เรียก "โต๊ะเคร็ง"  เชื่อกันว่าโต๊ะเคร็งเป็นผีที่สถิตอยู่ในเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของทางภาคใต้ โดยหากมีการเซ่นสรวงที่ดีโต๊ะเคร็งจะทำให้การประกอบอาชีพทางด้านเป็นนักดนตรีเจริญก้าวหน้า แต่หากทำผิดกฎการเซ่นสรวงบูชาแล้วโต๊ะเคร็งจะนำพาความวิบัติมาให้ได้

27.เชื่อกันว่าในคลองอู่ตะเภาในอดีตยังมีจระเข้ผีสิงสถิตอยู่  มีตำนานเล่าว่า  ในอดีตลำคลองอูตะเภายังอุดมสมบูรณ์มีจระเข้อาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น  เนื่องด้วยมีปลาอย่างชุกชุมทำให้วิถีทางการดำเนินชีวิตของคน และจระเข้ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน  จวบอยู่มายุคหนึ่งเกิดเหตุจระเข้กินคนเกิดขึ้นลือว่าเป็นจระเข้ผีสิง  ขึ้นมาจากน้ำ  คาบ กัดกินเด็กที่เล่นน้ำบริเวณท่าน้ำวัดท่าแซไปหลายรายจนเป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึงของผู้คนในสมัยนั้นเป็นยิ่ง  จวบจนความเจริญได้เดินทางเข้ามาสู่ชุมชนคลองอูตะเภามากขึ้น  ตำนานจระเข้กินคนเลยลบหายไปกับกาลเวลาเหลือเพียงคำเล่าลือจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่า......ในอดีตลำคลองแห่งนี้ยังเคยมีจระเข้ผีสิงที่ชอบกินเด็กเป็นอาหารอาศัยอยู่ 

28.เชื่อกันว่าทะเลสาบสงขลายังมีนางเงือก(ผีนางเงือก)อาศัยอยู่  ณ ยามใดก็ตามที่เป็นคืนจันทร์เดือนเพ็ญสว่างเต็มท้องน้ำ  ผีนางเงือกจะขึ้นมาจากท้องน้ำ  นั่งอยู่บนโขดหิน  ใช้หวีที่ทำจากก้างปลาหวีผมอย่างน่าดูชม.......ใครดวงถึงฆาตนางจะลากลงไปในท้องน้ำเอาบุรานายนั้นทำสามี

29.ถนนสายบ้านในไร่-เขากลอย(ทางโค้งข้อศอก)...........ยามค่ำคืน   หากเห็นหญิงสาวรถมอเตอร์ไซด์เสีย  ยืนคนเดียว.........อย่าชี้นิ้วไปหา-อย่ารับขึ้นรถ.........เพราะไม่ใช่คน!!!

30.ต้นไทรใหญ่หน้าวัดคลองเรียน  มีอายุนานมากแล้ว(อาจจะถึง หรือเกิน 100 ปี).......ยามค่ำคืนมักปรากฏผู้คนมากมายพร้อมเทียนส่องสว่าง  พวกเขามาหาตัวเลขก่อนวันหวยออกกันน่ะ  แต่......หากเห็นผู้คนมากมายอันตรธานหายไปในพริบตาที่ชี้มือไปหา..........ท่านจะซวยเอาได้!!!

31.พระคเณศ  หน้าภาควิชาศิลปะ  ว.ค.สงขลา  เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มากๆ........หากใครอยากลองดีให้มาตอนเที่ยงคืน  พร้อมกับหันก้นเข้าหาและ....เกาใส่หน้าท่าน(เชื่อกันว่าจะโดนดีทุกรายไป)

32.ข้างภาคศิลปะ ว.ค.สงขลา  สมัยก่อนยังมีต้นมะพร้าวใหญ่อยู่ต้นหนึ่งข้างสระน้ำ(ปัจจุบันตัดทิ้งแล้ว)........ยามดึกๆเด็กๆที่นี่อาจจะเห็นชายหนุ่มร่างกำยำผิวดำหัวหยิก  ไม่ใส่เสื้อผ้า  พุ่งดิ่งลงมาจากต้นมะพร้าว  ลงสู่สระน้ำข้างภาควิชา.......หายลงไปไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย.......ไม่ต้องตกใจ  เขาแค่ทักทายเด็กศิลป์น่ะ(สมัยก่อนเจอกันบ่อย)

