ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

ศาสนาในยามยาก?

เริ่มโดย Mr.No, 21:15 น. 03 ก.ค 56

Mr.No


[attach=1]

พักหลังมานี่...เปิดทีวี.ฟังวิทยุหรือแม้แต่แผงหนังสือพิมพ์ ..ไม่มีที่จะไม่เล่นข่าว  "ซุปเปอร์เณร" อย่าง บ่าวคำ ณ ปารีส
ข่าว เณรคำ ทำเอาผมอดรนทนไม่ได้ที่จะต้องเขียนอะไรออกมาให้หาย "แน่นอก" กะเค้ามั่ง

เขียนไปพลางคิดถึง...สหายคุณหลวง ว่าป่านนี้จะไปนั่ง "ยุบหนอ..พองหนอ" อยู่  อยู่หม่องใด!

กรณี "เณรคำ" ที่อายุแค่สามสิบต้นแต่ดันเล่นข้ามรุ่น เอาหมากมายัดปากเคี้ยวจั๊บ ๆ ทำหยั่งกะหลวงตาอายุแปดสิบ ..แถมใส่สรรพนามหน้าว่า เป็น "หลวงปู่" น่าตาเฉย
..พอคนถามพวกก็เฉลยแบบหน้าตายว่า เอาอายุชาติที่แล้วมาบวกด้วย วันนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่อง talk of the town กระเทือนศาสนาจักรพุทธอย่างท้าทาย

ขนาดหมอนี่อายุแค่สามสิบ...แต่ดันรู้ชาติภพเอาอายุอดีตมาบวกปัจจุบันเพราะกลัวขลังไม่พอแบบนี้   

เฮ้ย!..   งานนี้ในบอร์ดกระดานลานบุญ มิเต็มไปได้ คุณทวด..คุณตา คุณตาทวด กันเต็มบอร์ดซิโว้ย!
ที่สำคัญเผลอ...เวบมาสเตอร์ ก็น่าจะประมาณ   "คุณทวดกิม"  เอาละมัง...ฮา!

แทบไม่น่าเชื่อว่า...พุทธศาสนาที่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านทรงสอนให้คน "ใช้ปัญญา" และ "เหตุผล" ในการอธิบายความเป็นไปของธรรมชาติ ผ่านมากว่า 2000 ปี ก็ยังมีคน "โง่" ในบ่อตมจมใต้บัวกันอีกบาน

เรายังมีคนที่ไม่ใช้ปัญญาพิจารณาแต่ดันเฝ้าตามหา "ฮีโร่" เพื่อมาเป็นผู้นำทางลัดให้ตน...ทั้งตัดกรรม..แก้กรรม...และเผลอ ๆ พวกเล่นใช้เป็นผู้นำในการเข้าถึงสวรรค์....หรือ นิพพาน ก็มี!

เรื่องแปลกแบบนี้...เป็นธรรมดาของสังคมที่ยังก้าวไม่ผ่านสิ่งที่ธรรมะเรียกว่า "อวิชชา" คือ การไม่รู้ในสี่ประการแห่งอริยสัจสี่ โดยเฉพาะไม่รู้ในเรื่องของ เหตุแห่งทุกข์นั้นเกิดมาจาก ตัณหาในจิตของตน แต่กลับไปโทษ ผีสางเทวดา หรือสิ่งลี้ลับว่ามาทำคุณทำโทษให้

เหล่านี้..ทำให้เกิดช่องโหว่แห่งปัญญา และสร้างฮีโร่พันธุ์ใหม่เป็นผู้นำ ทั้งหญิงทั้งชาย....

[attach=3]
ฮีโร่ชาย..บ้างก็พยายามยกเอาสวรรค์..วิมาน..มาล่อนะจ๊ะ ...จนสินทรัพย์รวมน่าจะมากนับหลายหมื่นล้าน!
ฮีรี่หญิง...บ้างก็อวดอ้างว่าตนเห็นกรรมคนโน้นคนนี้...แถมรู้หมดว่าต้องแก้อย่างไร...สุดท้ายขนาดยุให้ "เด็กมันเอาแก้กรรมซักที" แบบนี้ก็มีในเมืองไทย

[attach=2]
ล่าสุดอย่าง ไอ้เณร ที่ดูแล้ว ฉลาดกว่า บักเณรแอ เพราะไอ้เณรเล่นมาแผนเดียวกับรุ่นใหญ่ "นะจ๊ะ" เพราะเล่นจับพวกกระเป๋าใหญ่..ตำรวจใหญ่...และที่โคตรฉลาดคือรู้วิธีการล๊อบบี้ติดสินบนเจ้าพนักงาน อย่าง เจ้าคณะ,พระผู้ใหญ่ จนวันนี้ท่านเริ่มเป๋ จากเจ้าคณะทำท่าจะเป็นเจ้าคณะโจร เพราะเล่นออกมาทำท่าปกป้อง ไอ้เณร อย่างไม่สนใจว่าจะออกทีวีช่องไหน...โดยเฉพาะที่บอกในทำนองราวกับว่าการระลึกชาติ..การตู่พระพุทธเจ้า..การประกาศว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ..ซึ่งมันชัดว่าเข้าข่าย "อวดอุตริมนุสสธรรม" แต่หลวงลุงเจ้าคณะดันออกมาบอกว่า ถ้าเค้าสามารถทำได้อย่างที่บอกจริงก็ไม่เข้าข่าย!!!!?????


ประเทศไทยยามนี้....อะไร ๆ มันก็กลับตาลปัตรได้แบบไม่น่าเชื่อ  ......
ล่าสุด..กรณีจับพระครูเจ้าอาวาสวัดในปัตตานีขณะนอนกกสีกา หรืออย่าในหาดใหญ่ที่หน้าตลาดกิมหยง....ในตลาดสด...หรือแถวโก้งโค้ง นั่นมากันเป็นแก๊งค์มาเฟีย ขนาดร้องเรียนให้เจ้าคณะวัดโคกสมานคุณทีหน้าที่โดยตรง....ก็ยัง   "แป่ว!"   แบบธุระไม่ใช่    หรือร้องไปยัง มหาเถรฯ สารพัด ก็เงียบยังกะเป่าสาก

ดังนั้น... ชั่วโมงนี้ จึงเป็นเรื่องของ "ปัญญา" ล้วน ๆ!


จึงเตือนสาธุชนคนที่ยังเชื่อในหลักธรรมแห่งพุทธองค์ว่า....ให้ดำรงตนอยู่ในหลักแห่งความเป็นปัจจุบัน ..

ให้พึงระลึกว่า.... พระดี..พระแท้ คือพระที่ "ไม่มีอะไร"  เป็นพระที่สอนให้เราหลีกเร้นการ  ไร้ภพ..ไร้ชาติ

เห็นหน้า "บักเณรคำ" แล้วย้อนนึกกลอนสุนทรภู่ที่ว่า

"อันตัณหาราคะนั้นสาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน .."

เรื่องพรรค์นี้....คนจนไม่ค่อยเครียด เพราะ...  พลาดแล้วอาจเสียแค่  ร้อยสองร้อย... ช่างมันนึกว่าทำทาน..