33.ตำนานบ้านโลงศพ (หน้าซอย 10 ราษฏร์อุทิศ) เคยได้ยินเรื่องเล่าในหาดใหญ่อยู่เรื่องหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อนคือเรื่องตำนานบ้านโลงศพ  ว่ากันว่ามีบางส่วนของตัวบ้านดังกล่าวที่สร้างออกมาเหมือนรูปโลงศพยังไงยังงั้น  เล่าลือกันอีกต่อว่าหลังจากเจ้าของบ้านได้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวไม่นานก็ประสบอุบัติเหตุหมู่ยกครัว  (บางคนก็เล่าลือว่ามันเห็นเรื่องแปลกๆเวลาขับรถผ่านบ้านหลังดังกล่าว(ปัจจุบันบ้านโลงศพกลายเป็นร้านถ่ายรูปไปแล้ว)

34.บ้านรูปยิ้ม (ท้ายซอย 7 ราษฏร์อุทิศ)เป็นภาพขาว-ดำ ของหญิงสาวนางหนึ่งที่เล่าลือกันว่าเธอผูกคอตายภายในบ้าน ได้มีการนำรูปภาพดังกล่าวมาแขวนไว้บริเวณหน้าบ้าน  ลือกันอีกว่าหากใครดวงซวยเวลาขับรถผ่านหญิงสาวในภาพจะยิ้มให้(รีบไปทำบุญล้างซวยโดยด่วน!!!)

35.ตำนานผีช่องแอร์ที่หาดใหญ่ เชื่อกันว่ามีโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองหาดใหญ่ที่เป็นต้นเหตุแห่งตำนานผีช่องแอร์(ฆาตกรรมยัดช่องแอร์) และก็มีการเล่าลือกันว่าห้องดังกล่าวของโรงแรมที่เกิดเหตุมีอัตราความเฮี๊ยนสูงมากๆ!!!  ใครมาพักมักเจอดีเข้าแทบทุกราย  เส้นผมหญิงสาวร่วงลงมาจากเพดาน  เสียงประหลาดยามค่ำคืน  กลิ่นศพเน่าโชยมาโดยหาสาเหตุไม่ได้!!!  หลายคนมาถามผมว่าแล้วมันที่ไหนกันล่ะโรงแรมนั้น  แน่นอนว่าไม่ใช่โรงแรมกลางเมืองหาดใหญ่แน่  โรงแรมนี้ร้างมากว่า 10 ปีตั้งแต่น้ำท่วงใหญ่คราวนั้นแล้ว หลายคนบอกว่ามันคือโรงแรมหาดใหญ่ออxxx.......จริงหรือไม่?

36.เรื่องผีที่อาคาร 3 เด็กเทคนิครุ่นเก่าๆเขาเล่าลือกันนักกันหนาว่าแต่เดิมอาคาร 3 ในวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่เคยมีคนตกลงมาตาย(ครูหลายคนยืนยันว่าจริง)หากยืนมองวิวทิวทัศน์อยู่ดีๆมีใครตกลงมาแล้วปรากฏว่าร่างนั้นอันตรธานหายไป  ขอร้อง........อย่าไปทักเดี๋ยวซวย!!!

37.ตำนานต้นจามจุรีให้โชค-หาดใหญ่ใน  หลายคนเรียกกันว่าทวดแม่จามจุรี หรือทวดไกรสิงห์-ราชสีห์จามจุรีใหญ่อันเป็นที่สิงสถิตของทวดแม่จามจุรีตั้งอยู่ ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1  ตรงข้าม สภ.หาดใหญ่ ลือกันว่าต้นไม้ต้นนี้เคยเป็นที่ประหารชีวิตนักโทษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ผู้คอตาย)สืบตำนานพอได้ว่าในราวปี พ.ศ. 2552  ภรรยาของตำรวจชั้นประทวนซึ่งทำงานอยู่ใน สภ.หาดใหญ่   ได้หลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปฏิบัติภาระหน้าที่ประจำวันที่บ้านพักใกล้กับต้นจามจุรี  ครั้งหลับก็ฝันไปว่ามีเจ้าแม่จามจุรี สถิตอยู่ ณ ต้นจามจุรีใหญ่ใกล้กับที่พักของตน  เจ้าแม่จามจุรี  หรือทวดแม่จามจุรีบอกว่าจะให้เลขเด็ดแต่มีข้อแม้ว่าขอให้ตั้งศาลให้ที่ใต้ต้นจามจุรีเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน  ปรากฏว่าถูกหวยจริง  แต่ผู้เป็นภรรยาของตำรวจชั้นประทวนนางนี้ก็ยังไม่ปักใจเชื่อเสียเท่าใดนักจึงไปทำการบนกับทวดแม่จามจุรีว่าขอให้ถูกหวยเป็นครั้งที่สองแล้วจะสร้างศาลแก้บนให้  ปรากฏถูกหวยมาเลย์จริงดังที่ทำการบนไว้  ต่อมาจึงมีการสร้างศาลเพียงตาไว้ให้สำหรับเป็นที่สถิตแก่ทวดแม่จามจุรี  ครั้งข่าวลือเรื่องทวดแม่จามจุรีให้เลขเด็ดได้อย่างแม่นยำยิ่งนักรู้ถึงหูเซียนหวย  นักเลงตัวเลขจากทั่วประเทศจึงแห่กันเดินทางมาเพื่อขอเลขเด็ด  ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างประเทศที่ทราบข่าว อาทิ ชาวมาเลย์  สิงคโปร์  จีน  เป็นต้น  จามจุรีอันเป็นที่สิงสถิตของทวดแม่จามจุรี ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1  ตรงข้าม สภ.หาดใหญ่จึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วทุกสารทิศ  ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ  อันมีสิ่งมุ่งหวังอันเดียวกันคือ "เลขเด็ด" นั่นเอง  นอกจากเรื่องเลขเด็ดที่ชาวบ้านนิยมมาขูด  ทาแป้ง  ลูบหากันแล้วนี่ยังปรากฏความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่แพร่สะพัดกันไปในวงกว้าง  คือเชื่อกันว่าทวดแม่จามจุรีนี้ไม่ชอบให้ใครมาตัดกิ่ง ก้าน ใบโดยไม่ได้รับอนุญาต  ดังเรื่องเล่าลือที่ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเคยมีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลนครหาดใหญ่ จะทำการตัดแต่งกิ่งไม้ข้างถนน  ครั้งตัดแต่งมาเรื่อยๆจนถึงต้นจามจุรีใหญ่ต้นดังกล่าวปรากฏว่าอุปกรณ์สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ไม่ทำงานอยู่นาน  พยายามอย่างไรก็ไม่สามารถซ่อมอุปกรณ์ดังกล่าวได้  จึงต้องล้มเลิกการตัดแต่งกิ่งต้นจามจุรีออกไป  ครั้งเจ้าหน้าที่ของเทศบาลนครหาดใหญ่มาทำการตัดแต่งกิ่งไม้ในครั้งที่สองก็ปรากฏว่าอุปกรณ์สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ไม่ทำงานเหมือนครั้งแรก  จึงเกิดการเล่าลือกันถึงเรื่องความเฮี๊ยนของต้นจามจุรีใหญ่ ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1  กันอย่างกว้างขวาง