แต่....ที่น่าฮาก็คือ  พวกที่เรียนสูง....แถมยิ่งรวยกลับยิ่งอับปัญญากว่า ....เพราะอารามกลัวตกรถไฟไปนิพพาน ...เลยโดนเอาหลักล้าน.ถึงหลายล้าน...พาลเล่นเอา  "โยมจะเป็นลมตายนะหลวงปู่" "เดี๊ยนหมดตัวแล้วนะค๊า..อย่าเจริญ porn อีกเลยนะฮ้า)   ฮา!
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

แล้วเชื่อเราป่ะ

ของจริงไม่ได้โม้แผ่นดินไหวเลยเห็นป่ะ 6ริกเตอร์ เคยด่าว่าเร่าใช่ไม๊ไม่พรื่อเพราะภูมิธรรมไม่ถึงก็ได้สัญญาความจำตรรกะทางโลกมาคร่ำครวญ เราเข้าใจ อิๆ เราบ้าจำได้ป่ะ

แล้วเชื่อเราป่ะ

มันอยู่ที่ ตบะ บริกรรมภาวนา และการกล้าสล่ะชีพเพื่อธรรมเราผ่านม่าแล้ว เจ้าล่ะทำรึยัง จงใช้จิตสัมผัสมากกว่าตาดูหูฟังสัญญาความจำตรรกะทางโลกมาตัดสิน ข้องใจไร เดี๋ยวตอบให้ จัดมา

แล้วเชื่อเราป่ะ

ธรรมพระพุทธองค์แท้จริงยังอยู่ตลอดการ เพียงแค่จิตที่เรามองชอบใช่ไม๊ตื่นตัวกับการดูข่าวการฆ่าตายแบบโหดทำให้ขายดีเรดติ้งขึ้นคนดูมากสปอรเซอร์เยอะตังเข้ากระเป๋าเยอะ มึงตัวดีผู้สื่อข่าว ถ่ายทอดสืบทอดอารมณ์ชั่วร้าย มรึงสนับสนุนความชั่วให้ถ่ายทอดทุกมุมโลก ความชั่วน่ะมีม่อยู่ทุกยุคสมัย ทำมัยมรึงต้องพรีเซ็นความชั่วหากินหาเงินสปอนเซอร์ กรูนี่แหละของจริงเป็นกลาง มีกีคนล่ะ ที่กล้าแบบกรูให้มรึงทั้งหลายเห็นความจริง กรูบ้าไง รู้รึยัง นรกไม่ไปไหนอ้าปากรอมรึงถ้ายังชั่วหมกเม็ดอยู่แต่ยังไงก็สีซอให้ควายฟัง ไข่นุ้ยเอ้ย

แล้วเชื่อเราป่ะ

อย่าให้z ถ้าปล่อยหมด โลกธาตุรับไม่ไหว แผ่นดินแผ่นฟ้า สะเทือนเลื่อนลั่น อย่าเชื่อา เราบ้าแน่นอน แต่บ้าอะไรดูไตร่ตรองให้ดี บ้าแบบนี้ยังไงก็คุ้ม ส.หลกจริง

แล้วเชื่อเราป่ะ

อะๆๆๆกรูบ้าแล้วเว้ยอะๆๆๆๆๆ ส.ดุดุขำขำ

ฅฅนหลง

.

..ฅ ฅนหลงมาอ่านเรื่องนี้ทั้งของฅนดีและฅนบ้า หนุกดี ส.สู้ๆ ส.สู้ๆ ส.ยกน้ิวให้ ส.หลก

Mr.No

อ้างจาก: แล้วเชื่อเราป่ะ เมื่อ 00:30 น.  04 ก.ค 56
อะๆๆๆกรูบ้าแล้วเว้ยอะๆๆๆๆๆ ส.ดุดุขำขำ

[attach=1]
ส.โขกกำแพง ส.บ๊ายบาย
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

ผีดำ1

เวลาถวายเงินปัจจัย อย่าถวายส่วนตัวให้พระเยอะไปให้พอประทังใช้จ่ายก็พอซึ่งไม่ได้ใช้ไรมาก ข้าวก็ฟรีอยู่แล้ว ให้ถวายในนามวัดที่มีกรรมการช่วยกันดูแล แบบนี้แล้วพระจะไม่ตาโตไม่เหลิงไม่หลงในลาภยศ (แต่คนส่วนใหญ่กลัวไม่ได้หน้าชอบให้ท่านหัววัดมากๆยกยอกัน เสียงเขาว่าองค์ไหนดังแล้วชอบเข้าหา)อย่าลืมว่าเงินใช้ซื้อได้ทุกอย่าง ตำแหน่งพระก็ว่าซื้อกันแล้ว พอพระมีเงินมากก็ใหญ่แหละ อิทธิพลก็มาก คนใกล้ตัวก็เหลิง ปรับเปลี่ยนที่ตัวญาติโยมก่อนตะ รับรองพระไม่กล้าเหลิงถ้าชาวบ้านไม่ยุยง

บ่องตง


Mr.No



ช่วงนาทีที่ 04.58 มีคนถาม "หลวงปู่ครับ...อยากรู้เรื่อง ปฎิจสมุปบาท ครับ"

          บักคำตอบ   "แปลว่าอะไร???"

  ไม่น่าเชื่อว่า หัวใจแห่งธรรมะ ซึ่งเป็นทุกอย่างของสาระของพุทธองค์ ดันไม่รู้จัก! . ส.โขกกำแพง ส.โขกกำแพง

..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

ศีลห้ามีบ่.งง

..



...ศีลห้ายังไม่รุมีบ่ ส.หลก ส.ยกน้ิวให้

archangel

เข้าใจผิดคิดว่าศาสนาในยามยากของท่าน คือเวลายากจนเราก็ใช้ศาสนาทำเงิน  ส.โขกกำแพง

Mr.No

อ้างจาก: Archangel เมื่อ 10:20 น.  05 ก.ค 56
เข้าใจผิดคิดว่าศาสนาในยามยากของท่าน คือเวลายากจนเราก็ใช้ศาสนาทำเงิน  ส.โขกกำแพง

ใช้ได้ในสองนัยยะครับ... ส.หัว

  อย่างแรก หมายถึง  ยามยากที่เป็นช่วงที่ศาสนาเข้าสู่จุดตกต่ำและกำลังกลายเป็น  "พุทธเพี้ยน"..
  อย่างที่สองก็แบบที่ ท่านว่าละ....  จากบักหำคำ เด็กบ้านนอก โคตรฉลาดที่เลือกใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำกิน รวยกันเป็น "พันล้าน!" ...ก็คงต้องให้เค้าละ.. เพราะเค้าบอกขอเกิดชาตินี้ชาติเดียว  ส่วนชาติหน้าจะเป็นอะไร อยากให้ลองคิดกันดูเอง.... ส.หลกจริง ส.หลกจริง
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

นั่งทางใน

ดูข่าว แผ่นดินไหว 7.2 เห็นว่าลูกมันหรอกพ่อมันกำลังตามมาน่าจะทำสถิติใหม่ให้ดู อย่าเชื่อๆ ของจริงกว่า บักคำ อยู่ใกล้ไม่สนใจ โดนบักคำหลอกไปกี่รอบแล้วหล่ะ บุญได้แน่นอน แต่ความเข้มข้นบุญมันเจือจาง บริกรรม ภาวนา ซะเพื่อนร่วมวัฏวน,
วัฏเวียน 100 ปี มนุษย์ขี้เหม็น ยังไม่ถึงวันนึงของเทวาเลย ไม่ต้องไปเทียบ พรหม อรูปพรหม หึหึ เงินทองกองเท่าภูเขาก็ไม่เท่าสะสมภูมธรรมยกระดับจิตให้สูงยิ่งขึ้นไป โสดาบันเป็นอย่างน้อยการันตีว่าอนาคตหลุดพ้นแน่ๆ แฮ่ๆๆ บ้าอีกแล้ว ส.ก๊ากๆ

คุณหลวง

    เห็นชื่อท่านพี่แล้วก็ทราบดีว่ามีอะไรน่าดูชม.... ส.อืม

    ไม่ได้เข้ามาง่ายๆหรอกครับ ด้วยเหตุผลเดิมๆแต่มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่สามารถเข้าเน็ตได้จริงๆคือที่บ้านสันดาน..เฮ้ยๆๆ...สัญญาณโทรศัพท์ไม่มี มีแอร์การ์ดไว้ยั่วโทสะโน๊ตบุคเท่านั้น  ส-เหอเหอ นี่ก็ว่าจะขอความเห็นใจจากผู้ให้บริการสักรายนึง ไม่รู้จะว่าอย่างไร

    เข้าใจอารมณ์ท่านพี่นะครับ แต่บางทีก็อดนึกไม่ได้ว่าท่านพี่เครียดไปหรือเปล่า

    หากท่านพี่ลองทบทวนกลับไปดู เราก็จะทราบว่าที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันเสื่อมไปตามธรรมดา จนพระพุทธองค์ทรงเตือนไว้ในครั้งสุดท้ายว่า สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