38.ตำนานผีทวดเฝ้าถ้ำ  หรือตำนานทวดแหลมจาก  เป็นความเชื่อของชาวบ้านตำบลเกาะใหญ่  อำเภอกระแสสินธุ์  จังหวัดสงขลา ตำนานทวดแหลมจากมีดังนี้กล่าวคือ  ภายในอาณาบริเวณของหมู่ที่ 1  ตำบลเกาะใหญ่  อำเภอกระแสสินธุ์  จังหวัดสงขลา  ปรากฏว่ามีถ้ำใหญ่อยู่แห่งหนึ่งที่ซึ่ง ณ ถ้ำแห่งนี้เองชาวบ้านล้วนเชื่อกันว่าภายในถ้ำมีทรัพย์สมบัติ  แก้วแหวนเงินทอง  ถ้วยชามที่เป็นทองคำฝังเอาไว้อยู่ภายในเป็นจำนวนมาก  และภายในถ้ำนี้เองปรากฏว่ามีจระเข้ใหญ่  ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นจระเข้เจ้าและศักดิ์สิทธิ์
พร้อมทั้งขนานนามให้ว่า  "ทวดแหลมจาก"  มีหน้าที่เฝ้าปกปักรักษาทรัพย์สมบัติดังกล่าวอยู่  คนแต่ครั้งโบราณหรือชาวบ้านในสมัยก่อนจะสามารถเข้าไปหยิบยืมทรัพย์สมบัติต่างๆของทวดแหลมจากได้แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องนำมาคืนในระยะเวลาที่กำหนด  ครั้งกาลต่อมามีคนพาลเข้าไปหยิบยืมทรัพย์ของทวดแล้วไม่ได้นำไปคืนให้  ทวดแหลมจากจึงโกรธและปิดถ้ำลงด้วยหินก้อนขนาดใหญ่ตรงบริเวณปากทางเข้าถ้ำ  ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสามารถเข้าไปหยิบยืมทรัพย์สมบัติของทวดได้อีก  แต่ชาวบ้านในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวก็ยังเชื่อว่าทวดแหลมจากในรูปของจระเข้ทวดขนาดใหญ่ยังคงสถิตอยู่ภายในถ้ำแห่งนั้น
ทวดท่าข้าม  หรือ  ทวดพญาท่าข้าม

39.ตำนานทวดแม่กง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านเกาะหมี มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาอย่างยาวนานถึงรูปแบบ-ความศักดิ์สิทธิ์ของทวดแม่กงเอาไว้ว่า................เมื่อนานมาแล้วยังมีชายชาวบ้านเกาะหมีคนหนึ่งนั่งคุยกับเพื่อนที่ชานเรือน  เขาท้าเพื่อนๆเอาไว้ว่าไม่เชื่อในตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของทวดแม่กง............"ถ้าทวดแม่กงศักดิ์สิทธิ์จริง  ขอให้ขึ้นมาหาเขาบนเรือน เขาจะยอมให้ทวดกัดให้ถึงแก่ชีวิต"   ขณะเดียวกันนั้นเองปรากฏว่ายังมีพญาคางคก(แม่กง)ใหญ่อยู่ตนหนึ่ง  นั่งอยู่บนโขดหินริมฝั่งน้ำ ณ บ้านเกาะหมี  โจนทะยานลงจากโขดหินลงสู่แม่น้ำดังกล่าวเสียงดังสนั่น.......กลายร่างเป็นเข้เจ้า(จระเข้ใหญ่)ในทันทีทันใด  ว่ายตรงไปสู่บ้านของชายหนุ่มผู้ท้าทาย  ถึงริมฝั่งได้  ทวดแม่กงมองชายผู้ท้าทายด้วยสายตาที่โกรธอย่างถึงที่สุด  พร้อมลำเลียงตนขึ้นสู่บนฝั่งพร้อมกลายร่างเป็นงูบองหลาขนาดใหญ่(งูจงอางขนาดใหญ่)  เลื้อยตรงรี่เข้าไปจนถึงบ้านของชายผู้ท้าทาย  ขึ้นไป ณ เรือนชานได้ก็ตรงเข้าหาชายคนดังกล่าว.........เล่นเอาท่านเจ้าของบ้านถึงกับหน้าถอดสี  จำต้องยอมขอขมาโทษแก่ทวดแม่กงในทันทีทันใด   ทวดจึงยอมกลับลงสู่แม่น้ำ  มิทำร้ายเอา(สืบทราบว่าปัจจุบันชาวบ้านเกาะหมีก็ยังคงเชื่อกันอยู่)

40.ตำนานผีนางรำไร้หน้าที่โรงเรียนใหญ่แห่งหนึ่งแถวย่านหาดใหญ่ใน เป็นเรื่องเล่ากันในหมู่นักเรียนโรงเรียนนี้มานานแล้วว่าที่ตึกศูนย์ศิลป์ มักมีเหตุการณ์แปลกๆในค่ำคืนวันทางศาสนา เช่น วันพระ เป็นต้น กล่าวคือมักมีคนได้ยินเสียงดนตรีไทยแว่วมาตามลม  บางคนที่ดวงไม่ค่อยดีอาจเห็นนางรำไร้หน้ากำลังร่ายรำกันอย่างสวยงาม......บรื๋อ!!!

41.ตำนานผีผ้าม่านในตึกศูนย์ศิลป์ที่โรงเรียนใหญ่แห่งหนึ่งแถวย่านหาดใหญ่ใน เรื่องเล่าของเด็กวงโยฯเก่าๆเขาเล่ากันให้ฟังมาว่า  มักมีอะไรแปลกๆชอบเดินไปมาผ่านผ้าม่านในตึกหลังดังกล่าว  เป็นเงาดำๆ แต่พอเดินตามมันไปมันก็จะหายไป  เด็กรุ่นเก่าๆเขาเล่าให้ฟังมาน่ะ!!!

42.ตำนานกระดาษข้อสอบที่เกินมาในอาคาร 2 ม.หาดใหญ่  เล่าลือกันในหมู่นักศึกษาว่า ณ ห้องสอบห้องหนึ่งในอาคารดังกล่าวอาจารย์จะต้องแจกข้อสอบให้เกินมา 1 ชุดเสมอๆเพราะเคยมีเหตุนักศึกษาตายในระหว่างสอบ  หากข้อสอบไม่เหลือ 1 ชุดมักมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นเสมอๆ(เด็กที่นี่เขาเล่าลือกันน่ะ)

43.เรื่องผีห้อยขา  ม.หาดใหญ่  ลือกันในหมู่นักศึกษาว่า ณ ตึกๆหนึ่งใน ม.หาดใหญ่หากใครเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่ที่เหนือบันไดตัวหนึ่ง  อย่าไปร้องทัก(เพราะไม่ใช่คน)

44.ตำนานเสียงซอดังแว่ว ณ ห้องดนตรีไทยโรงเรียนวรนารีเฉลิม เชื่อกันในหมู่เด็กนักเรียนว่าเวลาดึกๆมักได้ยินเสียงดนตรีไทย(โดยเฉพาะเสียงซอ)ดังแว่วมาจากตึกดังกล่าว(ชั้น 3) ข้างในมีใครอยู่หรือเปล่า? นั่นสิ ไม่รู้  เพราะประตูทางเข้ามันล็อคจากข้างนอก!!!
ปล.  ผู้เขียนเองก็เคยไปฝึกสอนที่โรงเรียนนี้มาแล้ว  ปรากฏว่าเจอเหตุการณ์แปลกๆที่อาคารดังกล่าวเหมือนกัน  กล่าวคือคืนนั้นต้องมาช่วยท่าน อ.สืบ  แกะแผ่นโฟมที่ห้องศิลปะทั้งคืน  ผมอยู่กับเพื่อนรวม 3 คนปรากฏว่าตกดึกเพื่อนๆอีก 2 คนออกไปกินกาแฟ  ส่วนผมอาบน้ำ(ราวตี 2) ขณะอาบน้ำนั้นเอง(ห้องน้ำครูชั้น 2)มีคนมาเคาะประตูแรงๆ 2 ที  พอใส่กางเกงได้ก้รีบออกมาดุปรากกว่าไม่เจอใคร  มองออกไปที่หน้าต่างพบเพื่อน 2 คนยังนั่งอยู่ร้านกาแฟ.......ในตึกมีผมอยู่คนเดียว  และยังคงสงสัยอยู่ทุกวันนี้ว่า  ใครกันเล่าที่กรุณามาเคาะประตูห้องน้ำตอนตี 2  ส่วนเหตุการณ์เสียงซอดังแว่วก็เคยได้ยินนะ ได้ยินพร้อมกันทั้ง 3 คนตอนเที่ยงคืนตรง  แต่พอออกหาต้นตอของเสียงกลับมาจากซอของ อ.สืบ ที่แอบเล่นอยู่ข้างล่าง(นอนดึกจริงนะท่าน)

45.เรื่องเล่าสายลมที่พัดแรงในห้องสมุดโรงเรียนวรนารีเฉลิม  สายลมดังกล่าวมักพัดในเวลาช่วงเช้าทำให้เก้าอี้ในห้องสมุดหกล้มระเนระนาดไปหลายตัว  ทั้งๆที่ปิดหน้าต่างหมดทุกบานแล้วนะ!!!