    สังขารทั้งรูปธรรม นามธรรม ไม่จำกัดไม่ยกเว้นสิ่งไรๆทั้งสิ้นมีความเสื่อมไปธรรมดา เพราะสรรพสิ่งมันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย และดับไปตามเหตุปัจจัย มันธรรมดา ธรรมดาแม้กระทั่งสิ่งที่เราเรียกกันว่า "ศาสนา" เพราะศาสนาที่มีศาสดา มีคำสอน มีสาวก มีศาสนวัตถุ รวมๆแล้วเรืยกว่าศาสนาตามที่เรายึดถือนั้น มันก็เป็นสังขารอย่างหนึ่ง มันเลยมีความเสื่อมเป็นธรรมดา

    หากจำได้ เมื่อมีภิกษุจำนวนมากขึ้นนั้น พระสารีบุตรมีความวิตกขึ้นถึงกับเข้าไปกราบทูลพระศาสดาให้บัญญัติสิกขาบท แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ ด้วยเหตุว่ายังไม่ถึงเวลา ต่อมาเมื่อพระรูปหนึ่ง(ตอนนี้คิดชื่อไม่ออกครับ)ทนความรบเร้าจากแม่และภรรยาได้โดยไม่ยอมสึก ภรรยาหมดทางแล้ว เลยอ้อนวอนขอบุตรไว้สืบสกุล ท่านก็อนุโลม แต่สังคมไม่อนุโลม นำความกราบทูลพระพุทธองค์ ซึ่งทรงเรียกมาไต่สวน เมื่อภิกษุรูปนั้นรับตามจริงแล้วก็ตำหนิ และบัญญัติสิกขาบทข้อแรกว่า "ห้ามมีเมถุน"

    ต่อมา และต่อๆมาก็มีพระพิเรนทร์มากขึ้น ไม่เอาใจใส่มากขึ้น บวชแอบแฝงมากขึ้น ก็มีบัญญัติมากขึ้น มากจนมากถึง ๑๕๐ สิกขาบท และเถรวาทเราเพิ่มเป็น ๒๒๗ อย่างที่ทราบกัน

    ที่ว่ามา เพียงจะบอกว่า ความเสื่อมมันมาพร้อมความเกิดแล้วครับ ขึ้นอยู่กับว่ามันมีเหตุปัจจัยให้มันสืบเนื่องได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง แต่ในระหว่างความสันตติ(สืบเนื่อง)นั้น มันก็เกิดดับตลอดเวลา อย่าไปเดือดร้อนใจจนเกินไปเลยครับ ในลำธารร่อนทองมันมีกรวดมากกว่าทองอักโขราสา แต่คนร่อนทองไม่เดือดร้อนเรื่องกรวดหินมาก เขาเพียงร่อนหาทองไปเท่านั้น กรวดหินก็ทิ้งไป

    แม้บางอย่างก็อาจต้องมองในรายละเอียดมากหน่อย อย่าเพิ่งตัดสิน อย่างเรื่องอวดอุตริมนุสสธรรมนั้น ท่านบัญญัติว่าหากอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนนั้น อาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุทันที แต่หากอุตริมนุสสธรรมนั้นมีจริงแล้วพูดอวดท่านปรับอาบัติทุกกฎครับ ดังนั้นที่ท่านพี่กล่าวถึงพระสังฆาธิการที่พูดอย่างท่านพี่ว่านั้น ก็ไม่ใช่การพูดผิดครับผม

    และไม่ใช่ว่าจะปรับเป็นอาบัติทุกครั้งที่แสดงอุตริมนุสสธรรม (อุตรมนุสสธรรม แปลว่า ธรรมอันเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาๆมี) เพราะบางครั้งครูบาอาจารย์ท่านก็อาจต้องใช้เพื่อเป็นกำลังใจแก่ศิษย์ได้ครับ อย่างประวัติหลวงปู่ขาว อนาลโย ลูกศิษย์ท่านเล่ามาว่า

    วันหนึ่ง หลวงปู่กำลังพักผ่อนอยู่ที่ศาลา โดยมีลูกศิษย์(ภิกษุ)หลายรูปคอยฟังคำสั่งสอนตักเตือนของท่าน จู่ๆท่านก็บอกลูกศิษย์ว่ามีเสียงร้องให้ช่วยอยู่หน้าวัด ไปช่วยกันหน่อย ศิษย์ทั้งหลายตั้งใจฟังก็ไม่มีเสียงอย่างที่ท่านว่าให้กระทบโสตประสาท ท่านเลยบอกให้ไปดู

    บรรดาศิษย์กลับมาจากหน้าวัดก็ยืนยันทุกรูปว่าไม่มีสิ่งที่อาจารย์ว่า องค์หลวงปู่เลยเดินนำศิษย์ทั้งหมดออกมาหน้าวัด แล้วท่านก็ชี้(ด้วยไม้เท้า)ไปยังไส้เดือนตัวหนึ่งที่ถูกมดรุมกัดบิดตัวไปมาอยู่

    "ก็นี่ไง ร้องให้ช่วยอยู่นี่ ไปช่วยกันหน่อยไป"

    อันนี้ ท่านแสดงเพื่อเป็นกำลังใจแก่ศิษย์ๆของท่านให้ตั้งใจธรรมครับ จะว่าอาบัติมิได้ อันว่า อาบัตินั้น ท่าน(พระพุทธองค์)ทรงหมายเอาเจตนาแห่งกรรมนั้นเป็นหลักครับ อย่างในตัวอย่างอาบัติปาราชิก เล่าถึงพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางมาแต่ต่างถิ่น เข้ามาในเขตวัดแล้วเห็นมะม่วงตกอยู่ที่พื้น ด้วยความหิวกระหายเลยเอามะม่วงนั้นมากิน เจ้าของที่โวยว่าปาราชิก ก็ไม่ยอม ต่างนำความขึ้นกราบทูลพระพุทธองค์ๆทรงถามว่า "เธอตั้งใจอย่างไรต่อมะม่วงนั้น"

    ภิกษุต่างถิ่นกราบทูลว่า"ตั้งใจจะฉัน" คือ ไม่ได้คิดเรื่องขโมยอะไรเลย เพียงเห็นเป็นมะม่วงของวัด หิวๆอยู่ก็กินเลย พระองค์ก็ไม่ปรับเป็นปาราชิก แต่ให้เป็น(ไม่แน่ใจระหว่างทุกกฎกับถุลลัจจัย)

   
    ทีนี้ พอมองกลับมาในยุคปัจจุบัน อย่างเรื่องเณรคำที่ท่านพี่กล่าวถึงนี้ ความจริงก็เป็นแค่อาการหนึ่งในความเสื่อมของกองสังขารที่เราเรียกกันว่า "ศาสนาพุทธ" เท่านั้นเอง การกล่าวอย่างนี้อาจดูเหมือนลอยตัวเหนือปัญหา ที่จริงมันไม่ใช่ คือไม่เดือดร้อนไปกับเรื่องของโลก และหากจะแก้ จะปรับปรุงก็จะไม่กระทำอย่างโลกๆ เช่น ด่าว่า ซ้ำเติม(ทั้งเณรคำ ทั้งศิษย์ ทั้ง ฯลฯ)

    คนจำนวนหนึ่งพอมีเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาก็มักซ้ำเติมวิกฤติ พลิกวิกฤติให้วิกฤติหนัก ซ้ำเรื่องที่เกิดขึ้นบางทีไม่วิกฤติใหญ่เท่าที่ใจตนทำให้ใจตนวิกฤติ ไม่เว้นแม้กระทั่งนักปฏิบัติธรรมบางพวกที่ได้ทีอวดตน สาปแช่งเขา อะไรต่อมิอะไรไป

    ทั้งๆที่ความจริง สิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นความธรรมดาของนักปฏิบัติ ศรัทธาธรรมที่ประมาทไปตามลาภ สักการะ โลกเท่านั้นเอง มันควรเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้มองเห็นว่า มันมีอะไรแอบแฝงอยู่มากในกองสังขารที่เราเรียกว่า "ศาสนาพุทธ"นี้ แล้วเราจะได้ไม่ประมาท ไม่หลงไปตามกระแส ไม่ใช่ว่าพอเขาว่า นี่อรหันต์นะๆๆ ก็รีบแห่ไปเอาบุญ พิจารณาดูเสียก่อนสิ ทำบุญก็ทำไปตามปัญญาจะกำกับไว้ด้วย อย่าร้อนจะเอาสวรรค์นิพพานจนเกินไป


    แล้วเราก็จะได้เห็นว่า สิ่งที่พาตนได้ดีที่สุดก็คือตน ดังนั้น การศึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่าศึกษารับฟังเพียงจากคนที่ตนชอบ รัก ศรัทธา อย่าศึกษาเพียงหน้าเดียว เพราะสะจิตตะปริโยทะปะนัง พึงชำระจิตให้ขาวรอบ ไม่ใช่ขาวอยู่แต่หน้าตัวเอง มันต้องมองให้รอบ อย่ารีบ อย่าเห่อ อย่าโจนตามกระแส โจรขโมยมันมีอยู่ในทุกสังคม แม้กระทั่งในหมู่ผู้พิทักษ์สันติราษฎรก็มีโจร

    ผู้ที่รักศาสนาจึงควรเริ่มจากเอาศาสนาเป็นที่ยืนหยัดของใจตนให้ได้ก่อน รู้ว่าศาสนาคืออะไร และวิธีการใดไม่นอกลู่ทางศาสนา การก่นด่า สาสม สะใจ เอามัน อวดตัว สาปแช่ง ฯลฯ มันก็เป็นเพียงอาการหนึ่งที่ศาสนาเรียกว่า "กิเลส" ไม่ใช่ศาสนา

    มองสังคมที่ไหลไปอย่างสงบ มองอย่างเห็นว่าธรรมดาที่มันจะไหลไปอย่างนั้น เราจะชะลอกระแส จะช่วยคนก็ตามกำลัง ทำไปด้วยใจสงบ อย่าทุรนทุรายอยากให้สังคมมันดีจนลืมตัวเอง เพราะสุดท้ายเราก็จะเป็นแค่เหยื่ออันโอชะของกิเลส ที่กิเลสสอนให้เราเรียกว่า "ธรรม" ว่า "รักศาสนา" ว่า ฯลฯ เท่านั้น

    จิตทุกดวงที่ยังไม่รู้แจ้งในธรรมชาติ ย่อมมีโอกาสหลงได้ทั้งสิ้น แม้กระทั่งจิตเราเอง

    จำได้ว่า มีพระพุ?ธดำรัสเปรียบเทียบธรรมวินัยนี้ กับ ทะเลไว้แปดประการ แต่ที่จำได้สองประการ คือ ทะเลลุ่มลึกไปตามลำดับ และซัดซากศพคืนฝั่ง

    ธรรมวินัยนี้ก็ลุ่มลึกไปตามลำดับ และซัดซากศพ คือ ภิกษุอันเลี้ยงชีพอย่างมิจฉา หลอกลวงชาวบ้าน ก็ย่อมถูกซัดกลับมาในที่สุด อย่างเณรคำ ยันตระ นิกร ฯลฯ ก็ล้วนเป็นซากที่ธรรมวินัย(อันหมายว่า ธรรมชาติ)นี้ซัดคืนฝั่งให้เหม็นไปแก่ชาวโลก

    ธรรมชาติก็ทำหน้าที่ตามธรรมชาติ เมื่อยังเป็นสังขารอยู่อาจหลอกลวงคนได้ว่าวิสังขารด้วยปากช่างเจรจาร แต่หลอกธรรมชาติไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัยแห่งสังขาร และ วิสังขาร ล้วนประจักษ์ธรรมชาติธรรมดา เมื่อไม่ใช่ก็ไม่สามารถลวงธรรมชาตินั้นได้ ประดุจลูกปลาที่ไหลผ่านเครื่องคัดขนาด หรือตะแกรงร่อนทราย เมื่อปลาตัวโต หรือทรายเม็ดใหญ่อาจสามารถลวงกิเลสคนให้เห็นเป็นเล็กได้ แต่ลวงตะแกรงลวงช่องเครื่องคัดขนาดไม่ได้ เป็นธรรมดา ฉันนั้น

    และแน่นอน ตะแกรงที่คนสร้างขึ้นมันขาดมันทะลุได้ เพราะสร้างมาจากสังขาร แต่ตะแกรงธรรมชาตินั้นไม่มีขาดไม่ทะลุแน่นอน เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง


    ว่ากันมาซะยาว ไม่รู้จะเป็นสาระหรือซาร่า เฮ้อ ปวดหัวๆ  ส.หัว ส.โบยบิน ส.โบยบิน

                                                         สะบายดี...กันนะครับ ด้วยความห่วงใย
                                                               คุณหลวง (ไม่ใช่ยาดมนะฮ้าฟฟฟฟ)


ป.ล. ทั้งหมดที่ว่ามา มิมีเจตนาอันเป็นไปในทางลบใดๆทั้งต่อท่านพี่และใครๆ เพียงเสนอความไปตามสุจริตที่ใจรู้เท่านั้น หากมีส่วนใดระคายเคืองก็โปรด แผ่เมตตากระผมด้วยนะครับ   ขอบคุณครับ   ส.ยกน้ิวให้

   
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

    อีกอย่างหนึ่ง ผมเสนอนะว่า เว็บกิมหยงร่วมขับเคลื่อนสังคมมานานพอสมควร จนทุกวันนี้กลายเป็นสื่ออนไลน์อันดับต้นๆของโลก...มากไปมั้ง..เอาภาคใต้ก็พอนะครับ

    ผมว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่กิมหยงน่าจะแสดงศักยภาพต่อสังคม ให้ความตื่นรู้แก่สังคม อย่างเช่น การจัดการเสวนาประเด็นร้อนๆ สำคัญๆในสังคม ไม่ว่าด้านการเมือง หรือการบุญ

    หาผู้ร่วมงาน ผู้สนับสนุน อย่าง มอ. ม.หาดใหญ่ ม.ทักษิณ ม.ราชภัฏ ฯลฯ บริษัท ห้างร้าน และ ฯลฯ จัดงานเสวนาเล็กๆขึ้นมา เชิญผู้มีความรู้ ความสามารถมาคุยกัน แลกเปลี่ยน เสนอแนวทางกันกับผู้ฟัง เชิญสื่อต่างๆมาทำข่าว (555)

    ยกตัวอย่าง เช่น ร่วมกับชมรมพระพุทธศาสนาม.หนึ่ง ม.ใด จัดเสวนาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หาผู้ทรงความรู้มาสองสามคน หาผู้สนับสนุนสักเท่าไหร่ก็ได้ ยิ่งมากยิ่งดี แล้วนำมาเสนอผ่านสื่อผ่านเว็บ

   หรือทางการเมืองในท้องถิ่นก็ว่าไป เนาะ

   ท่านพี่และท่านผู้อ่าน ท่านสมาชิกเห็นด้วยไหมครับ กิมหยงเห็นด้วยไหมครับ (ไอ้คุณหลวงหาเรื่องยุ่งให้หล่าว (555)

สะบายดี...(คอมรวนมั้ง ไม่มีไอคอนเปลี่ยนสีซะงั้น)
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

ค คนหลง

.

..มานั่งกินกาแฟ เล่นเนตในวี ไอ พี เล้าจน์ ของ เซนทรอล

เจอคุณหลวงพอดี คิดถึงครับ นึกว่าจะไม่มาในเวบนี้อีกแว้ว...