46.ตำนานผีวิ่งเล่น ที่อาคารเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่  เล่าลือกันในหมู่นักศึกษาอิเล็กรุ่นเก่าๆ(ราวปี 36)ว่าชั้น 4 อาคารเรียนอิเล็กยามค่ำมักมีเรื่องแปลกๆ  เคยมีเด็กที่เรียนภาคบ่าย(สมัยก่อน)ช่วยปิดประตูอาคารเรียนให้อาจารย์  ตรวจเช็คว่าไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว แต่......ปรากฏว่าได้ยินเสียงคนวิ่งอยู่ข้างบน  พอขึ้นไปดูอีกครั้งก็ไม่ปรากฏใครบนอาคาร  ว่ากันว่าคนที่ดวงซวยมากๆอาจเจอเป็นเงา  เป็นร่างให้ได้เห็น  อาทิ บริเวณแท้งเก็บน้ำอาคารอิเล็กที่หลายๆคนเคยเจอมาไง!!!

47.ตำนานนักเรียนหญิงถักเปีย ณ บันไดเวียนโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ เล่าลือกันว่าหากใครดวงซวยจะเจอเข้ากับเธอ  บางครั้งเธอจะมาให้คุณเห็น  บางครั้งจะมาเป็นเสียงเหมือนคนตกบันได  อย่าพยายามวิ่งค้นหาเธอล่ะ  ยังไงก็หาไม่พบ

48.ตำนานผีบูม ของคณะ วจก. เชื่อกันว่า ณ มหาวิทยาลัยใหญ่แห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่(ตั้งอยู่ตรงข้ามห้างโลตัส)ยังปรากฏเรื่องเล่าที่น่าขนพองสยองเกล้าเรื่องหนึ่งว่า  เคยมีรุ่นพี่คณะ วจก.เช่ารถตู้เหมารวมกันจะไปรับปริญญาที่จังหวัดหนึ่งทางตอนล่างของภาคใต้(วิทยาเขต)  แล้วรถตู้ประสบอุบัติเหตุตายหมู่หลายศพ  พอถึงเวลาผ่านมาบรรจบรุ่นพี่ที่ตายไปมักจะกลับมาบูมถึงห้องน้องๆคณะ วจก. เพราะยังไม่ได้รับปริญญา  เล่ากันต่ออีกว่าหลายคนเจอเข้ากับตัวถึงกับจับไข้ไปหลายวัน

49.ตำนานแขน-มือปริศนา  เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของนักเรียนโรงเรียนกอบกุลวิทยาคม หมู่บ้านคลองแงะ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาคารห้องสมุดเก่าของโรงเรียนว่า  หลายคนมักจะเห็นแขน-มือปริศนาที่มีเล็บยาวและแหลมมากเป็นบางครั้งในเวลาเย็นๆ หรือกลางคืน หากมองนานๆแขน-มือดังกล่าวจะหายไป!!!

50.ตำนานผีทหารที่โรงเรียนบ้านคลองแงะ (ชาติบุณยวิทยาการ) อำเภอสะเดา เล่าลือกันในหมู่คนเฒ่าคนแก่ ณ บริเวณใกล้กับโรงเรียนว่าสถานที่ตั้งโรงเรียนเดิมทีเป็นสุสานทหารญี่ปุ่น  เคยมีคนมาลองของกันตอนดึกปรากฏเจอผีทหารญี่ปุ่น(ไม่มีหัว)ต้องวิ่งกันกระเจิง

51.ตำนานผีผูกคอในตู้เหล็ก  เป็นเรื่องเล่าของนักศึกษาหอพักอาคาร 2 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง(ตั้งอยู่ตรงข้ามห้างโลตัส)เล่าลือกันในหมู่เด็กหอพักว่ามักเจอเหตุการณ์แปลกๆเวลาเอาเสื้อผ้า-วัสดุอุปกรณ์ไปเก็บในล็อคเกอร์-ตู้เหล็กภายในหอพักดังกล่าว  ว่ากันว่าคนที่ดวงซวยมากๆจะเห็นเป็นนักศึกษา(ชาย)ผูกคอตายในตู้เหล็ก!!!

52.ตำนานชุดนอนสีแดงหอพักในและตำนานเต่าปริศนา เป็นเรื่องเล่าในหมู่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยทักษิณว่า ห้ามใส่ชุดนอนสีแดง และห้ามร้องเพลง "แต่ปางก่อน" ในหอพัก  ไม่งั้นจะเรียนไม่จบและอาจเจอดีในหอพัก  หลายคนเล่าให้ฟังว่าหากใส่ชุดนอนสีแดงจะถูกผีดึงลงมาจากเตียงนอน  หากร้องเพลง "แต่ปางก่อน" ภายในหอพักจะมีเสียงร้องคลอตามมา......บรื๋อ!!!  ตำนานเต่าปริศนา ณ สระน้ำหน้าหอพักริมบึง  เด็กที่ ม.ทักษิณเชื่อกันว่าหากใครมานั่งเล่นในยามค่ำคืนแล้วเห็นเต่าในสระน้ำหน้าหอพักริมบึงแล้วจะทำให้เรียนไม่จบ  รายที่ซวยมากๆอาจถึงชีวิต

53.ตำนานพี่บัณฑิตที่หอประชุมเก่า  เล่าลือกันในหมู่นักศึกษาของ ม.ทักษิณว่าช่วงกลางคืนก่อนวันรับปริญญาไม่ควรเดินผ่านอาคารหอประชุม(เก่า)เพียงคนเดียวเพราะอาจจะเจอกับพี่บัณฑิต(ผี)ที่มารอซ้อมรับปริญญาอยู่ก็ได้  ลางคนก็ว่าพี่บัณฑิตคนนี้-กลุ่มนี้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อนวันรับปริญญาเลยทำให้ยังไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ต้องมาซ้อมรับปริญญาอยู่เรื่อยไปทุกปี..............เอ้อ

*****สุดท้าย นี่แถม  ชุดนักศึกษาศิลปะที่ ว.ค.สงขลา(มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา)...............มีสีดำ  น่าจะเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่ใช้สีดำทำชุดนักศึกษาประจำภาควิชา  เกิดขึ้นราวปี พ.ศ.2540(ในยุคของผู้เขียนเข้าปี 1 ศิลป์)พวกเราชาวศิลป์ช่วยกันเลือกว่าจะเอาสีอะไรที่รักษาความสะอาดได้ง่ายที่สุด สะดุดตา  สุดท้ายโหวตลงเอยที่สีดำ...........มันเท่ห์ดี และยังไม่มีใครเขาใช้  อิอิ........... ^ - ^
*****ปล.   ความจริงยังมีเรื่องให้ได้เล่า-เขียนอีกเยอะ..............แต่ตอนนี้ไม่ค่อยว่างแล้วล่ะ เอาไว้ว่างๆเดี๋ยวมาเล่าต่อนะเออ  ^ _ ^
*****เล่าเรื่อง/รวบรวม/เรียบเรียงโดย  :  คุณาพร.
ศิลปวัฒนธรรมไทยภาคใต้  www.siamsouth.com
ห้องคุยกับคุณาพร...........  http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0
;)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

แยมมี่

ถูกใจ ใช่เลย จะคอยติดตามตอนต่อไปนะค๊ะ

ส่วนตัวชอบแนวนี้อยู่แล้ว ลี้ลับ แต่ไม่ลึกลับ หุหุ ^__^

กิมหยง

สร้าง & ฟื้นฟู

คุณาพร.

2 ท่านข้างบน...............ย้ายมาจีบกันกระทู้นี้เเทนเเล้วเหรอครับ  อิอิ  ;)

****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

กิมหยง

สร้าง & ฟื้นฟู

คุณาพร.


****** บทความพิเศษ : เปิดกรุหนังต้องห้าม (Prohibited Films) *******
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=19768.0

เว็บบอร์ดส่วนตัว  :  ห้องคุยกับคุณาพร
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?board=11.0

กิมหยง

ครับ แยมหมีเขาชอบบรรยากาศแบบนี้ครับ

เป็นผู้หญิงที่แปลกมากมายจ้า
สร้าง & ฟื้นฟู