...ซำ บาย ดี..อายุ บวร.. ส.หัว ส.หัว ส.ก๊ากๆ ส.หลก ส.สู้ๆ

Arsenal

   วิบากกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
คนเราสุดท้ายตายเหมือนกันทุกคน แล้วแต่ว่าคนไหนจะได้ดวงตา เห็นธรรมตอนไหนรึว่าไม่ได้เลย  เช่นเดียวกับบัวที่มี 4 เหล่าครับ  (ส่วนใหญ่คนที่ใกล้ตายมักนึกถึง กรรมที่ทำมา แต่สุดท้ายก็สายเกินไปแล้วครับ)

   ปล.สังคมปัจจุบันจะมีคนถือศีล 5 ข้อได้สักกี่คนครับ

Mr.No

อ้างจาก: คุณหลวง เมื่อ 10:51 น.  06 ส.ค 56
    เห็นชื่อท่านพี่แล้วก็ทราบดีว่ามีอะไรน่าดูชม.... ส.อืม

    ไม่ได้เข้ามาง่ายๆหรอกครับ ด้วยเหตุผลเดิมๆแต่มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่สามารถเข้าเน็ตได้จริงๆคือที่บ้านสันดาน..เฮ้ยๆๆ...สัญญาณโทรศัพท์ไม่มี มีแอร์การ์ดไว้ยั่วโทสะโน๊ตบุคเท่านั้น  ส-เหอเหอ นี่ก็ว่าจะขอความเห็นใจจากผู้ให้บริการสักรายนึง ไม่รู้จะว่าอย่างไร

    เข้าใจอารมณ์ท่านพี่นะครับ แต่บางทีก็อดนึกไม่ได้ว่าท่านพี่เครียดไปหรือเปล่า

    หากท่านพี่ลองทบทวนกลับไปดู เราก็จะทราบว่าที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันเสื่อมไปตามธรรมดา จนพระพุทธองค์ทรงเตือนไว้ในครั้งสุดท้ายว่า สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

    สังขารทั้งรูปธรรม นามธรรม ไม่จำกัดไม่ยกเว้นสิ่งไรๆทั้งสิ้นมีความเสื่อมไปธรรมดา เพราะสรรพสิ่งมันเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย และดับไปตามเหตุปัจจัย มันธรรมดา ธรรมดาแม้กระทั่งสิ่งที่เราเรียกกันว่า "ศาสนา" เพราะศาสนาที่มีศาสดา มีคำสอน มีสาวก มีศาสนวัตถุ รวมๆแล้วเรืยกว่าศาสนาตามที่เรายึดถือนั้น มันก็เป็นสังขารอย่างหนึ่ง มันเลยมีความเสื่อมเป็นธรรมดา

    หากจำได้ เมื่อมีภิกษุจำนวนมากขึ้นนั้น พระสารีบุตรมีความวิตกขึ้นถึงกับเข้าไปกราบทูลพระศาสดาให้บัญญัติสิกขาบท แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้ ด้วยเหตุว่ายังไม่ถึงเวลา ต่อมาเมื่อพระรูปหนึ่ง(ตอนนี้คิดชื่อไม่ออกครับ)ทนความรบเร้าจากแม่และภรรยาได้โดยไม่ยอมสึก ภรรยาหมดทางแล้ว เลยอ้อนวอนขอบุตรไว้สืบสกุล ท่านก็อนุโลม แต่สังคมไม่อนุโลม นำความกราบทูลพระพุทธองค์ ซึ่งทรงเรียกมาไต่สวน เมื่อภิกษุรูปนั้นรับตามจริงแล้วก็ตำหนิ และบัญญัติสิกขาบทข้อแรกว่า "ห้ามมีเมถุน"

    ต่อมา และต่อๆมาก็มีพระพิเรนทร์มากขึ้น ไม่เอาใจใส่มากขึ้น บวชแอบแฝงมากขึ้น ก็มีบัญญัติมากขึ้น มากจนมากถึง ๑๕๐ สิกขาบท และเถรวาทเราเพิ่มเป็น ๒๒๗ อย่างที่ทราบกัน

    ที่ว่ามา เพียงจะบอกว่า ความเสื่อมมันมาพร้อมความเกิดแล้วครับ ขึ้นอยู่กับว่ามันมีเหตุปัจจัยให้มันสืบเนื่องได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง แต่ในระหว่างความสันตติ(สืบเนื่อง)นั้น มันก็เกิดดับตลอดเวลา อย่าไปเดือดร้อนใจจนเกินไปเลยครับ ในลำธารร่อนทองมันมีกรวดมากกว่าทองอักโขราสา แต่คนร่อนทองไม่เดือดร้อนเรื่องกรวดหินมาก เขาเพียงร่อนหาทองไปเท่านั้น กรวดหินก็ทิ้งไป

    แม้บางอย่างก็อาจต้องมองในรายละเอียดมากหน่อย อย่าเพิ่งตัดสิน อย่างเรื่องอวดอุตริมนุสสธรรมนั้น ท่านบัญญัติว่าหากอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนนั้น อาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุทันที แต่หากอุตริมนุสสธรรมนั้นมีจริงแล้วพูดอวดท่านปรับอาบัติทุกกฎครับ ดังนั้นที่ท่านพี่กล่าวถึงพระสังฆาธิการที่พูดอย่างท่านพี่ว่านั้น ก็ไม่ใช่การพูดผิดครับผม

    และไม่ใช่ว่าจะปรับเป็นอาบัติทุกครั้งที่แสดงอุตริมนุสสธรรม (อุตรมนุสสธรรม แปลว่า ธรรมอันเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาๆมี) เพราะบางครั้งครูบาอาจารย์ท่านก็อาจต้องใช้เพื่อเป็นกำลังใจแก่ศิษย์ได้ครับ อย่างประวัติหลวงปู่ขาว อนาลโย ลูกศิษย์ท่านเล่ามาว่า

    วันหนึ่ง หลวงปู่กำลังพักผ่อนอยู่ที่ศาลา โดยมีลูกศิษย์(ภิกษุ)หลายรูปคอยฟังคำสั่งสอนตักเตือนของท่าน จู่ๆท่านก็บอกลูกศิษย์ว่ามีเสียงร้องให้ช่วยอยู่หน้าวัด ไปช่วยกันหน่อย ศิษย์ทั้งหลายตั้งใจฟังก็ไม่มีเสียงอย่างที่ท่านว่าให้กระทบโสตประสาท ท่านเลยบอกให้ไปดู

    บรรดาศิษย์กลับมาจากหน้าวัดก็ยืนยันทุกรูปว่าไม่มีสิ่งที่อาจารย์ว่า องค์หลวงปู่เลยเดินนำศิษย์ทั้งหมดออกมาหน้าวัด แล้วท่านก็ชี้(ด้วยไม้เท้า)ไปยังไส้เดือนตัวหนึ่งที่ถูกมดรุมกัดบิดตัวไปมาอยู่

    "ก็นี่ไง ร้องให้ช่วยอยู่นี่ ไปช่วยกันหน่อยไป"

    อันนี้ ท่านแสดงเพื่อเป็นกำลังใจแก่ศิษย์ๆของท่านให้ตั้งใจธรรมครับ จะว่าอาบัติมิได้ อันว่า อาบัตินั้น ท่าน(พระพุทธองค์)ทรงหมายเอาเจตนาแห่งกรรมนั้นเป็นหลักครับ อย่างในตัวอย่างอาบัติปาราชิก เล่าถึงพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางมาแต่ต่างถิ่น เข้ามาในเขตวัดแล้วเห็นมะม่วงตกอยู่ที่พื้น ด้วยความหิวกระหายเลยเอามะม่วงนั้นมากิน เจ้าของที่โวยว่าปาราชิก ก็ไม่ยอม ต่างนำความขึ้นกราบทูลพระพุทธองค์ๆทรงถามว่า "เธอตั้งใจอย่างไรต่อมะม่วงนั้น"

    ภิกษุต่างถิ่นกราบทูลว่า"ตั้งใจจะฉัน" คือ ไม่ได้คิดเรื่องขโมยอะไรเลย เพียงเห็นเป็นมะม่วงของวัด หิวๆอยู่ก็กินเลย พระองค์ก็ไม่ปรับเป็นปาราชิก แต่ให้เป็น(ไม่แน่ใจระหว่างทุกกฎกับถุลลัจจัย)

   
    ทีนี้ พอมองกลับมาในยุคปัจจุบัน อย่างเรื่องเณรคำที่ท่านพี่กล่าวถึงนี้ ความจริงก็เป็นแค่อาการหนึ่งในความเสื่อมของกองสังขารที่เราเรียกกันว่า "ศาสนาพุทธ" เท่านั้นเอง การกล่าวอย่างนี้อาจดูเหมือนลอยตัวเหนือปัญหา ที่จริงมันไม่ใช่ คือไม่เดือดร้อนไปกับเรื่องของโลก และหากจะแก้ จะปรับปรุงก็จะไม่กระทำอย่างโลกๆ เช่น ด่าว่า ซ้ำเติม(ทั้งเณรคำ ทั้งศิษย์ ทั้ง ฯลฯ)

    คนจำนวนหนึ่งพอมีเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาก็มักซ้ำเติมวิกฤติ พลิกวิกฤติให้วิกฤติหนัก ซ้ำเรื่องที่เกิดขึ้นบางทีไม่วิกฤติใหญ่เท่าที่ใจตนทำให้ใจตนวิกฤติ ไม่เว้นแม้กระทั่งนักปฏิบัติธรรมบางพวกที่ได้ทีอวดตน สาปแช่งเขา อะไรต่อมิอะไรไป

    ทั้งๆที่ความจริง สิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นความธรรมดาของนักปฏิบัติ ศรัทธาธรรมที่ประมาทไปตามลาภ สักการะ โลกเท่านั้นเอง มันควรเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้มองเห็นว่า มันมีอะไรแอบแฝงอยู่มากในกองสังขารที่เราเรียกว่า "ศาสนาพุทธ"นี้ แล้วเราจะได้ไม่ประมาท ไม่หลงไปตามกระแส ไม่ใช่ว่าพอเขาว่า นี่อรหันต์นะๆๆ ก็รีบแห่ไปเอาบุญ พิจารณาดูเสียก่อนสิ ทำบุญก็ทำไปตามปัญญาจะกำกับไว้ด้วย อย่าร้อนจะเอาสวรรค์นิพพานจนเกินไป


    แล้วเราก็จะได้เห็นว่า สิ่งที่พาตนได้ดีที่สุดก็คือตน ดังนั้น การศึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่าศึกษารับฟังเพียงจากคนที่ตนชอบ รัก ศรัทธา อย่าศึกษาเพียงหน้าเดียว เพราะสะจิตตะปริโยทะปะนัง พึงชำระจิตให้ขาวรอบ ไม่ใช่ขาวอยู่แต่หน้าตัวเอง มันต้องมองให้รอบ อย่ารีบ อย่าเห่อ อย่าโจนตามกระแส โจรขโมยมันมีอยู่ในทุกสังคม แม้กระทั่งในหมู่ผู้พิทักษ์สันติราษฎรก็มีโจร

    ผู้ที่รักศาสนาจึงควรเริ่มจากเอาศาสนาเป็นที่ยืนหยัดของใจตนให้ได้ก่อน รู้ว่าศาสนาคืออะไร และวิธีการใดไม่นอกลู่ทางศาสนา การก่นด่า สาสม สะใจ เอามัน อวดตัว สาปแช่ง ฯลฯ มันก็เป็นเพียงอาการหนึ่งที่ศาสนาเรียกว่า "กิเลส" ไม่ใช่ศาสนา

    มองสังคมที่ไหลไปอย่างสงบ มองอย่างเห็นว่าธรรมดาที่มันจะไหลไปอย่างนั้น เราจะชะลอกระแส จะช่วยคนก็ตามกำลัง ทำไปด้วยใจสงบ อย่าทุรนทุรายอยากให้สังคมมันดีจนลืมตัวเอง เพราะสุดท้ายเราก็จะเป็นแค่เหยื่ออันโอชะของกิเลส ที่กิเลสสอนให้เราเรียกว่า "ธรรม" ว่า "รักศาสนา" ว่า ฯลฯ เท่านั้น

    จิตทุกดวงที่ยังไม่รู้แจ้งในธรรมชาติ ย่อมมีโอกาสหลงได้ทั้งสิ้น แม้กระทั่งจิตเราเอง

    จำได้ว่า มีพระพุ?ธดำรัสเปรียบเทียบธรรมวินัยนี้ กับ ทะเลไว้แปดประการ แต่ที่จำได้สองประการ คือ ทะเลลุ่มลึกไปตามลำดับ และซัดซากศพคืนฝั่ง

    ธรรมวินัยนี้ก็ลุ่มลึกไปตามลำดับ และซัดซากศพ คือ ภิกษุอันเลี้ยงชีพอย่างมิจฉา หลอกลวงชาวบ้าน ก็ย่อมถูกซัดกลับมาในที่สุด อย่างเณรคำ ยันตระ นิกร ฯลฯ ก็ล้วนเป็นซากที่ธรรมวินัย(อันหมายว่า ธรรมชาติ)นี้ซัดคืนฝั่งให้เหม็นไปแก่ชาวโลก

    ธรรมชาติก็ทำหน้าที่ตามธรรมชาติ เมื่อยังเป็นสังขารอยู่อาจหลอกลวงคนได้ว่าวิสังขารด้วยปากช่างเจรจาร แต่หลอกธรรมชาติไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัยแห่งสังขาร และ วิสังขาร ล้วนประจักษ์ธรรมชาติธรรมดา เมื่อไม่ใช่ก็ไม่สามารถลวงธรรมชาตินั้นได้ ประดุจลูกปลาที่ไหลผ่านเครื่องคัดขนาด หรือตะแกรงร่อนทราย เมื่อปลาตัวโต หรือทรายเม็ดใหญ่อาจสามารถลวงกิเลสคนให้เห็นเป็นเล็กได้ แต่ลวงตะแกรงลวงช่องเครื่องคัดขนาดไม่ได้ เป็นธรรมดา ฉันนั้น

    และแน่นอน ตะแกรงที่คนสร้างขึ้นมันขาดมันทะลุได้ เพราะสร้างมาจากสังขาร แต่ตะแกรงธรรมชาตินั้นไม่มีขาดไม่ทะลุแน่นอน เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้นเอง


    ว่ากันมาซะยาว ไม่รู้จะเป็นสาระหรือซาร่า เฮ้อ ปวดหัวๆ  ส.หัว ส.โบยบิน ส.โบยบิน

                                                         สะบายดี...กันนะครับ ด้วยความห่วงใย
                                                               คุณหลวง (ไม่ใช่ยาดมนะฮ้าฟฟฟฟ)


ป.ล. ทั้งหมดที่ว่ามา มิมีเจตนาอันเป็นไปในทางลบใดๆทั้งต่อท่านพี่และใครๆ เพียงเสนอความไปตามสุจริตที่ใจรู้เท่านั้น หากมีส่วนใดระคายเคืองก็โปรด แผ่เมตตากระผมด้วยนะครับ   ขอบคุณครับ   ส.ยกน้ิวให้

   

สวัสดีขอรับท่านคุณหลวง...

ไม่ได้อ่านเรื่องราว..จากคุณหลวง นานพอดู   เพราะทราบว่าบัดนี้ได้ไปอยู่แถวปัจจันตประเทศ ห่างไกลสัญญานก็รู้สึกคิดถึง...
เมือก่อนตอนที่ยังไม่มี 3 G ก็เห็นท่านเป็นประจำ..แต่พอ ย่างเข้าจะไป 4 G คุณหลวงกลับหายแว่บเข้าป่าพงรกชัฏไปเสียนี่..ฮา

เรื่องราวของ...บักคำ..ไม่ได้ทำให้กระผมรู้สึกเครียดครับ...เพราะทราบเช่นกันว่า บรรดา "สมี" หรือ "อลัชชี" หนีมาอาศัยผ้าเหลืองก่อเวรทำกรรมนั้น  ได้กสร้างบาปทสร้างกรรมไว้นับแต่คราพุทธองค์ท่านยังทรงพระชนษ์อยู่ด้วยซ้ำ

เพียงแต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดกรณีแบบ "บักคำ" เรา ๆ ท่าน ๆ ก็มีหน้าที่ร่วมกันป้องปกพระพุทธศาสนาให้ดำรงคงความสะอาดและตรงตามธรรมวินัย...และพุทธประสงค์ไว้อย่าให้คลาดเคลื่อน

กรณี...นายคำ น่าจะเป็นกรณีที่สอนให้เราเรียนรู้ว่า  การยึดมั่นถือมั่นโดยเฉพาะในอาตมัน..หรือในตัวของผู้ใด โดยไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรองพินิจพิเคราะห์ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายทั้งศาสนจักรและอาณาจักร

กรณี การอวดอุตริมนุสธรรม ตามนัยยะของเจ้าคณะที่ผมกล่าวถึงนั้น..ผมถือว่าเป็นกรณีของการตีความไปในทำนองแปร่ง ๆ และประหลาดและที่สำคัญดูเหมือนจะเป็นกรณีที่เห็นได้ชัดว่า เอียงกระเท่เล่ห์ ราวกับจะบอกว่า การที่ บักคำ บอกญาติโยมว่าชาติก่อนตนเป็นมาณพน้อยได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์และถึงขนาดได้คุยกับพระพุทธองค์ในทำนองทีว่าตนเองไม่สามารถบรรลุโสดาปฎิมรรคได้เฉกเช่นผู้ที่เข้าเฝ้าคนอื่นเพราะตนต้องมีภาระกิจกลับชาติมาเกิดตามที่พุทธองค์ทรงมอบหมายให้เพื่อการสืบสานพระศาสนาต่อไป!

หรืออย่างกรณีที่เล่นบอกว่า...ชาตินี้ขอเกิดชาติเดียวจะไม่กลับมาเวียนว่ายในวัฎฎสงสารนี้อีก..ก็เท่ากับว่า ชาตินี้ บักคำ เข้าข่ายได้เป็น "พระอรหันต์"!!!



ความเห็นเรื่องกรณีการอวดอุตรมนุสธรรม ผมคิดว่าคลิปข้างบนนี้ ซึ่งมีพระเดชพระคุณพระราชปฎิภาณมุนี วัดประยูรวงศาวาส ท่านได้อรรถาไว้น่าจะเป็นแนวทางอธิบายได้อย่างรัดกุมและเป็นแนวทางได้ไม่น้อยทีเดียว...

มีกรณีที่น่าเสวนา...แต่ยากนัก กับกรณี  "คนที่ปราชิก,อวดอุตริรู้เห็นว่าใครตายแล้วไปเกิดเป็นโน่นเป็นนี้. ฯลฯ แล้วยังมีหน้ามีตาแถมได้รับตำแหน่งแห่งหนสมณะศักดิ์" นี่น่าจะเป็นกรณีที่ควรค่าแก่การติดตามและเฝ้าระวังด้วยปัญญาอีกราย ....ท่านหลวงคิดเห็นประการใดล่ะขอรับ.? อิอิ
..ขอเป็นแค่ "มนุษย์" ที่อาศัยโลกใบนี้สำหรับ เกิด.แก่.เจ็บ.ตาย อย่างนอบน้อมและคารวะ.

ค คนหลง

.

...เฝ้าอยู่แถวนี้..

คุณหลวง

สวัสดีครับท่านArsenal

    ใช่ครับ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม คนปลูกพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น (แม้มานะ จากหลวงพี่เท่งภาคแรกจะถามว่าทำไมปลูกถั่วเขียวแล้วได้ถั่วงอก คิดเล่นๆก็ขำ แต่เอาจริงมันก็ไม่ใช่ขำ เพราะมันเป็นปัจจัยสืบเนื่องกันไป ถั่วงอกที่ว่าก็มาจากถั่วเขียวนั่นเอง เพียงมันเปลี่ยนรูปไปตามเหตุปัจจัย เมื่อผู้ปลูกเจตนาเอาแค่ถั่วงอก มันก็ได้ถั่วงอกนั่นเอง)

    บุคคลที่เกิดมาล้วนต่างกันดังที่ท่านแยกเปรียบเทียบเป็นบัว ๓ เหล่า (เหล่าที่ ๔ มาในอรรถกถา มิใช่พระพุทธดำรัส นั่นเพราะพระองค์ทราบดีว่าสรรพสัตว์ล้วนมีโพธิจิตด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่จะใช้เวลามากน้อยอย่างไรเท่านั้น ส่วนปทปรมะ อันไม่สามารถรู้ได้นั้นไม่มี เพียงแต่จะรู้เมื่อใดนั้นเป็นอีกเรื่อง (แต่ความหมายของอรรถกถาจารย์นั้นท่านคงหมายเอาความไม่สามารถโปรดได้ในปัจจุบันชาติเท่านั้นกระมังครับ))

    เมื่อย้อนดูพระพุทธประวัติก็จะเห็นว่ามิใช่คนที่ฉลาดเท่านั้นที่สามารถตรัสรู้ตามพระสุคต แม้คนที่บรมโง่จนไม่สามารถแม้จะจำคาถาสี่บาทได้อย่างพระจุลปันถก พระองค์ก็ยังมีวิธีสอนให้เข้าสู่ธรรมได้ ดังนั้น ความสำคัญจึงมิใช่อยู่ที่โง่หรือฉลาด แต่อยู่ที่กล้าที่จะเปิดใจและกล้าทำกล้าทดลองและอดทนพอหรือไม่เท่านั้น

    ว่าด้วยศีล

    มีภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่ง บวชเข้ามาแล้วถึงทราบว่ามีพระวินัยถึง ๑๕๐ สิกขาบท ท้อเลย หมดใจเลย สึกดีกว่า เข้าไปกราบทูลขอลาสึกต่อพระพุทธองค์ เมื่อพระองค์ถามเหตุผลก็บอกว่าตนเห็นว่าการที่ต้องศึกษาสิกขาบทถึง ๑๕๐ ข้อนั้นมากเกินไป ศึกษาไม่ไหวแน่ๆ พระองค์เลยตรัสถามว่า เมื่อศึกษา ๑๕๐ ข้อไม่ไหว จะศึกษาเพียงสามข้อจะไหวไหม ภิกษุรูปนั้นว่าหากแค่สามข้อตนก็ยินดีศึกษา ท่านก็ให้ศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญา(อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา)

    ทีนี้ หากเราเข้าใจว่าสิกขาบทคือศีลอย่างที่เราเรียกๆกันอยู่นั้น ภิกษุบวชใหม่รูปนั้น เมื่อรับสามข้อมาแล้ว แล้วต้องกลับมาศึกษาร้อยห้าสิบข้อนั่นอีกอยู่ดีในฐานที่มันเป็นศีล แถมยังเพิ่มมาอีกสองคือสมาธิและปัญญา ก็คงต้องสลัดผ้ากาสาวะทิ้งไปเฉยๆแน่ๆ แต่นี่ไม่ใช่

    เราเคยชินกับการที่เรียกสิกขาบทต่างๆนั้นว่าเป็นศีล ดังนั้น จึงมีศีลต่างๆกันออกไป ห้า แปด สิบ สองร้อยยี่สิบเจ็ด สามร้อยสิบเอ็ด แต่โดยบาลีท่านไม่เรียกศีล ท่านเรียกสิกขาบท จึงต้องมาถามต่อว่าทำไมท่านจึงไม่เรียกเป็นอย่างเดียวกัน

    ซ้ำร้าย เมื่อมองกลับไปอีกที พระพุทธสาวกทั้งปวงที่บวชก่อนจะมีวินัยบัญญัติ ที่เราเรียกว่าศีล๒๒๗ นั้น ท่านบรรลุธรรมได้อย่างไร เพราะการที่จะสามารถบรรลุธรรมนั้นต้องอาศัยทั้งศีล สมาธิ และปัญญา ไม่สามารถขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เพียงแต่จะอาศัยตัวใดมากน้อยกว่ากันเท่านั้น ดังนั้น จึงจำเป็นที่ต้องถามว่า ศีลกับสิกขาบทต่างกันอย่างไร

    ศีลนั้นสามารถมีขึ้นในจิตโดยไม่ต้องมีสิกขาบทใดๆ เพราะศีลมันมีลักษณะเป็นความมั่นคงของจิต ไม่แยกเป็นข้อๆได้อย่างสิกขาบท แต่การประพฤติตามสิกขาบทนั้นจะก่อให้เกิดศีลได้ง่ายขึ้น เพราะจิตมีสิ่งรบกวนน้อย อย่างผู้สมาทานสิกขาบททั้ง๕ สม่ำเสมอก็มีเวรน้อย เวรน้อยจิตก็หวั่นไหวน้อยเป็นธรรมดา

    อย่างนายเคราแดงที่เป็นเพชฌฆาต ฆ่าคนมานาน เกิดเลื่อมใสพระสารีบุตร อยากฟังธรรม แต่เกรงบาปกกรมของตน พระสารีบุตรถามว่า ฆ่าเองหรือพระราชาสั่งให้ฆ่า นายเคราแดงก็สบายใจขึ้นมาทันที เพราะคิดว่าคนที่บาปไม่ใช่ตัวเองอีกแล้วใจก็สงบรำงับลง พร้อมที่จะฟังธรรม ขณะนั้นนายเคราแดงเกิดมีศีลแล้ว นั่นคือความมั่นคงของจิตใจ จึงเป็นบาทฐานให้จิตรวมเป็นหนึ่งเดียว(สมาธิ) น้อมลงฟังธรรมด้วยดี จนสามารถเกิดปัญญากระจ่างธรรมได้ในที่สุดแห่งธรรมเทสนาของพระสารีบุตร

    ท่านพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต) อธิบายเปรียบเทียบไว้ในหนังสือพุทธธรรมว่า เปรียบการบรรลุธรรมคือการที่บุคคลหนึ่งจะโค่นไม้สักต้น การโค่นไม้นั้น เราจะต้องปรับที่ยืนให้มั่น คนนั้นก็ต้องมีกำลัง และเครื่องมือสำหรับโค่น หากที่ยืนไม่มั่นคง โยกไปโยกมา ก็ไม่สามารถตัดได้ ที่ยืนมั่นคงแต่คนไม่มีกำลังก็ตัดไม่ได้ ที่ยืนดีคนมีกำลังแต่เครื่องมือทื่อมะลื่อก็ไม่ไหว

    แต่ทีนี้ หากคนมีกำลังน้อย แต่เครื่องมือคมกริบ ก็สามารถโค่น เครื่องมือไม่คมนักแต่คนมีกำลังมากก็สามารถตัด ท่านเปรียบที่ยืนนั้นด้วยศีล กำลังคนด้วยสมาธิ และความคมของเครื่องมือด้วยปัญญา

    ทีนี้ ที่ยืนนั้นจะประกอบด้วยอะไรบ้างก็ตาม ดินนั้นจะมีกรวด หิน ทราย มีแร่ธาตุต่างๆมากมาย มีองค์ประกอบอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่รวมความว่าดินนั้นจะต้องมีความมั่นคงเพียงพอที่จะยืนได้อย่างมั่นคง  ไอ้องค์ประกอบต่างๆของดินนี่ล่ะครับ คือสิกขาบทที่สามารถบัญญัติได้ต่างกันไป ดินคือศีล องค์ประกอบของดินคือสิกขาบท

    ศีล๕ กับคนดี
    ดินบางที่มีน้ำมากเกินไป เหยียบลงไปก็เละลื่น ยืนไม่ติด บางที่มีหินคมเหยียบลงก็บาด มองดูธรรมดาๆมันก็เป็นดินปกติ แต่หากใครที่ก้าวเข้าไปเท่านั้นถึงรู้ว่ามันเป็นอย่างไร

    อย่างนี้ก็เปรียบด้วยคนในสังคมที่บางคนเรามองว่ามีศีล๕(ขอเรียกว่าศีลตามที่เราคุ้นเคยกันนะครับ) แต่คนเหล่านี้จำนวนหนึ่งก็พร้อมที่จะสร้างปัญหาให้สังคม บางคนอวดดี ชอบยกตนข่มผู้อื่น บางคนไม่เคยช่วยเหลือกิจร่วมของสังคม บางคนไม่เลี้ยงดูแม้บิดามารดา บ้างยโสโอหัง อวดดี อิจฉาริษยา ขี้โกรธ ไม่ให้โอกาสคนอื่น ฯลฯ เหล่านี้ไม่ผิดศีล๕นะครับ

    คนเหล่านั้นเปรียบด้วยดินที่เละน้ำมากเกินไป หรือมีเศษคมปน เห็นไหมครับ บางคนถือศีล๕ แล้วอย่าไปทักไปทอเชียวว่าเขาทำอะไรผิด อะไรไม่ดี เพราะเขามีศีลมากว่า ใครทักก็โกรธ พร้อมสวนคืนให้เจ็บแสบ

    แถวบ้านผมมีคนๆหนึ่ง แกขี้เมา ดูเกะกะไปทุกที่ที่แกอยู่ แต่พอถามคนในหมู่บ้านว่าแกเป็นอย่างไร เขาจะตอบว่า แกเป็นคนดีแม้จะขี้เมาก็ตาม ไม่เคยให้ร้ายใคร ไม่ดูถูกใคร และรู้เสมอในบุญคุณคน ไม่ละเมิดผู่ใหญ่ผู้มีพระคุณ แต่อีกคนหนึ่งเรียกได้ว่าไม่ผิดศีล๕ เลย แต่หากถามใครๆก็ต้องหยุดคิดก่อน คนที่มองแง่ดีก็จะตอบว่า ก็ดีตามประสา คนมองแง่ร้ายหน่อยก็ว่าไม่ได้เรื่อง คืองานการร่วมของสังคมไม่เคยช่วย ใครตกที่ลำบากจะพึ่งแกก็ยาก แม้แต่แม่แกไม่สบายแกยังบ่ายเบี่ยงให้คนอื่นพาไปโรงพยาบาลเลย แต่ศีล๕ครบนะ

    ไอ้อุปกิเลส ๑๖ หรือมลทิน ๙ (สามารถหารายละเอียดได้จากตำราหรืออินเตอร์เน็ตครับ) เหล่านี้ สามารถมีได้โดยที่บุคคลนั้นไม่รู้ตัว เพราะมันไม่ผิดศีล๕ ไม่ผิดศีล ๘ ๑๐ ๒๒๗ ๓๓๑ อะไรก็ตามแต่ หนำซ้ำ การยึดมั่นในศีลเหล่านั้นเองจะเป็นเครื่องมือให้เกิดกิเลสบางอย่างได้เป็นอย่างดี  คือ มองเผินๆก็เป็นดินปกติ แต่คนที่เข้าไปเท่านั้นจึงรู้ว่ามีอะไรปะปนมากเกินไป

    ดังนั้น การมีสิกขาบททั้ง๕ครบ อาจไม่ได้แปลว่าดีเสมอไปครับ และดีนั้น ในฐานะความเป็นอยู่ในสังคม เราต้องมองความดีระดับสังคมด้วย อย่าเอาความดีระดับโลกุตตระมาตัดสินคนในสังคมธรรมดาที่เราอาศัยอยู่ ธรรมย่อมลึกไปตามลำดับ หากเราเอาอีกระดับมาเทียบอีกระดับมันจะมองอะไรเพี้ยนๆไปได้ เหมือนเอาความลึกระดับก้นมหาสมุทรมาเปรียบกับชายฝั่ง นั่นเอง

    ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงตรัสแก่พระสารีบุตรว่าการบัญญัติพระวินัยขึ้นมานั้นแม้จะมีประโยชน์ แต่โทษมันก็มีไม่น้อย อย่างหนึ่งที่ผมจำได้ก็คือ ท่านตรัสว่าจะทำให้บุคคลหลงติดในวินัยจนไม่ใส่ใจต่อธรรมะได้ ซึ่งประสบการณ์ของผมก็ทราบว่ามันเป็นจริงอย่างนั้น พวกอวดศีลพรตของตนมีมากจนลืมว่าขณะอวดศีลพรตอาสวะก็ออกมาเต็มปากเช่นกัน

    ก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่น่าจะต้องมีการอรรถะกันต่อไป


สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป