ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

โอล่ะพ่อ...งานนี้ MH370 งานเข้าแล้วครับ....

เริ่มโดย ฟ้าเปลี่ยนสี, 13:04 น. 16 มี.ค 57

ฟ้าเปลี่ยนสี

อินเตอร์โปลร้องขออาเซียนกวดเข้มคนเข้าเมือง

30 มีนาคม 2557 เวลา 22:11 น.
โดย โพสต์ทูเดย์ออนไลน์

[attach=1]

ตำรวจสากลวอนอาเซียนยกระดับการตรวจคนเข้าเมือง หลังพบกรณีผู้โดยสารชาวอิหร่านสวมรอยพาสปอร์ตขึ้น MH 370

ประเด็นความหละหลวมในการตรวจสอบเอกสารก่อนขึ้นเครื่องบินเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาพูดกันอย่างแพร่หลายหลังจากการที่มีการค้นพบว่า มีชายชาวอิหร่าน 2 คนเดินทางโดยใช้หนังสือเดินทางที่มีรายงานว่าถูกขโมยในประเทศไทยแอบอ้างตัวตนเพื่อโดยสารไปกับเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลส์น เที่ยวบินเอ็มเอช 370 ที่หายไปต้งแต่วันที่ 8 มี.ค.

แม้ว่า เหล่าทีมสืบสวนคดีการหายไปของเครื่องบินลำดังกล่าว จะเลิกตั้งข้อสงสัยว่าชายชาวอิหร่านทั้ง 2 คนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเครื่องบินแล้วก็ตามทว่ากรณีนี้การที่ทั้ง 2 คนสามารถเล็ดลอดขึ้นเครื่องไปได้โดยใช้หนังสือเดินทางของผู้อื่นนับเป้นการแสดงให้เห็นถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยที่หละหลวมเป็นอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)

ล่าสุด สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (อินเตอร์โปล) ได้ออกมาเรียกร้องให้ อาเซียนยกระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบผู้เดินทางข้ามพรมแดน เนื่องจากระบบการตรวจคนเข้าเมืองในภูมิภาคนี้หละหลวมมาก อีกทั้ง ก่อนหน้ามีรายงานมีหนังสือเดินทางหายกว่า 40 ล้านเล่มตั้งแต่ปี 2002 ในฐานข้อมูลของอินเตอร์โปล และในปีที่ผ่านยังมีหลายเที่ยวบินที่ทำการบินโดยไม่ได้มีการตรวจสอบเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารแต่ประการใด

นอกจากนี้ ฐานข้อมูลทางราชการโดยการการข้ามแดนของแต่ละประเทศกลับไปเชื่อมต่อถึงกัน จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมทางการมาเลเซียจึงไม่รู้ว่าหนังสือเดินทางที่หายในประเทศไทยถูกใช้โดยชาวชาวอิหร่าน 2 คน

"บทเรียนที่ทุกคนต้องจดจำจากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ ความสำคัญในการเข้าถึงเทคโนโลยีของทุกๆ หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองควรเข้าถึงและสามารถนำข้อมูลสากลไปใช้ได้" จูเลีย วีดมา ผู้อำนวยการด้านหุ้นส่วนและการพัฒนาระหว่างประเทศของอินเตอร์โปล กล่าว

วีดมายังระบุต่อไปว่า ขณะนี้อินเตอร์โปลกำลังหารือกับอาเซียนเพื่อยกระดับความปลอดภัยในการข้ามพรมแดนทั้งในสนามบินและจุดตรวจอื่นๆ โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากทางคณะกรรมการสหภาพยุโรป

นอกจากนี้ สื่อต่างชาติหลายสำนักยังวิเคราะห์ตรงกันว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่ประเทศสมาชิกอาเซียนไม่ยินดีที่จะแบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน เพราะขาดความไว้วางใจเนื่องด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ที่ประเทศในภูมิภาคนี้มักจะมีความขัดแย้งกันเสมอ ทำให้การเปิดเผยข้อมูลเป็นไปอย่างล่าช้า

อย่างไรก็ดี ปัจจัยด้านเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเข้าถึงข้อมูลเช่นกัน โดยประเทศยากจนบางประเทศไม่สามารถที่จะหาซื้อเทคโนโลยีในการเข้าถึงฐานข้อมูล

"เป้าหมายของอินเตอร์โปลคือการทำให้ทุกประเทศเข้าถึงข้อมูลไม่ว่าจะมีสถานะทางเศรษฐกิจเป็นเช่นไร"วีดมากล่าว

ทั้งนี้ การขโมยหนังสือเดินทางหรือหนังสือเดินทางหายถือเป็นเรื่องปกติในประเทศไทย รัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศส ด้านองค์การตำรวจสากลได้ออกมาเตือนตั้งแต่ปี 1973 แล้วว่า มีการใช้หนังสือเดินทางปลอมเพิ่มขึ้นจากความที่การเจริญเติบโตของการท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งขบวนการอาชญากรข้ามชาติมักจะใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อการค้ามนุษย์และการขนสินค้าเถื่อน

กระนั้นก็ตาม ในปัจจุบันมีไม่กี่ประเทศที่ใช้ระบบฐานข้อมูลของอินเตอร์โปลเพื่อตรวจสอบว่าหนังสือเดินทางนั้นถูกต้องหรือไม่ ขณะที่ประเทศไทยเองก็เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำหนังสือเดินทางปลอม โดยเฉพาะที่ถนนข้าวสาร

เนอร์มัล โกช หัวหน้าข่าว ประจำสำนักงานอินโดนจีนของ เดอะ สเตรทส์ ไทมส์ สื่อชื่อดังของสิงคโปร์ ที่ได้ไปลองใช้บริการด้วยตัวเอง ระบุว่าสามารถทำได้ตั้งแต่ใบขับขี่ของสิงคโปร์ หรือแม้กระทั่งบัตรลูกเรือของสายการบินกาตาร์โดยอยู่ในอัลบั้มที่มีแบบให้เลือกหลากหลายมาก
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

23 วันผ่านยังไร้ร่องรอยซาก MH370

31 มีนาคม 2557 เวลา 07:38 น.
โดย โพสต์ทูเดย์ออนไลน์

[attach=1]

ค้นซากเครื่องบินมาเลย์ ยังเป็นปริศนาต่อไป แม้ล่วงเลย 23วันนับแต่หายไปแล้ว ด้านญาติผู้โดยสารบุกจี้ขอความจริงรัฐบาลแดนเสือเหลืองถึงถิ่น

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ปฏิบัติการค้นหาซากเครื่องบินโบอิง 777 - 200 อีอาร์ เที่ยวบินเอ็มเอช 370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สยังคงเป็นปริศนาดำมืดอยู่จนถึงทุกวันนี้ (23 วันนับจากวันที่หายไปคือวันที่ 8 มี.ค.) เนื่องจากยังไม่มีใครพบซากหรือหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเครื่องบินลำนี้ แม้ว่านานาประเทศจะร่วมมือกันระดมออกค้นหาอย่างหนักแล้วก็ตาม

โดยเมื่อวานนี้ ทางการออสเตรเลียระบุว่าชิ้นส่วนต้องสงสัยที่พบก่อนหน้านี้ในมหาสมุทรอินเดียตอนใต้เป็นเพียงอุปกรณ์ตกปลา และซากเรืออัปปางที่ลอยอยู่เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับเครื่อบินลำปริศนาที่หายไปนานกว่า 20 วัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าต่อมา ทางกองทัพแดนจิงโจ้ จะแจ้งว่าค้นพบวัตถุต้องสงสัยได้เพิ่มเติมอีก 4 ชิ้น แต่ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบและยืนยันได้ว่าเป็นวัตถุที่เกี่ยวข้องกับเที่ยวบินเอ็มเอช 370 หรือไม่ เนื่องจากต้องรอผลการตรวจสอบภาพวัตถุชิ้นใหม่ก่อน

ด้านนายกรัฐมนตรี โทนี แอบบ็อต ของออสเตรเลีย ยังคงยืนกรานว่า ปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินมาเลย์ยังคงดำเนินไปอย่างเข้มข้น เนื่องจากมีการค้นพบวัตถุต้องสงสัยหลายชิ้นจากในมหาสมุทรอินเดีย หลังจากที่ได้จำกัดพื้นที่ในการออกค้นหาลงมาในสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะที่ ความเคลื่อนไหวของญาติพี่น้องผู้โดยสารเที่ยวบินเอ็มเอช 370 ชาวจีนจำนวนหนึ่งล่าสุดได้เดินทางมาถึงยังกรุงกัวลาลัมเปอร์แล้ว เพื่อประท้วงและทวงขอความจริงจากรัฐบาลมาเลเซียต่อกรณีเครื่องบินที่หายไป

นอกจากนี้ ญาติพี่น้องแดนมังกร ยังต้องการให้รัฐบาลแดนเสือเหลืองขอโทษจากการออกแถลงการที่ทำให้พวกตนเข้าใจผิด หลังจากที่นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก แห่งมาเลเซียระบุว่าผู้โดยสารและลูกเรือไม่น่าจะมีชีวิตรอด

ทั้งนี้ ในจำนวนผู้โดยสารและลูกเรือของเที่ยวบินเอ็มเอช 370 จากกัวลาลัมเปอร์ ไปปักกิ่ง ทั้งหมด 239 คน เป็นผู้โดยสารชาวจีนจำนวน 153 คน

[attach=2]

[attach=3]

[attach=4]
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

นายไข่นุ้ย

DO YOU KNOW ME? I AM A CAT 28 YEARS. AND YOU?    แมวแท้สู (แมวยิ้ม)

ฟ้าเปลี่ยนสี

เอาอีกแล้ว! มาเลเซียแก้ไขข้อมูลถ้อยคำสุดท้ายจากเที่ยวบิน "MH370" ก่อนหายสาบสูญ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
1 เมษายน 2557 03:30 น.

ซอฮารี อาหมัด ชาห์ นักบินที่ 1 ของเที่ยวบินMH370
[attach=1]

รอยเตอร์ส - หน่วยงานการบินพลเรือนมาเลเซีย ออกมาแก้ไขข้อมูลคำพูดสุดท้ายของหนึ่งในนักบินเที่ยวบิน MH370 ที่บอกกับหอบังคับการบินว่า "กูดไนต์ มาเลเซียน ทรี เซเวน ซีโร่" จากเดิมที่่มีข่าวใช้คำพูดที่ไม่เป็นทางการนักและดูเป็นปริศนากว่านี้ นั่นคือ "ออลไรต์ กูดไนต์"
       
       บันทึกอย่างเป็นทางการที่ถูกต้องในเรื่องคำพูดสุดท้ายของ 1 ใน 2 นักบิน ถูกเผยแพร่ออกมาขณะที่ทางการมาเลเซียกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับแนวทางการจัดการกับเหตุสูญหายไปของเครื่องบินสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส โดยเฉพาะจากครอบครัวชาวจีนของเหล่าผู้โดยสารบนเที่ยวบิน MH370 ที่กล่าวหารัฐบาลแดนเสือเหลืองบริหารจัดการภารกิจค้นหาได้ไม่ดีและปิดบังข้อมูล
       
       "เราอยากจะขอยืนยันว่าคำสนทนาสุดท้ายในบันทึกระหว่างหอควบคุมการจราจรทางอากาศกับห้องนักบินตอนเวลา 01.19 น.(ตามเวลามาเลเซีย) คือ กูดไนต์ มาเลเซียน ทรี เซเวน ซีโร่ (Good night Malaysian three seven zero)" กรมการบินพลเรือนมาเลเซียระบุในถ้อยแถลงเมื่อวันจันทร์ (31 มี.ค.)
       
       ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม หรือ 4 วันหลังจากเครื่องบินสูญหาย เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำกรุงปักกิ่ง บอกกับครอบครัวชาวจีนในเมืองหลวง ว่าคำพูดสุดท้ายของนักบินคือ ออลไรต์ กูดไนต์ (All right, good night.")
       
       ทั้งนี้ คำพูด "Good night Malaysian three seven zero" ดูจะมีความเป็นทางการมากกว่า และเป็นถ้อยคำหยุดการติดต่อที่เป็นไปตามบรรทัดฐานทั่วไปจากห้องนักบินโบอิ้ง 777 ลำนี้ ซึ่งเพิ่งพ้นจากน่านฟ้าที่ควบคุมโดยมาเลเซีย ขณะกำลังมุ่งจากกัวลาลัมเปอร์ไปยังปักกิ่ง
       
       ไม่กี่นาทีต่อมาการติดต่อสื่อสารก็ถูกตัดขาดและมันก็เลี้ยวกลับ บินผ่านมาเลเซียและมุ่งตรงไปยังมหาสมุทรอินเดีย เวลานี้ก็ผ่านพ้นมากว่า 3 สัปดาห์แล้ว แต่ความพยายามครั้งใหญ่ของนานาชาติในการค้นหาในมหาสมุทรอินเดีย ทางตอนใต้ ห่างจากชายฝั่งออสเตรเลียไปทางตะวันตก ก็ยังไม่พบแม้แต่เศษซากเครื่องบินใดๆ
       
       ถ้อยแถลงจากกรมการบินพลเรือนมาเลเซีย มีขึ้นหลังจากนายฮิชามมุดดิน ฮุสเซน รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ตอบคำถามระหว่างเปิดแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ (31) ต่อถ้อยคำสุดท้ายจากห้องนักบิน แต่ปฏฺิเสธคำเรียกร้องที่ขอให้มีการเผยแพร่บันทึกอย่างเป็นทางการ
       
       ขณะเดียวกัน ในถ้อยแถลงดังกล่าวยังเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ยังคงดำเนินการสืบสวนสอบสวนทางนิติเวชศาสตร์ เพื่อสรุปว่าคำพูดสุดท้ายจากห้องนักบินนั้นใครเป็นคนพูดกันแน่ระหว่างนักบินหรือผู้ช่วยนักบิน แม้ก่อนหน้านี้ทางสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส เชื่อว่ามันเป็นคำพูดของผู้ช่วยนักบินก็ตาม
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

ผลสำรวจชี้ ชาวมาเลย์ "ไม่ถึงครึ่ง" คิดว่า รบ.กัวลาลัมเปอร์รับมือสถานการณ์ "MH370" ดีแล้ว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
1 เมษายน 2557 19:56 น.

[attach=1]

เอเอฟพี - ผลสำรวจที่นำออกเผยแพร่วันนี้ (1 เม.ย.) ชี้ว่าชาวมาเลเซียเพียง 43 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกพอใจในวิธีการที่รัฐบาลกัวลาลัมเปอร์ใช้รับมือสถานการณ์เที่ยวบิน MH370 สูญหายปริศนา ขณะที่ 50 เปอร์เซ็นต์คิดว่ารัฐบาลยังทำได้ไม่ดีพอ
       
       ศูนย์วิจัยความคิดเห็น "เมร์ดกา" ซึ่งเป็นองค์กรสำรวจความคิดเห็นชั้นนำของมาเลเซีย กล่าวว่า ได้สอบถามประชากรกลุ่มตัวอย่างกว่า 1,000 คน ในช่วงวันที่ 13-20 มีนาคมที่ผ่านมา
       
       อย่างไรก็ตาม หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว ชาวมาเลเซียเริ่มทวีความโกรธเคืองชาวจีน และยังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องชะตากรรมของเที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สตามมาอีกมากมาย
       
       เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา เครื่องบินลำนี้บินออกนอกเส้นทางไปหลายพันกิโลเมตร ขณะมุ่งหน้าออกจากรุงกัวลาลัมเปอร์ ไปยังกรุงปักกิ่ง พร้อมลูกเรือและผู้โดยสาร 239 ชีวิต ซึ่งในจำนวนนี้เป็นพลเมืองมาเลเซีย 50 คน โดยเชื่อกันว่าเครื่องบินลำนี้ตกลงไปในพื้นที่ห่างไกลของมหาสมุทรอินเดีย แต่สาเหตุที่ทำให้เครื่องบินลำนี้ออกนอกเส้นทางที่กำหนดยังไม่ได้รับความกระจ่าง

[attach=2]

ญาติพี่น้องของผู้โดยสารชาวจีน ซึ่งครองสัดส่วน 2 ใน 3 ของผู้โดยสารบนอากาศยานลำนี้ ต่างแสดงความคลางแคลงใจไม่เชื่อว่าเครื่องบินลำนี้อันตรธานหายไปดื้อๆ โดยจำนวนมากกล่าวหาว่าอย่างแค้นเคืองว่า มาเลเซียกำลังปิดบังข้อมูลบางอย่าง
       
       ผลสำรวจความคิดเห็นของเมร์ดกาชี้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์มลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม และเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศ สนับสนุนวิธีที่รัฐบาลมาเลเซียใช้รับมือกับสถานการณ์เที่ยวบิน MH370 มากกว่าชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์อื่นๆ
       
       ทั้งนี้ ระบอบปกครองมาเลเซียที่อยู่ใต้อำนาจชาติพันธุ์มลายู ได้ออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ชาวมลายูด้วยกันมานานหลายทศวรรษ และมักเล่นกับความรู้สึกของชาวมาเลย์ ที่หวั่นวิตกว่าชุมชนชาวจีนในประเทศที่เจริญรุ่งเรืองจะแผ่อิทธิพลควบคุมเศรษฐกิจมาเลเซีย
       
       ผลสำรวจความคิดเห็นระบุว่า ชาวมลายูมากถึง 63 เปอร์เซ็นต์รู้สึกพอใจต่อวิธีการที่รัฐบาลกัวลาลัมเปอร์ใช้รับมือวิกฤตเครื่องบินโบอิ้งมาเลย์ ขณะที่มีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รู้สึกว่ารัฐบาลน่าจะทำได้ดีกว่านี้
       
       ในทางกลับกัน มีชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนเพียง 18 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เห็นด้วยกับแนวทางดำเนินงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ขณะที่มากถึง 74 เปอร์เซ็นต์ชี้ว่า รัฐบาลยังทำได้ไม่ดีพอ ทางด้านชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียที่พอใจมี 36 เปอร์เซ็นต์ และ 59 เปอร์เซ็นต์ไม่พอใจ

[attach=3]

[attach=4]
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

ออสซีเตือนหา 370 "นานและลำบาก" มาเลย์เปิด "บันทึกสนทนา" ห้องนักบิน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
1 เมษายน 2557 21:02 น.

พล.อ.อ.แองกัส ฮูสตัน อดีตผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลีย
ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ประสานงานร่วมในภาคกิจค้นหาเที่ยวบิน MH370
[attach=1]

เอเจนซีส์ - เจ้าหน้าที่สืบสวนกำลังนำบทสนทนาสุดท้ายระหว่างหอควบคุมภาคพื้นดิน กับห้องนักบินของ MH370 ไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้ทราบว่าใครควบคุมห้องนักบินอยู่ รวมถึงอาจรู้ว่าผู้ที่กำลังสื่อสารจากห้องนักบินมีความเครียดหรือความกดดันหรือไม่ ขณะเดียวกัน อดีตนายทหารใหญ่ออสเตรเลียผู้ทำหน้าที่ประสานงานการค้นหา แถลงเตือนว่า ปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินโดยสารของมาเลเซียแอร์ไลน์สที่ยังหายสูญคราวนี้ อาจใช้เวลายาวนานและถือเป็นภารกิจท้าทายที่สุดเท่าที่เคยประสบมา
       
       ในวันอังคาร (1) ทางการกัวลาลัมเปอร์ได้เผยแพร่บันทึกถอดเสียงบทสนทนาฉบับเต็ม ระหว่างห้องนักบินของเครื่องบินโดยสารในเที่ยวบิน MH370 กับทางหอบังคับการบิน ซึ่งบ่งชี้ถึงการติดต่อสื่อสารตามปกติ โดยที่ผู้อยู่ในห้องนักบินรายงานให้หอบังคับการทราบว่า ได้นำเครื่องขึ้นสู่ระดับเพดานบินสำหรับการเดินทางปกติ และออกจากน่านฟ้ามาเลเซียเข้าสู่น่านฟ้าเวียดนามแล้ว
       
       ตามบันทึกถอดเสียงนี้ถ้อยคำสุดท้ายจากห้องนักบินซึ่งหอควบคุมภาคพื้นดินในสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ได้รับเมื่อเวลา 01.19 น.วันที่ 8 มีนาคม คือ "ราตรีสวัสดิ์ มาเลเซีย 3-7-0" (Good night Malaysian three seven zero) ซึ่งผิดแปลกจากที่รัฐบาลแดนเสือเหลืองได้เคยแถลงว่า ถ้อยคำสุดท้ายจากห้องนักบิน MH370 คือ "เรียบร้อยดี ราตรีสวัสดิ์" (All right, good night)
       
       ไม่กี่นาทีหลังจากประโยคสุดท้ายนี้ ระบบสื่อสารของเครื่องบินก็ถูกปิด และข้อมูลจากดาวเทียมและเรดาร์ทหารบ่งชี้ว่า เครื่องได้หันหัวกลับและบินผ่านคาบสมุทรมาเลเซียมุ่งหน้าสู่มหาสมุทรอินเดีย
       
       มาเลเซียนั้นถูกวิจารณ์มาตลอดเกี่ยวกับการบริหารจัดการการค้นหาและการสืบสวนสอบสวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารกับสื่อมวลชนและญาติผู้โดยสาร
       
       ในวันอังคารเช่นกัน รัฐบาลมาเลเซียยังแถลงว่า ตำรวจและเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์กำลังพยายามตรวจสอบเพื่อยืนยันว่า เสียงสนทนาถ้อยคำสุดท้ายจากห้องนักบินเป็นเสียงนักบินผู้ช่วยอย่างที่เชื่อแต่แรกหรือไม่

ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการค้นหา MH370 ที่ล่วงสู่สัปดาห์ที่สี่ยังคงคว้าน้ำเหลว หลังจากเที่ยวบินนี้หายไปจากจอเรดาร์พลเรือนเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือรวม 239 คน
       
       พื้นที่ค้นหาย้ายจากเวียดนามไปยังน่านน้ำด้านตะวันตกของมาเลเซีย และอินโดนีเซีย หลังจากผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับอย่างจำกัดจากเรดาร์และดาวเทียม ก่อนที่จะย้ายไปอีกหลายจุดทางตะวันตกของออสเตรเลีย โดยพื้นที่ค้นหาปัจจุบันครอบคลุมอาณาบริเวณ 254,000 ตารางกิโลเมตร หรือเท่ากับประเทศไอร์แลนด์ และใช้เวลาบินจากเมืองเพิร์ธ รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ราว 2 ชั่วโมงครึ่ง
       
       ถึงแม้มีการเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยขึ้นจากท้องทะเลเพิ่มมากขึ้น แต่ก็กลับเป็นเพียงขยะและซากอุปกรณ์ทำประมง ไม่มีชิ้นใดเชื่อมโยงถึงเครื่องบินที่หายไปไร้ร่องรอยนี้เลย
       
       ศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลของออสเตรเลียเผยวันอังคารว่า ได้ส่งเครื่องบิน E-7A เวดจ์เทล ที่ติดตั้งเรดาร์ขั้นสูงไปประจำเหนือมหาสมุทรอินเดีย เพื่อควบคุมการจราจรทางอากาศป้องกันการชนกันระหว่างเครื่องบินที่ร่วมค้นหา 370
       
       ทางด้าน พล.อ.อ.แองกัส ฮูสตัน อดีตผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ประสานงานร่วมที่ก่อตั้งขึ้นใหม่หมาดๆ ชี้แจงว่า E-7A เวดจ์เทล ซึ่งเป็นเครื่องโบอิ้ง 737 ที่ได้รับการปรับแต่งดัดแปลง จะทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบน่านฟ้าที่มีการจราจรแออัด บริเวณพื้นที่ค้นหาที่อยู่ห่างจากทางตะวันตกของเพิร์ทราว 2,000 กิโลเมตร และห่างจากศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศภาคพื้นดินที่ใกล้ที่สุดหลายร้อยกิโลเมตร
       
       ทั้งนี้ การค้นหาในวันอังคารที่มีเครื่องบิน 11 ลำ และเรือ 9 ลำร่วมปฏิบัติภารกิจนั้น มุ่งเน้นพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของบริเวณค้นหา หรือประมาณ 120,000 ตารางกิโลเมตร ท่ามกลางสภาพอากาศและทัศนวิสัยที่ไม่ค่อยจะเอื้ออำนวย
       
       เครื่องบินบางลำบินเหนือน้ำเพียง 60 เมตร และบางครั้งลดระดับลงต่ำกว่านั้น ทำให้เกิดความกังวลว่า อาจชนกับเรือที่ร่วมค้นหาด้วย
       
       ฮูสตัน กล่าวว่า การค้นหาครั้งนี้เป็นภารกิจท้าทายที่สุดเท่าที่เคยพบ เนื่องจากโดยปกติแล้วจุดเริ่มต้นการค้นหาจะเป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนหายไปของเครื่องบินหรือยานพาหนะ แต่ในกรณี MH370 ตำแหน่งสุดท้ายก่อนสูญหายกลับอยู่ห่างไกลมากจากบริเวณที่เชื่อว่าเครื่องบินหายไปจริงๆ
       
      "สิ่งที่เราต้องการอย่างยิ่งคือ การค้นพบซากเครื่องบิน ซึ่งอาจใช้เวลานานมาก" ฮูสตันทิ้งท้าย
       
       ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ของมาเลเซีย มีกำหนดเดินทางไปยังเพิร์ธช่วงเย็นวันพุธ (2) เพื่อสังเกตการณ์ปฏิบัติการค้นหา และคาดว่าจะพบกับนายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ ของออสเตรเลียในวันพฤหัสฯ (3)
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

"เรือดำน้ำอังกฤษ" เดินทางถึงจุดค้นหา MH370 ผู้กำกับดัง "ปีเตอร์ แจ็คสัน" ส่งเครื่องบินส่วนตัวช่วยอีกแรง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
2 เมษายน 2557 09:48 น.

เรือดำน้ำ เอ็ชเอ็มเอส ไทร์เลส ของกองทัพเรืออังกฤษ
[attach=1]

เอเอฟพี – เรือดำน้ำของอังกฤษเดินทางถึงมหาสมุทรอินเดียตอนใต้วันนี้(2) เพื่อร่วมค้นหาเครื่องบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส ขณะที่นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก แห่งมาเลเซียเตรียมเดินทางเยือนศูนย์อำนวยการค้นหาที่เมืองเพิร์ท
       
       มีรายงานด้วยว่า ปีเตอร์ แจ็คสัน ผู้กำกับรางวัลออสการ์ชาวนิวซีแลนด์ ได้ส่งเครื่องบินส่วนตัวออกไปช่วยนานาชาติค้นหาเที่ยวบิน MH370 ซึ่งสูญหายไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคมพร้อมกับลูกเรือและผู้โดยสาร 239 ชีวิต
       
       แม้เครื่องบินและเรือหลายสิบลำจะถูกส่งออกไปตระเวนค้นหาในน่านน้ำทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเพิร์ท ซึ่งมาเลเซียเชื่อว่าเป็นจุดที่เครื่องบินตกทะเล แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่พบเศษซากวัตถุที่จะยืนยันข้อสันนิษฐานนี้ได้
       
       "เรายังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน" สำนักงานความปลอดภัยทางทะเลออสเตรเลียระบุผ่านทวิตเตอร์ หลังเครื่องบินค้นหา 10 ลำเดินทางกลับมาในช่วงเย็นวานนี้(1)
       
       อย่างไรก็ดี ปฏิบัติการค้นหาดูจะเริ่มมีความหวังขึ้นอีก หลังจากที่เรือดำน้ำ เอ็ชเอ็มเอส ไทร์เลส ของอังกฤษเดินทางเข้าไปถึงพื้นที่ค้นหา "พร้อมกับอุปกรณ์ค้นหาใต้น้ำอันทันสมัย ซึ่งจะเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการค้นหาเครื่องบินที่สูญหายไป" กองทัพเรืออังกฤษ ระบุ
       
       ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่มีการส่งเรือดำน้ำเข้าไปช่วยค้นหาเครื่องบินมาเลเซีย โดยก่อนหน้านี้ปฏิบัติการค้นหาใช้เพียงเครื่องบิน, เรือ และเฮลิคอปเตอร์ เท่านั้น
       
       เรือลาดตระเวน เอ็ชเอ็มเอส เอคโค ของอังกฤษก็กำลังจะเดินทางไปยังจุดค้นหา เพื่อช่วยเป็นกำลังเสริมแก่เรือ เอดีวี โอเชียน ชิลด์ ของออสเตรเลียซึ่งติดตั้งอุปกรณ์ค้นหากล่องดำของสหรัฐฯ และคาดว่าจะไปถึงพื้นที่ค้นหาราวๆ วันศุกร์นี้(4)
       
       กล่องดำซึ่งบันทึกข้อมูลการบินและการสื่อสารในห้องนักบินจะส่งสัญญาณระบุตำแหน่งของมันเป็นเวลาราว 30 วันหลังจากที่เครื่องตก ซึ่งทำให้ทีมค้นหานานาชาติมีเวลาเหลืออีกน้อยเต็มที
       
       รัฐบาลออสเตรเลียเตือนให้ทุกฝ่ายอย่าเพิ่งคาดหวังว่าภารกิจค้นหากล่องดำ MH370 จะสำเร็จได้โดยง่าย ขณะที่ พล.อ.อ. แองกุส ฮุสตัน ก็ย้ำถึงอุปสรรคมากมายที่ทีมค้นหาจะต้องเผชิญ
       
       "มันเป็นภารกิจค้นหาที่ซับซ้อนและยุ่งยากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา... หากเราไม่พบอะไรบนผิวน้ำเลย ก็คงต้องคิดว่าจะทำอย่างไรกันต่อ"
       
       นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก แห่งมาเลเซีย มีกำหนดเดินทางถึงเมืองเพิร์ทในช่วงเย็นวันนี้(2) และจะเข้าพบนายกรัฐมนตรี โทนี แอบบ็อตต์ แห่งออสเตรเลีย รวมถึง พล.อ.อ. ฮุสตัน ที่ฐานทัพอากาศซึ่งเป็นศูนย์อำนวยการค้นหาเครื่องบินมาเลเซีย
       
       การเปิดเผยข้อมูลแบบขยักขย่อนและขัดแย้งกันเองทำให้รัฐบาลมาเลเซียถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากบรรดาญาติผู้โดยสารชาวจีน 153 คนบนเครื่องบิน MH370 ซึ่งหลายคนมองว่ามาเลเซีย "ไร้ประสิทธิภาพ" ในการจัดการปัญหา หรืออาจจงใจปกปิดความจริง
       
       ญาติพี่น้องของผู้โดยสารและลูกเรือ MH370 จะได้รับทราบข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของมาเลเซีย, จีน และออสเตรเลีย ในการประชุมแบบปิดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์วันนี้(2)
       
       แม้สายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สจะยอมเผยแพร่บทสนทนาในห้องนักบินฉบับเต็มแล้วเมื่อวานนี้(1) ทว่าข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยก็ยังไม่ช่วยคลี่คลายปริศนาการสูญหายของ MH370

[attach=2]

[attach=3]

[attach=4]
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

มาเลเซียพุ่งเป้า "นักบิน-ลูกเรือ" อาจเป็นต้นเหตุ MH370 สูญหาย หลังสอบประวัติผู้โดยสารไม่พบพิรุธ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
2 เมษายน 2557 16:18 น.

ซาฮารี อะหมัด ชาห์ วัย 53 ปี (ซ้าย) และ ฟาริก อับดุล ฮามิด วัย 27 ปี นักบินผู้ช่วย
[attach=1]

รอยเตอร์ – ทีมสอบสวนมาเลเซียพุ่งเป้าไปที่ "นักบินและลูกเรือ" ว่าอาจเป็นต้นเหตุการสูญหายของเครื่องบินโดยสารมาเลเซียแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 หลังตรวจสอบประวัติผู้โดยสารทั้ง 227 คนไม่พบว่ามีพิรุธ
       
       คอลิด อบูบาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย แถลงวันนี้(2)ว่า จากการตรวจสอบประวัติผู้โดยสารทุกคนบนเครื่องบิน MH370 ไม่พบแรงจูงใจที่อาจทำให้พวกเขาคิดจี้เครื่องบินหรือก่อวินาศกรรมเครื่องบิน และไม่พบผู้โดยสารที่มีปัญหาทางจิตจนอาจพัวพันการสูญหายของเครื่องบินลำนี้ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม
       
       "ผู้โดยสารทุกคนพ้นจากข่ายต้องสงสัย" สำนักข่าวแห่งชาติเบอร์นามา อ้างคำแถลงของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
       
       ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ยังไม่สามารถติดต่อ คอลิด เพื่อขอสัมภาษณ์ ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยมาเลเซียก็ปฏิเสธที่จะยืนยันรายงานนี้
       
       แม้ทางการมาเลเซียจะยังไม่ตัดประเด็นปัญหาเครื่องยนต์ออกไป แต่จากหลักฐานที่มีอยู่บ่งชี้ว่าเที่ยวบิน MH370 ซึ่งออกเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์และจะต้องข้ามทะเลจีนใต้ไปยังกรุงปักกิ่งของจีน ถูกใครบางคน "จงใจ" บังคับให้ออกนอกเส้นทาง
       
       พนักงานสอบสวนเชื่อว่า ใครบางคนที่มีความรู้เกี่ยวกับโบอิ้ง 777-200ER และระบบนำทางของเครื่องบินพาณิชย์อย่างลึกซึ้ง ได้ปิดอุปกรณ์สื่อสารของเครื่องบินก่อนจะบังคับให้เลี้ยวออกจากเส้นทางปกติ และเดินทางต่อไปอีกหลายพันไมล์
       
       จากสมมติฐานดังกล่าว ทีมสืบสวนจึงพุ่งเป้าไปที่กัปตัน ซาฮารี อะหมัด ชาห์ วัย 53 ปี และผู้ช่วยนักบิน ฟาริก อับดุลฮามิด วัย 27 ปี เป็นอันดับแรก
       
       อย่างไรก็ตาม ตำรวจมาเลเซียระบุว่า จากการตรวจสอบประวัติบุคคลทั้งสองยังไม่พบข้อน่าสงสัย ขณะที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ซึ่งช่วยมาเลเซียวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องจำลองการบินที่ยึดมาจากบ้านของ ซาฮารี ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติเช่นกัน
       
       เจ้าหน้าที่นานาชาติซึ่งกำลังค้นหา "กล่องดำ" ของ MH370 ในมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ต้องทำงานแข่งกับเวลาอย่างยิ่ง เนื่องจากอุปกรณ์บันทึกข้อมูลการบินจะส่งสัญญาณระบุตำแหน่งของมันเพียง 30 วัน หลังจากเครื่องบินตก
       
       "เราพุ่งประเด็นสงสัยไปที่นักบินทั้งสองคน แต่ก็ยังไม่ไม่ทราบอะไรแน่ชัดจนกว่าจะได้ข้อมูลจากกล่องดำเสียก่อน" ตำรวจอาวุโสของมาเลเซียนายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์

[attach=2]

[attach=3]

[attach=4]

[attach=5]

[attach=6]
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

ผบ.ตร.มาเลย์ยอมรับสืบสวนไม่คืบ เป็นไปได้ MH370 ปริศนาตลอดกาล

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
2 เมษายน 2557 21:28 น.


เอเจนซีส์ - เรือดำน้ำอังกฤษเดินทางถึงพื้นที่ค้นหาเครื่องบินโดยสารในเที่ยวบิน MH370 ขณะที่ "ปิเตอร์ แจ๊กสัน" ผู้กำกับหนังชื่อดัง ก็ส่งเครื่องบินส่วนตัวช่วยอีกแรง อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซียออกตัว ในที่สุดแล้วอาจไม่สามารถระบุสาเหตุที่ทำให้เที่ยวบินนี้สูญหายหายไป ส่วนเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของออสเตรเลียก็ย้ำว่า การสางมหาสมุทรอินเดียเพื่อค้นหาซากเครื่องบินเป็นภารกิจที่หนักหนาสาหัสและยาวนาน อันเป็นการตอกย้ำว่า นานาประเทศยังมืดแปดด้านเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินของมาเลเซีย แอร์ไลน์ รวมทั้งบ่งชี้ว่า โชคชะตาของโบอิ้ง 777 ลำนี้ ตลอดจนผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คนอาจเป็นปริศนาไปตลอดกาล
       
       MH370 หายไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคมระหว่างออกจากกัวลาลัมเปอร์เพื่อมุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง หลังจากอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณที่ทำให้เครื่องปรากฏบนจอเรดาร์พลเรือน ได้ถูกปิดทำงาน หลังจากนั้นเกือบหนึ่งชั่วโมงเรดาร์ทหารสามารถตรวจจับได้ในอีกด้านหนึ่งของคาบสมุทรมาเลเซีย ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่า มีบุคคลบนเครื่องจงใจเปลี่ยนเส้นทางบิน อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ตัดประเด็นกลไกขัดข้องแต่อย่างใด
       
       ตำรวจพยายามสอบสวนหาหลักฐานว่า นักบินและลูกเรืออาจจี้เครื่องบินหรือก่อวินาศกรรม นอกจากนี้เจ้าหน้าที่สอบสวนมาเลเซียและนานาชาติยังตรวจสอบภูมิหลังผู้โดยสาร ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นชาวจีน แต่ไม่พบเบาะแสที่น่าสงสัยแต่อย่างใด
       
       "การสอบสวนอาจดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เราต้องหาคำอธิบายที่ชัดเจนสำหรับประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เมื่อสิ้นสุดการสอบสวน เราอาจไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์นี้เลยก็ได้" คาลิด อาบู บาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซียกล่าวยอมรับเมื่อวันพุธ (2)

คาลิด อาบู บาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ออกตัวว่า MH370 อาจเป็นปริศนาไปตลอดกาล
[attach=1]

นอกจากนี้ ตำรวจยังตรวจสอบสินค้าและอาหารที่เสิร์ฟบนเที่ยวบินดังกล่าว เพื่อตัดความเป็นไปได้ในการลอบวางยาผู้โดยสารและลูกเรือ
       
       ล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ตำรวจมาเลเซียกำลังสอบสวนประเด็นอาชญากรรมที่อาจเกิดจากนักบินและลูกเรือ หลังจากไม่พบว่า ผู้โดยสารทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องใดๆ ในการจี้เครื่องบิน ก่อวินาศกรรม หรือมีปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาทางจิตที่อาจเชื่อมโยงกับการหายไปของ 370
       
       เจ้าหน้าที่สืบสวนเชื่อว่า คนที่มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับโบอิ้ง 777-200 ER และการนำทางการบินพาณิชย์ เป็นคนปิดระบบสื่อสารบนเครื่องก่อนนำเครื่องบินออกนอกเส้นทางหลายพันกิโลเมตร ทำให้เจ้าหน้าที่มุ่งประเด็นไปที่นักบิน 2 คนคือ ซาฮารี อาหมัด ชาห์ นักบินที่ 1 วัย 53 ปี และฟาริก อับดุล ฮามิด ผู้ช่วยนักบินวัย 27 ปี
       
       กระนั้น ตำรวจยอมรับว่า การสอบสวนไม่พบสัญญาณไม่ชอบมาพากลใดๆ และแม้ได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบฝึกบินจำลองของซาฮารีแล้ว แต่ก็ไม่พบประเด็นที่น่าเคลือบแคลงใดๆ
       
       พื้นที่ค้นหาปัจจุบันนั้นกินอาณาบริเวณ 221,000 ตารางกิโลเมตร ทางด้านใต้ของมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งใช้เวลาบินจากเมืองเพิร์ท รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญพยายามประเมินจุดที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เครื่องบินตก โดยอิงกับระดับความสูง ความเร็ว และเชื้อเพลิงของเครื่องบิน นอกจากนั้นยังมีการศึกษากระแสน้ำในบริเวณดังกล่าวเพื่อให้รู้ว่า ซากเครื่องบินอาจถูกพัดพาไปยังที่ใด

[attach=2]

พล.อ.อ.แองกัส ฮุสตัน อดีตผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ประสานงานร่วมปฏิบัติการค้นหา เผยว่า ไม่มีการกำหนดกรอบเวลาในการค้นหา แต่อาจต้องใช้แนวทางใหม่ๆ หากยังไม่ได้เบาะแสใดๆ
       
       คาดหมายกันว่า แบตเตอรีของกล่องดำบันทึกข้อมูลสำคัญของเครื่องบิน จะจ่ายพลังงานใช้งานได้ประมาณ 30 วันหลังจากเครื่องบินตก หลังจากนั้นการค้นหากล่องดำและซากเครื่องบินก็จะเป็นงานที่ยากเย็นยิ่งขึ้น
       
       นอกจากนั้น การค้นหาในวันพุธยังมีอุปสรรคจากสภาพอากาศและทัศนวิสัย ทำนองเดียวกับหลายๆ วันที่ผ่านมา
       
       อย่างไรก็ตาม มีข่าวดีอยู่บ้างคือ เรือดำน้ำเอชเอ็มเอส ไทร์เลส ของกองทัพเรืออังกฤษ ได้เดินทางถึงพื้นที่ค้นหาแล้ว พร้อมกับศักยภาพการค้นหาใต้น้ำขั้นสูง เพื่อให้ความช่วยเหลือเรือโอเชียน ชิลด์ของกองทัพเรือออสเตรเลีย ที่ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับกล่องดำของอเมริกา และคาดว่าจะเดินทางถึงพื้นที่ในวันศุกร์ (4)
       
       ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า ปีเตอร์ แจ๊กสัน ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวนิวซีแลนด์ชื่อดังจากผลงานหนังไตรภาคเรื่อง "เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์" ได้ส่งเครื่องบินส่วนตัวออกไปช่วยนานาชาติค้นหาเที่ยวบิน MH370 ด้วย


ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

นายกฯ มาเลย์ "ยัน" จะไม่หยุดพักการค้นหา จนกว่าจะสามารถไขปริศนา "เที่ยวบิน MH370"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
3 เมษายน 2557 13:50 น.

(ชุดสูท) นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซีย และนายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ แห่งออสเตรเลีย
[attach=1]

เอเอฟพี - นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซียออกมาให้คำมั่นในวันนี้ (3 เม.ย.) ว่า "เราจะไม่หยุดพัก" จนกว่าจะทราบชะตากรรมของเที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ขณะที่ออสเตรเลียถึงกับออกปากว่า "เป็นการค้นหาที่ยากลำบากที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ"
       
       นาจิบเดินทางเยือนฐานทัพในเมืองเพิร์ธ ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นจุดควบคุมสั่งการภารกิจค้นหาเครื่องบินโดยสาร ที่อันตรธานหายไปพร้อมลูกเรือและผู้โดยสารรวม 239 ชีวิต โดยคาดการณ์กันว่า อากาศยานลำนี้อาจจมหายไปในมหาสมุทรอินเดีย และผู้นำมาเลเซียให้คำมั่นว่าจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะพบคำตอบ
       
       "เราต้องการคำตอบ เราต้องการบรรเทาความทุกข์ให้ครอบครัวของผู้โดยสารที่หายไป และเราจะไม่หยุดพักจนกว่าจะพบคำตอบที่แท้จริง" เขาเน้นย้ำ ในระหว่างกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้เข้าร่วมปฏิบัติการค้นหา ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่าง 8 ชาติ
       
       แม้ว่าจะทีมค้นหาจะดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียด ในอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลของมหาสมุทรอินเดีย บริเวณนอกชายฝั่งเมืองเพิร์ธ ทว่าก็ยังไม่พบซากเครื่องบินที่สามารถชี้จุดที่เกิดเหตุแม้แต่ชิ้นเดียว
       
       นาจิบยอมรับว่า การตามหาเครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ที่หายสาบสูญไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคมลำนี้เป็น "งานช้าง" แต่เขายืนยันว่ายังมั่นใจว่าปริศนาที่ชวนสับสนนี้จะต้องได้รับความกระจ่าง

[attach=2]

เขากล่าวว่า "ด้วยการดำเนินงานระดับมืออาชีพเช่นนี้ ผมมั่นใจ ... ว่าเราจะเข้าใกล้ความจริงในโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในอีกไม่ช้า"
       
       กัวลาลัมเปอร์กำลังถูกโจมตีหนักในเรื่องวิธีรับมือกับสถานการณ์จากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากบรรดาญาติผู้โดยสารชาวจีนทั้ง 153 คนที่สูญหายไปพร้อมกับเครื่องบินลำนี้ซึ่งกำลังสับสนและสิ้นหวัง

ในทางกลับกัน ออสเตรเลียกำลังได้รับคำชื่นชม หลังระดมกำลังพลเข้าช่วยเหลือในภารกิจค้นหาครั้งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
       
       ในเวลาที่ญาติพี่น้องผู้สูญเสียกำลังรู้สึกขุ่นเคืองใจ คอลิด อาบู บาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซียกล่าววานนี้ (2) ว่าจนบัดนี้ การสืบสวนสาเหตุที่ทำให้อากาศยานลำนี้บินออกนอกเส้นทางเดิม ขณะมุ่งหน้าออกจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังกรุงปักกิ่ง ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด
       
       ถึงแม้ออสเตรเลียมีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติการค้นหาและช่วยชีวิตมากกว่ามาเลเซีย เนื่องจากประเทศนี้ต้องคอยตรวจตราเฝ้าระวังพื้นที่ขนาดใหญ่ในมหาสมุทรขนาดเป็นประจำ แต่นายกรัฐมนตรี โทนี แอ็บบอตต์ บอกว่าปฏิบัติการค้นหาคราวนี้เป็นครั้งที่ยากลำบากที่สุดเท่าที่เคยเผชิญมา
       
       เขากล่าวว่า "ทุกวันนี้ เราต้องทำภารกิจโดยอาศัยข้อมูลเพียงน้อยนิด ต้องปะติดปะต่อข้อมูลเข้าด้วยกันเหมือนต่อจิกซอว์ แต่เรามั่นใจมากขึ้นทุกวันว่า เราเริ่มรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินเคราะห์ร้ายลำนี้มากขึ้น"
       
       "การค้นหาครั้งนี้เป็นภารกิจที่ยากมาก ยากที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติก็ว่าได้ แต่ตราบใดที่ออสเตรเลียยังร่วมมือ เราจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีเพื่อการค้นหาครั้งนี้"
       
       นับตั้งแต่เครื่องบินหายไปเกือบ 1 เดือน ประเทศ 8 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยดำเนินภารกิจร่วมกันมาก่อน ได้มารวมตัวกันค้นหาเบาะแสของหนึ่งในปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน
       
       ทั้งนาจิบ และแอ็บบอตต์ได้ยกย่อง ความร่วมมือที่ "ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง" ของ ออสเตรเลีย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ
       
       "การได้เห็นกองทัพของหลายประเทศร่วมกันทำงานเพื่อส่วนรวม แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเรา" แอ็บบอตต์กล่าว
       
       เมื่อวานนี้ (2) อังกฤษได้ส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งมีความสามารถในการค้นหาใต้น้ำเข้าไปสนับสนุนกองเครื่องบินและเรือที่กำลังตรวจสอบพื้นที่ขนาด 237,000 ตารางกิโลเมตรของท้องทะเลอันไกลโพ้น แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ทีมค้นหายังไม่พบร่องรอยของเที่ยวบิน MH370
       
       ศูนย์ประสานร่วมระหว่างหน่วยงานของออสเตรเลีย (เจเอซีซี) ระบุว่า ในวันนี้ (3) เครื่องบิน 8 ลำ และเรือ 9 ลำ จะเข้าร่วมภารกิจค้นหาในน่านน้ำซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเพิร์ธไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 1,680 กิโลเมตร
       
       เรือรบ "โอเชียน ชีลด์" ของกองทัพเรือออสเตรเลีย ซึ่งติดตั้งอุปกรณ์ค้นตำแหน่ง "กล่องดำ" จากสหรัฐฯ มีกำหนดจะเดินทางมาถึงพื้นที่ค้นหาในวันพรุ่งนี้ (4) แต่อาจต้องรับมือกับภารกิจอันหนักหนาสาหัส ทั้งยังจำเป็นต้องมีการจำกัดวงค้นหาให้แคบลง เพื่อให้มีโอกาสพบหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องบินเคราะห์ร้ายลำนี้มากขึ้น

[attach=3]

[attach=4]
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

In Pics : "เครื่องค้นหากล่องดำ" ของสหรัฐฯ เข้าเสริมทัพแข่งเวลาก่อนแบตเตอรีMH370จะหมดในอีก 2 วัน - ฝ่ายค้านมาเลย์สงสัย "รัฐบาลอาจมีเรื่องปิดบัง"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
4 เมษายน 2557 18:15 น.

[attach=1]

เอเอฟพี - เครื่องชี้ตำแหน่งกล่องดำของกองทัพเรือสหรัฐฯได้เข้าร่วมทีมการค้นหากล่องดำของเครื่องบินเที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สในวันนี้(4) ที่แบตเตอร์รีกล่องดำของMH370 ยังคงมีพลังงานเหลือเพียงแค่ไม่เกิน 2 วัน ในขณะที่ ผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม เชื่อมั่นว่า รัฐบาลมาเลเซียของนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ต้องปิดบังบางอย่างไว้
       
       ในขณะที่การค้นหาMH370 ยังคงดำเนินต่อไป ผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ได้กล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมาเลเซียต้องปิดบังข้อมูลบางอย่างของการสูญหายเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส "รัฐบาลมาเลย์รู้มากกว่าพวกเรา" อันวาร์กล่าว
       
       "โอเชียนชีลด์" เรือรบของออสเตรเลียได้เดินทางมาถึงพร้อมกับเครื่องบอกพิกัดกล่องดำหรือ "a towed pinger locator" ที่สามารถจับสัญญาณที่ส่งออกมาจากกล่องดำของเครื่องบินที่สูญหายได้ ในขณะที่เครื่องบิน 14 ลำบินไปทั่วบริเวณที่ห่างไกลของมหาสมุทรอินเดียเพื่อค้นหาจุดตกของMH370
       
       โดยเครื่องบินเที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สได้สูญหายไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียได้รีบนำเครื่องระบุพิกัดกล่องดำไปยังบริเวณที่คาดว่าอาจจะพบก่อนที่พลังงานแบ็ตเตอร์รีของกล่องดำจะหมด และไม่สามารถส่งสัญญาณเพื่อให้รับรู้ถึงตำแหน่งได้
       
       "กล่องดำจะส่งสัญญาณบอกตำแหน่งเพียงแค่ 1 เดือนก่อนที่จะดับไป ดังนั้นทีมค้นหาจึงมีเวลาเหลือน้อยเต็มที" แองกัส ฮูสตัน หัวหน้า   ศูนย์ประสานร่วมระหว่างหน่วยงานของออสเตรเลีย (JACC)  ที่มี 8 ชาติเข้าร่วมกล่าว
       
       ด้านผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซีย อันวาร์ ยังกล่าวต่อไปว่า เขารู้สึกว่าพูดอะไรไม่ออกที่กองทัพมาเลเซียล้มเหลวในการจัดการวิกฤตครั้งนี้ถึงแม้ว่าทางกองทัพจะสามารถจับสัญญาณ MH370 ได้บินข้ามน่านฟ้าของประเทศออกไปตามเส้นทางการบินที่อ้อมอย่างเป็นปริศนา
       
       "เป็นที่น่าเสียดายว่าพฤติกรรมตอบสนองต่อวิกฤตเครื่องบินสูญหายช่วงไม่กี่วันแรกนั้นน่าสงสัย" อันวาร์กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษ หนังสือพิมพ์เทเลกราฟท์

       
       "มีความจริงประการหนึ่งที่ยังคงอยู่คือ เป็นที่แน่ชัดว่าข้อมูลสำคัญที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจในเหตุการณ์นี้นั้นถูกปิดบังไว้ ผมเชื่อว่ารัฐบาลมาเลย์รู้มากกว่าที่พวกเรารู้" อันวาร์กล่าวโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม
       
       ในขณะที่เจ้าหน้าที่มาเลเซียได้กล่าวว่า พวกเขายังไม่มีรู้ว่า MH370 นั้นบินออกนอกเส้นทางไปได้อย่างไร แต่เชื่อจากข้อมูลดาวเทียมที่บ่งชี้ว่า MH370 ได้ตกลงในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลีย และที่ผ่านมายังไม่มีพบเศษชิ้นส่วนจากการขยายขอบเขตการค้นหา ซึ่งการประเมินถึงจุดตกเครื่องบินนั้นจะช่วยทำให้การค้นหากล่องดำนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
       
       ซึ่งฮูสตันได้เปิดเผยต่อว่า เรือรบโอเชียนชีลด์ที่ได้ติดตั้งเครื่องบอกพิกัดกล่องดำเริ่มการค้นหาใต้ผิวน้ำ พร้อมกับเเรือลาดตระเวน HMS Echo  ของกองทัพอังกฤษ ที่ตั้งแต่เมื่อวานนี้(3)เรือลำนี้ได้ออกท่องสแกนหาสัญญาณกล่องดำ MH370 ทั่วบริเวณ
       
       "กองทัพเรืออสเตรเลียและกองทัพเรืออังกฤษในวันนี้ร่วมกันค้นหาใต้น้ำเพื่อตามหาสัญญาณจากกล่องดำMH370 โดยใช้เครื่องบอกพิกัดกล่องดำ" ฮูสตันกล่าว
       
       นอกจากนี้เรือรบโอเชียนชีลด์ยังใช้โดรนใต้น้ำเพื่อค้นหาตามพื้นผิวก้นมหาสมุทร เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียกล่าว และฮุสตันยังย้ำว่า ทั้งเรือและเครื่องบินจะยังคงค้นหาเศษชิ้นส่วนที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรอินเดียต่อไป
       
       อย่างไรก็ตามถึงแม้รัฐบาลมาเลเซียจะได้ชื่อว่าขาดความโปร่งใส แต่ ฮิชามมุดดิน ฮุสเซน รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมมาเลเซีย กล่าวโต้ในสัปดาห์นี้ว่า "มาเลเซียไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง" แต่อันวาร์ที่ได้เคยอนุมัติการจัดซื้อระบบเรดาร์ของกองทัพมาเลเซียในสมัยที่เขายังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีการคลังในปี 1994 ได้กล่าวว่า ระบบเรดาร์ที่มีประสิทธิภาพสูงของกองทัพมาเลเซียควรจะเตือนกองทัพให้รับมือได้อย่างทันท่วงที"
       
       ซึ่งกองทัพมาเลเซียได้เปิดเผยว่า หลังจากที่ MH370 หายไปได้ไม่นาน ระบบเรดาร์ของกองทัพสามารถจับสัญญาณวัตถุลึกลับเคลื่อนตัวไปทางมหาสมุทรอินเดียได้ แต่ทางกองทัพมาเลเซียเลือกที่จะไม่ทำอะไรเพราะสิ่งนั้นไม่ปรากฏเป็นภัยคุกคามต่อประเทศ และการตัดสินใจในครั้งนั้นของกองทัพมาเลเซียถูกวิพากษ์ในวงกว้างถึงการทำให้เสียเวลาที่มีค่าในการตามหา MH370 และรัฐบาลมาเลเซียยังต้องใช้เวลาอีก 1 สัปดาห์เพื่อยืนยันสัญญาณเรดาร์ว่าเป็นเครื่องบินที่สูญหาย MH370 และได้ดำเนินการตามหาครั้งใหญ่ไปในทิศทางที่ห่างจากจุดพิกัดเดิมที่ได้คาดไว้ในตอนต้นในบริเวณทะเลจีนใต้
       
       ทั้งนี้อันวาร์กล่าวว่า รัฐบาลมาเลเซียควรรับมือวิกกฤตให้รวดเร็วกว่านี้เพื่อประหยัดเวลาของประเทศอื่นในการช่วยตามหาในจุดที่ประเทศเหล่านั้นรู้ดีว่ายากที่จะพบเครื่องบิน
       
       แต่โฆษกรัฐบาลมาเลเซียได้ตอบโต้ผู้นำฝ่ายค้านมาเลย์ว่า ถนัดในการขุดคุ้ยหาเรื่องเพื่อวิพากษ์รัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งแทนที่จะใช้โอกาสทำคะแนนทางการเมืองโดยการกล่าววิจารณ์ถึงการรับมือในเหตุการณ์เครื่องบินสูญหาย อันวาร์น่าจะใช้โอกาสนี้สนับสนุนรัฐบาลมาเลเซีย เหมือนอย่างที่รัฐบาลของราซัคกำลังร่วมมือกับชาติต่างๆในภาระกิจค้นหา MH370
       
       และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย คาลิด อาบู บาการ์ ได้เปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า  ผู้โดยสารทั้งหมด 227 คน รวมถึงลูกเรืออีก 12 คน ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ในการจี้เครื่องบิน ก่อวินาศกรรม หรือมีปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาทางจิตที่อาจเชื่อมโยงกับการหายไปของ MH370 และได้ กล่าวยอมรับว่า บางทีตำรวจมาเลเซียอาจไม่มีวันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนเครื่องบินลำนี้

[attach=2]

[attach=3]

[attach=4]

[attach=5]

[attach=6]

[attach=7]

[attach=8]

[attach=9]

[attach=10]

[attach=11]

[attach=12]

[attach=13]

[attach=14]

[attach=15]

[attach=16]

[attach=17]

[attach=18]

[attach=19]


ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

แค่เดือนเดียว MH370 ทุบสถิติค้นหาเครื่องบินสูญหาย แพงสุดในประวัติศาสตร์โลก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
5 เมษายน 2557 04:02 น.

[attach=1]

ซิดนีย์มอร์นิงเฮรัลด์/แฟร์แฟ็กซ์ - ปฏิบัติการค้นหาและสืบสวนหาข้อเท็จจริงเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 ที่สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทุบสถิติใช้งบประมาณแพงสุดในประวัติศาสตร์การบินพลเรือนไปแล้ว ทั้งที่มันหายสาบสูญไปแค่ราว 1 เดือน
       
       แม้ข้อมูลที่สื่อมวลชนอย่างซิดนีย์มอร์นิงเฮรัลด์และสำนักข่าวแฟร์แฟ็กซ์ได้มาจะมีรายละเอียดแค่เศษส่วนน้อยยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด แต่ก็ดูเหมือนว่าตัวเลขการใช้จ่าย 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ราว 1,627 ล้านบาท) ในช่วง 2 ปีแห่งการสืบสวนและค้นหาเครื่องบินแอร์ฟรานซ์ 447 ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติเดิมอยู่ จะถูกโค่นลงอย่างง่ายดายในช่วงเวลาแค่ 4 สัปดาห์
       
       ยอดการใช้จ่ายแพงสุดตลอดกาลครั้งนี้ รวมไปถึงงบใช้จ่ายในส่วนของกองเรือ ดาวเทียม เครื่องบินและเรือดำน้ำ ที่เข้าปฏิบัติการค้นหาตั้งแต่ต้นในทะเลจีนใต้และช่อบแคบมะละกา ก่อนที่จะย้ายไปค้นหาในดินแดนห่างไกลในมหาสมุทรอินเดียทางตอนใต้ ยกตัวอย่างเช่น HMAS Success ของกองทัพเรือออสเตรเลีย ที่ถูกส่งเข้าประจำการเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ต้องใช้งบประมาณในปฏิบัติการค้นหาราว 550,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ(ราว17ล้านบาท)ต่อวัน
       
       ส่วน HMAS Toowoomba ซึ่งเบี่ยงไปร่วมค้นหาเที่ยวบิน MH370 เมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน ก็มีค่าใช้จ่ายโดยตรงต่างๆนานา ทั้งน้ำมัน เสบียงและค่าจ้างของลูกเรือ รวมแล้วราว 380,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน(ราว 12 ล้านบาท) โดยเรือทั้งสองคำใช้งบประมาณไปกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯขณะอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ด้วยแม้ว่าทางกระทรวงกลาโหมของออสเตรเลีย แก้ต่างว่าอย่างไรเสียเรือทั้ง 2 ลำก็ต้องล่องทะเลอยู่แล้ว แต่การเบี่ยงเส้นทางจากเดิม ก็เท่ากับต้องใช้เงินประชาชนผู้เสียภาษีอยู่ดี
       
       ในการคำนวณค่าใช้จ่าย ได้คิดรวมไปถึงทรัพยากรต่างๆที่อุทิศแก่ปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินและผู้โดยสารกับลูกเรือ 239 คนบนเครื่อง ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าในส่วนของกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 3.6 ล้านดอลลาร์(117ล้านบาท) สำหรับประจำการโดรนใต้น้ำและเครื่องบอกพิกัดกล่องดำเพื่อดำเนินการค้นหากล่องบันทึกการบินของ MH370 หลังจากก่อนหน้านี้ในวันพุธ(2) เพนตากอน บอกว่านอกเหนือจากเครื่องบอกพิกัดกล่องดำแล้ว พวกเขายังได้ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 3.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปฏิบัติการค้นหาทั้งทางเรือและเครื่องบินเพื่อหาตำแหน่งของ MH370
       
       ด้านเวียดนาม เคยมีข่าวว่าพวกเขาใช้เงินไปกว่า 8 ลานดอลลาร์สหรัฐฯ(ราว 260 ล้านบาท) สำหรับการค้นหาทางเครื่องบินในทะเลจีนใต้ หลังจากพวกเขาส่งเครื่องบิน 12 ลำขึ้นหาซากของ MH370 จากทางอากาศในแต่ละวัน
       
       เจฟฟ์ เดลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนอุบัติเหตุทางอากาศจากมหาวิทยาลัยเซ็นทรัล ควีนส์แลนด์ บอกว่าเฉพาะค่าใช้จ่ายในส่วนของการค้นหาโดยเครื่องบิน 10 ชั่วโมงต่อวัน ก็แตะระดับ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯสบายๆแล้ว ดังนั้นตลอดเกือบ 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็น่าจะเกินกว่า 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งกรณีนี้ไม่นับรวมในส่วนของฝูงบินอเมริกาอีกต่างหาก
       
       จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นน่าจะคิดเป็นเงินราว 53 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่มันถือเป็นแค่ตัวเลขการใช้จ่ายแค่เศษส่วนน้อยเท่านั้น เนื่องจากมีถึง 26 ชาติที่เข้าร่วมปฏิบัติการค้นหาครั้งนี้
       
       มีเรือของกองทัพเรือจากชาติต่างๆกว่า 40 ลำที่เข้าร่วมปฏิบัติการค้นหา MH370 โดยแค่จีน ประเทศเดียวก็ส่งเรือเข้ามาประจำการในมหาสมุทรอินเดียถึง 7 ลำ นอกจากนี้แล้วยังมีค่าใช้จ่ายด้านการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวกรอง ตำรวจและทีมสืบสวนอุบัติเหตุทางอากาศจากมาเลเซีย สหรัฐฯ ฝรั่งเศสและชาติอื่นๆ รวมถึงเงินชดเชยแก่ครอบครัวผู้โดยสารด้วย
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

In Pics : "เรือรบลาดตระเวนจีน" จับสัญญาณได้ในมหาสมุทรอินเดียใต้ "มีความถี่เดียวกับ MH370"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
6 เมษายน 2557 11:25 น.

[attach=1]

เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้ (5) สื่ออังกฤษบีบีซี รายงานเรือรบลาดตระเวนจีนในภารกิจตามหา MH370 เที่ยวบินที่สูญหาย สามารถจับสัญญาณในแถบมหาสมุทรอินเดียใต้ได้ที่ความถี่ 37.5kHz เดียวกับคลื่นสัญญาณที่ออกมาจากกล่องดำของ MH370 อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานชี้ว่าเชื่อมโยงกับเครื่องบินสูญหายของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส นอกจากนี้สื่ออังกฤษ เดลีเมลออนไลน์ยังรายงานว่า เครื่องบินรบจีนยังพบชิ้นส่วนราว 20 ชิ้นลอยอยู่ อ้างจากสำนักข่าวทางการของจีนซินหัว และเครื่องบินรบ 10 ลำ และเครื่องบินพลเรือน 2 ลำ และเรืออีก 13 ลำร่วมการค้นหาในวันนี้ (6) CNN สื่อสหรัฐฯรายงาน
       
       เมื่อวานนี้ (5) สื่ออังกฤษบีบีซี รายงานว่า ทีมการค้นหานานาชาติที่มีทั้งเรือและเครื่องบินในภารกิจเร่งรีบตามหา MH370 ก่อนที่แบ็ตเตอร์รีของเครื่องบันทึกการบินจะดับลงในวันนี้ (6) นั้นในวันเสาร์ (5) เรือ Haixun 01 สัญชาติจีนซึ่งเป็นหนึ่งในสองลำในบริเวณการค้นหาสามารถจับสัญญาณที่พิกัด "ละติจูดใต้ 25 องศา และลองติจูดตะวันออก 101 องศา" สำนักข่าวซินหัวรายงาน
       
       "ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าสัญญาณที่พบนี้มาจาก MH370 หรือไม่" สำนักข่าวซินหัวกล่าว โดยซินหัวกล่าวว่าลูกเรือ 3 คนบนเรือ Haixun 01 ได้ยินสัญญาณในขณะที่กำลังค้นหา แต่ลูกเรือจีนไม่ทันตั้งตัวบันทึกสัญญาณพวกนี้ได้ทันท่วงที
       
       นอกจากนี้ในวันเดียวกัน (5) สื่ออังกฤษ เดลีเมลออนไลน์ ยังรายงานว่า เครื่องบินจีนยังพบชิ้นส่วนราว 20 ชิ้นลอยอยู่
       
       แองกัส ฮูสตัน หัวหน้า ศูนย์ประสานร่วมระหว่างหน่วยงานของออสเตรเลีย (JACC) ทีมค้นหากล่าวถึงการค้นพบสัญญาณว่า สัญญาณที่มีรายงานว่าค้นพบนั้นมีความสอดคล่องกับสัญญาณคลื่นความถี่ที่ออกมาจากกล่องดำของ MH370 แต่ยังไม่มีการยืนยันในเบื้องต้นว่าสัญญาณที่พบ และรวมถึงชิ้นส่วนลอยอยู่ในมหาสมุทรอินเดียใต้นั้นมาจากเครื่องบินที่สูญหาย
       
       โดยสัญญาณที่เรือลาดตระเวนจีนจับได้นี้มาจากการใช้เครื่องจับสัญญาณกล่องดำที่อยู่ใต้น้ำมีลักษณะคล้ายกับขีปนาวุธควบคุมในระยะไกล โดยพบว่าสามารถจับสัญญาณได้เพียง 90 วินาทีเท่านั้นเมื่อวานนี้ (5) ซึ่งชี้ว่าถ้าหากเป็นสัญญาณที่ส่งออกมาจากกล่องบันทึกการบินของ MH370 จริง อาจจะเป็นการส่งครั้งสุดท้ายก่อนที่พลังงานจะหมดไป แต่ทว่าผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าพลังงานในกล่องดำจะยังคงอยู่ในกล่องดำอีก 14 วันหลังจากนั้น อ้างจากหนังสือพิมพ์ดิ การ์เดียน ของอังกฤษ และนอกจากนี้หนังสือพิมพ์ดิ อินดิเพนเดนต์ ของอังกฤษยังรายงานเสริมว่า สื่อจีนรายงานว่าก่อนหน้านี้ในวันศุกร์ (4) เรือของจีนสามารถจับสัญญาณได้เป็นเวลานานถึง 15 นาที
       
       และเดลีเมลออนไลน์ยังรายงานต่อว่า สื่อจีนรายงานว่า เครื่องบินรบจีนยังสามารถจับภาพวัตถุสีขาวจำนวนหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำห่างจากเพิร์ธ ออสเตรเลีย ไปราว 1,680 ไมล์ ในเวลา 11.05 น.เมื่อวานนี้ (5) ซึ่งชิ้นส่วนที่พบนั้นลอยอยู่ห่างจากจุดสัญญาณปิง (ping) จากดาวเทียมไปราว 55 ไมล์เท่านั้น
       
       ในขณะนี้ยังไม่มีทราบสาเหตุว่าเหตุใด MH370 ถึงบินออกนอกเส้นทาง ซึ่งในขณะนี้พื้นที่การค้นหาอยู่ห่างจากเพิร์ธไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไปราว 1,000 ไมล์ โดยใช้การอ้างอิงข้อมูลที่ได้จากดาวเทียม
       
       เมื่อวานนี้ (5) มาเลเซียได้ประกาศจัดตั้งคณะกรรมการ 3 ชุดเพื่อร่วมภารกิจการค้นหา และทีมสืบสวนใหม่นี้ประกอบไปด้วย ออสเตรเลีย จีน สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส
       
       และในวันนี้ (6) CNN สื่อสหรัฐฯรายงานว่า มีเครื่องบินรบ 10 ลำ และเครื่องบินพลเรือน 2 ลำ และเรืออีก 13 ลำร่วมการค้นหารอบใหม่ โดยสำนักงานความปลอดภัยทางทะเลของออสเตรเลีย หรือ AMSA มีแผนที่จะออกค้นหาในพื้นที่ 3 แห่งที่แยกกันไป โดยห่างจากเพิร์ธไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 1,240 ไมล์ ซึ่งมีพื้นที่การค้นหากว้างถึง 83,000 ตารางไมล์ และคาดว่าสภาพอากาศในวันนี้จะเอื้ออำนวยต่อภารกิจการค้นหา
       
       นอกจากนี้ ฮูสตัน กล่าวเสริมว่า เรือโอเชียนชิลด์ของออสเตรเลียที่มีเครื่องชี้พิกัดกล่องดำของกองทัพเรือสหรัฐฯจะตามหาสัญญาณความถี่ที่เรือรบจีนจับได้เมื่อวานนี้ (5)

เรือรบลาดตระเวน Haixun 01
[attach=2]

พืนที่ค้นหาที่พบคลื่นความถี่สอดคล้องกับความถี่ที่ออกมาจากกล่องดำของโบอิ้ง 777
[attach=3]

ชิ้นส่วนสีขาวที่ลอยห่างจากจุดสัญญาณปิงจากดาวเทียมไปราว 55 ไมล์ถูกพบโดยเครื่องบินรบจีนเมื่อวานนี้(5)
[attach=4]

[attach=5]

[attach=6]

เครื่องค้นหากล่องดำของสหรัฐฯที่ถูกติดตั้งกับเรือรบออสเตรเลีย โอเชียนชีลด์
[attach=7]

[attach=8]

เครื่องบินนิวซีแลนด์ในภารกิจการค้นหา
[attach=9]
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

จับ "สัญญาณเสียงใต้ทะเล" ได้รวม3ชุด เพิ่มความหวังที่จะพบ "กล่องดำ MH370"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
6 เมษายน 2557 23:06 น.

ภาพที่ถ่ายโดยสำนักข่าวไชน่า นิว เซอร์วิส แสดงให้เห็น เรือตรวจการณ์ "ไห่ซุ่น 01" ของจีน ขณะปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินโดยสารเที่ยวบิน MH370 ในบริเวณตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดียเมื่อวันเสาร์ (5 เม.ย.) เรือของจีนลำนี้สามารถตรวจจับสัญญาณเสียงจากใต้ทะเลได้ 2 ชุดในวันศุกร์ (4) และวันเสาร์(5) ทำให้เกิดความหวังขึ้นมาใหม่เกี่ยวกับการตามหาเครื่องบินโบอิ้ง777 ที่สูญหายไปลำนี้
[attach=1]

เอเจนซีส์ – สัญญาณเสียงจากใต้มหาสมุทรอินเดียที่เรือจีนและเรือออสเตรเลียสามารถตรวจจับได้รวม 3 ชุด ทำให้เกิดความหวังใหม่เมื่อวันอาทิตย์ (6 เม.ย.) ในการติดตามค้นหาเครื่องบินโดยสารเที่ยวบิน MH370 ซึ่งสูญหายไปร่วมเดือนแล้ว และทีมปฏิบัติการของนานาชาติก็รีบเร่งออกไปตรวจสอบยืนยันว่า สัญญาณเหล่านี้มาจากกล่องดำของเครื่องบินโบอิ้ง 777 ลำนี้ ซึ่งแบตเตอร๊ของมันกำลังจะหมดพลังงานอยู่แล้วใช่หรือไม่
       
        พล.อ.อ.แองกัส ฮุสตัน อดีตผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ประสานงานการค้นหาเที่ยวบิน MH370 ของมาเลเซีย แอร์ไลนส์ ที่หายไปตั้งแต่วันที่ 8 เดือนที่แล้ว แถลงยืนยันมื่อวันอาทิตย์ (6) ว่า เรือตรวจการณ์ไห่ซุ่น 01 ของจีนสามารถตรวจจับสัญญาณใต้น้ำที่มีความถี่เดียวกับความถี่ที่ใช้สำหรับกล่องดำของเครื่องบินรวมทั้งสิ้น 2 ครั้งๆ แรกในวันศุกร์ (4) โดยจับสัญญาณ "ping" จากกล่องดำได้ช่วงสั้นๆ และครั้งที่ 2 ในวันถัดมา (5) ในบริเวณห่างกัน 2 กิโลเมตร และจับสัญญาณได้นานขึ้นคือ 90 วินาที นอกจากนี้ จีนยังพบวัตถุสีขาวลอยอยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วย
       
        ฮุสตันสำทับว่า แม้เป็นความคืบหน้าสำคัญ แต่ยังไม่ควรด่วนตั้งความหวัง เนื่องจากการค้นหาอยู่ภายในอาณาบริเวณกว้างขวางมากและเป็นน่านน้ำที่มีความลึกถึง 4,500 เมตร จึงถือเป็นการค้นหาที่ท้าทายและต้องใช้ความสามารถสูงมาก รวมทั้งอาจต้องใช้ระยะเวลายาวนาน หากตรวจพบว่า เครื่องบินตกในแถบนี้
       
        อดีตผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลียผู้นี้บอกด้วยว่า เรือเอชเอ็มเอส เอ็กโค ของอังกฤษที่ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับกล่องดำขั้นสูงของอเมริกา ก็มุ่งหน้าไปยังบริเวณดังกล่าวแล้ว และจะไปถึงภายใน 1-2 วัน
       
        เช่นเดียวกัน เรือโอเชียน ชิลด์ของกระทรวงกลาโหมออสเตรเลียที่ติดตั้งอุปกรณ์ค้นหากล่องดำไฮเทคของสหรัฐฯ มีกำหนดจะไปยังบริเวณดังกล่าว หลังจากตรวจสอบพื้นที่ที่เรือลำนี้เองตรวจพบสัญญาณ ping เช่นกัน แต่อยู่ในจุดซึ่งห่างจากแถบที่จีนพบไปทางเหนือราว 555 กิโลเมตร
       
        ฮุสตันระบุว่า คณะค้นหาให้ความสำคัญอย่างมากกับการตรวจพบสัญญาณในทั้งสองบริเวณ ขณะที่แบตเตอรี่กล่องดำของ 370 กำลังจะหมดพลังงานลง โดยปกติแล้วแบตเตอรี่นี้จะอยู่ได้นาน 30 วันหลังจากเครื่องบินตก และปฏิบัติการค้นหาในวันอาทิตย์ก็ล่วงเข้าวันที่ 30 พอดี กระนั้น ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า บางทีแบตเตอรี่อาจอยู่ได้นานกว่านั้น 8-10 วัน
       
        การค้นหาในวันอาทิตย์กลับมาเน้นที่ปลายสุดด้านใต้ของพื้นที่ค้นหาอีกครั้ง หลังจากข้อมูลจากดาวเทียมที่ได้รับการแก้ไขระบุว่า มีแนวโน้มมากขึ้นที่เครื่องบินจะมุ่งหน้าสู่บริเวณดังกล่าว
       
        ปฏิบัติการในวันอาทิตย์ประกอบด้วยเครื่องบินทหาร 10 ลำ, เครื่องบินพลเรือน 2 ลำ และเรือ 13 ลำ แบ่งปฏิบัติการออกเป็น 3 พื้นที่ในบริเวณทั้งหมด 216,000 ตารางกิโลเมตรห่างจากชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเพิร์ท, รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ราว 2,000 กิโลเมตร

เครื่องบินตรวจการณ์ทางทะเลแบบโอไรออน ของกองทัพอากาศออสเตรเลีย ทะยานขึ้นจากฐานทัพเพียร์ซ ใกล้ๆ เมืองเพิร์ท, รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย เมื่อวันอาทิตย์ (6) เพื่อเข้าร่วมการปฏิบัติการค้นหาเที่ยวบิน MH370
[attach=2]

นักวิเคราะห์หลายคนยินดีกับการตรวจพบสัญญาณ ping เช่นนี้ เป็นต้นว่า ระวิ มาดาวาราม นักวิเคราะห์การบินของบริษัทโฟรสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ในกัวลาลัมเปอร์ที่ระบุว่า เครื่องบอกตำแหน่งฉุกเฉินในอุตสาหกรรมการบินและการเดินเรือส่วนใหญ่ใช้ความถี่ 37.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ดังนั้น สัญญาณ ping ที่เรือจีนตรวจพบจึงมีแนวโน้มมาจาก 370
       
        แต่บางคนเห็นว่า ควรต้องมีหลักฐานสนับสนุนมากกว่านี้ จึงจะดีใจกันได้
       
        เกร็ก วัลดรอน บรรณิการบริหารไฟลต์โกลบัล ที่มีฐานในสิงคโปร์ ตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมามีการแถลงข้อมูลที่ผิดพลาดออกมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้น จึงควรใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการเปิดเผยข้อมูลใดๆ ต่อไป และตั้งข้อสงสัยการค้นพบสัญญาณของเรือจีนภายในเวลาอันสั้น ทั้งที่บริเวณค้นหากว้างขวางมาก
       
        นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังแสดงความเห็นว่า อุปกรณ์โซนาร์มือถือของจีนที่เรียกว่า ไฮโดรโฟน หรืออุปกรณ์รับสัญญาณใต้น้ำนั้น มีความเป็นไปได้ในทางเทคนิคแต่มีแนวโน้มต่ำมากที่จะใช้ได้ผลในกรณีนี้
       
        ขณะเดียวกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ญาติ ๆ ราว 2,000 คนได้ทำพิธีสวดมนตร์ใหญ่เพื่อขอให้ผู้โดยสารบนเที่ยวบิน 370 ปลอดภัย เนื่องจากหลายคนยังมีความหวังตราบที่ยังไม่พบซากเครื่องบิน
       
        ทางการมาเลเซียนั้นเชื่อว่า ข้อมูลดาวเทียมบ่งชี้ว่า 370 ตกในมหาสมุทรอินเดียหลังออกนอกเส้นทางอย่างตั้งใจด้วยเหตุผลที่ยังไม่อาจทราบได้
       
        ในส่วนการสืบสวนทางอาชญากรรมนั้น มุ่งเน้นความเป็นไปได้ทั้งในการจี้เครื่องบิน ก่อวินาศกรรม หรือปัญหาทางจิตในหมู่ผู้โดยสารและลูกเรือ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีเหล่านี้
       
        วันเสาร์ที่ผ่านมา ฮิชามมุดดิน ฮุสเซน รัฐมนตรีกลาโหมและรักษาการรัฐมนตรีคมนาคมของมาเลเซียแถลงว่า ได้เริ่มทำการสอบสวนกรณีการสูญหายของ 370 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลีย อเมริกา จีน อังกฤษ และฝรั่งเศสร่วมด้วย
       
        การสอบสวนจะประกอบด้วย 3 กลุ่มๆ แรกตรวจสอบบันทึกการซ่อมบำรุง โครงสร้าง และระบบต่างๆ ของเครื่องบิน กลุ่มที่ 2 ศึกษาอุปกรณ์บันทึกการบิน ปฏิบัติการ และสภาพอากาศ และกลุ่มที่ 3 เน้นปัจจัยทางการแพทย์และมนุษย์คือด้านจิตวิทยา พยาธิวิทยา และความอยู่รอด
       
        ปกติแล้ว การสอบสวนเกี่ยวกับความปลอดภัยในการบินจะเริ่มขึ้นหลังจากค้นพบซากเครื่องบินเท่านั้น และขณะนี้มีความกังวลว่า การสอบสวนอย่างไม่เป็นทางการของมาเลเซีย ขาดหลักการทางกฎหมายในการสอบสวนอย่างเป็นทางการภายใต้กฎของสหประชาชาติรองรับ
       
        ภายใต้กฎขององค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศนั้น ประเทศที่ขึ้นทะเบียนเครื่องบินที่ประสบอุบัติเหตุ จะเป็นผู้นำในการสอบสวน หากกรณีที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในน่านน้ำสากล

ผู้คนถือเทียนล้อมรอบแผ่นป้ายที่เขียนข้อความว่า "สวดมนตร์ให้แก่ MH370" ภายหลังพิธีสวดมนตร์ทางพุทธศาสนาแด่ผู้ที่อยู่บนเครื่องบินโดยสารซึ่งสูญหายไปลำนี้ พิธีนี้จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมชาวจีนมาเลเซีย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันอาทิตย์ (6 เม.ย.)
[attach=3]

ชาวพุทธมาเลเซียสวดมนตร์แด่ผู้ที่อยู่บนเที่ยวบิน MH370 ในพิธีซึ่งจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมชาวจีนมาเลเซีย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันอาทิตย์ (6 เม.ย.)
[attach=4]

เทียนที่ประดับอยู่ในพิธีสวดมนตร์ทางพุทธศาสนาแด่ผู้ที่อยู่บนเที่ยวบิน MH 370
[attach=5]
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

ปริศนาเส้นทางบินลึกลับ พบ MH370 จงใจเลี่ยงบินผ่าน "น่านฟ้าแดนอิเหนา"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
7 เมษายน 2557 11:29 น.

[attach=1]

เอเจนซีส์ - สื่ออังกฤษหนังสือพิมพ์ดิอินดิเพนเดนต์ รายงานเมื่อวานนี้ (6 เม.ย.) ว่า การตรวจสอบเส้นทางการบินของ MH370 ที่คาดว่าตกในมหาสมุทรอินเดียใต้นั้นพบว่า MH370 นั้นจงใจบินเลี่ยงระบบตรวจจับเรดาร์ของอินโดนีเซียโดยใช้เส้นทางบินข้ามมาเลเซีย และบินอ้อมไปทางเหนือของอินโดนีเซียก่อนไปตกในมหาสมุทรอินเดียใต้
       
       แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาเลย์เปิดเผยว่า โบอิ้ง 777 ได้อ้อมไปทางเหนือของอินโดนีเซีย หลังจากที่เที่ยวบิน MH370 ถูกเรดาร์ของกองทัพมาเลเซียจับสัญญาณได้ อ้างจากการวิเคราะห์ข้อมูลเส้นทางการบินเพิ่มเติมจากประเทศเพื่อนบ้านของมาเลเซีย
       
       โดยพบว่า MH370นั้น "จงใจเลี่ยงบินผ่านอินโดนีเซีย รวมไปถึงน่านฟ้าของอินโดนีเซีย" อย่างเห็นได้ชัด โดยพบว่า MH370 บินอ้อมไปทางเหนือของอินโดนีเซียก่อนหันกลับลงใต้มุ่งสู่ทางมหาสมุทรอินโดนีเซียใต้ แหล่งข่าวมาเลย์เผยกับ CNN สื่อสหรัฐฯ ว่า จากการวิเคราะห์เส้นการบินที่ลึกลับของ MH370 ทำให้เชื่อได้ว่าใครก็ตามที่ขับเครื่องบินเที่ยว MH370 นั้นจงใจบินเลี่ยงการตรวจจับระบบเรดาร์ของอินโดนีเซีย
       
       และสื่อดิฮินดูยังรายงานเสริมว่า แหล่งข่าวมาเลย์คาดว่า ต้องมีสิ่งที่จุดประสงค์ร้ายซ่อนอยู่เบื้องหลังการหายไปของเครื่องบินสายการบินของมาเลเซียแอร์ไลน์สมาจนถึงทุกวันนี้สำหรับเจ้าหน้าที่สืบสวนมาเลย์ที่ยังคงปริศนาว่าใครกันแน่เป็นขับ MH370 ที่มี 239 ชีวิตอยู่บนเครื่อง รวมถึงชาวอินเดีย 5 คน หลังจากที่เครื่องบินเที่ยวนี้ได้หายไปจากหน้าจอเรดาร์
       
       การค้นหา MH370 ที่ได้ทำคู่ไปกับการสืบสวน ยังไม่มีเศษชิ้นส่วนใดที่ได้รับการยืนยันว่ามาจากโบอิ้ง 777 และในขณะนี้เรือรบอังกฤษ The HMS Echo ได้ถูกส่งไปช่วยเรือตรวจการจีน Haixun 01 เพื่อตามหาสัญญาณที่ส่งออกมาจากกล่องดำของ MH370

Source:MH370 skirted Indonesia radar
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

"ออสเตรเลีย" แถลงพบสัญญาณใต้น้ำ 2 ครั้งตรงกับความถี่ของ "กล่องดำ" เครื่องบิน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
7 เมษายน 2557 13:24 น.

เรือ โอเชียน ชิลด์ ของกองทัพเรือออสเตรเลีย ซึงลากอุปกรณ์ค้นหาสัญญาณ Ping บนผิวน้ำเพื่อค้นหาสัญญาณจากกล่องดำของเครื่องบิน MH370
[attach=1]

เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ส – เรือของออสเตรเลียที่ร่วมปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์สตรวจพบสัญญาณความถี่ใต้น้ำ 37.5 กิโลเฮิร์ตซ์ ซึ่งตรงกับสัญญาณที่ส่งออกมาจากกล่องดำของเครื่องบินโดยสาร และถือว่าเป็น "ความคืบหน้าล่าสุด" ในการแกะรอยเที่ยวบิน MH370 ที่จะสูญหายไปครบ 1 เดือนในวันพรุ่งนี้(8)
       
       แองกุส ฮุสตัน อดีตผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลียซึ่งรับหน้าที่ควบคุมการค้นหาโบอิ้ง 777 ของมาเลเซีย แถลงว่า เจ้าหน้าที่สามารถจำกัดพื้นที่ค้นหาในทะเลให้แคบเข้ามา หลังตรวจพบสัญญาณซึ่ง "จุดประกายความหวังว่า เราใกล้จะเจอจุดที่เราต้องการค้นหาเต็มที"
       
       "อุปกรณ์ค้นหาสัญญาณ Ping ที่ผูกติดกับเรือ โอเชียน ชิลด์ ของกองทัพออสเตรเลียสามารถตรวจจับสัญญาณที่มีคลื่นความถี่ตรงกับสัญญาณจากกล่องดำเครื่องบินได้" ฮุสตัน กล่าว พร้อมกับย้ำว่า "ยังหาเครื่องบินไม่พบ" และต้องรอข้อมูลเพิ่มเติม
       
       เที่ยวบิน MH370 ของมาเลเซียแอร์ไลน์สพาผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 239 ชีวิตออกจากสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์เมื่อเวลาราวเที่ยงคืนครึ่งของวันที่ 8 มีนาคม ก่อนที่สัญญาณเรดาร์จะขาดหายไป
       
       ฮุสตัน ชี้ว่า ข้อมูลใหม่ที่ได้รับตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาทำให้ "มีความหวัง" อย่างยิ่งว่าจะพบซากเครื่องบินในอีกไม่ช้า
       
       "เราตรวจพบสัญญาณ 2 ครั้งบริเวณตอนเหนือของพื้นที่ค้นหา ครั้งแรกกินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที จากนั้นสัญญาณก็ขาดไป เรือค้นหาจึงได้หักเลี้ยว และพยายามที่จะค้นหาสัญญาณนั้นอีกครั้ง"
       
       "ต่อมาเราพบสัญญาณเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งกินเวลาประมาณ 13 นาที ครั้งนี้เสียงสัญญาณ Ping ที่สะท้อนกลับมา 2 ครั้งได้ยินชัดเจนทีเดียว และมีคลื่นความถี่ตรงกับสัญญาณที่ส่งออกมาจากเครื่องบันทึกข้อมูลการบิน และอุปกรณ์บันทึกเสียงในห้องนักบิน"
       
       "อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะสามารถยืนยันได้ว่า สัญญาณที่ตรวจจับได้นั้นมาจากเครื่องบินโบอิ้ง 777 เที่ยวบิน MH370 หรือไม่... ในท้องมหาสมุทรที่อยู่ลึกมากคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้เร็วนัก"
       
       ศูนย์ประสานงานร่วมในการค้นหาเครื่องบิน (JACC) แถลงว่า การค้นหาในวันนึ้(7) จะกินพื้นที่ราว 234,000 ตารางกิโลเมตร ห่างจากเมืองเพิร์ทไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 2,000 กิโลเมตร โดยมีเครื่องบินทหารเข้าร่วมทั้งหมด 9 ลำ, เครื่องบินพลเรือน 3 ลำ และเรืออีก 14 ลำ

แองกุส ฮุสตัน อดีตผู้บัญชาการกองทัพออสตรเลียซึ่งทำหน้าที่ควบคุมปฏิบัติการค้นหา MH370
[attach=2]

[attach=3]

ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

เรือออสซีตรวจพบสัญญาณใต้น้ำชี้มีลุ้นสูงสุดเข้าใกล้จุดตก MH370

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
7 เมษายน 2557 22:20 น.

Malaysia Airlines Flight MH370 Confirm They HAVE Found Signals

Flight MH370 search crews detect ping in Indian Ocean

เอเจนซีส์ - เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของออสเตรเลียยืนยันในวันจันทร์ (7 เม.ย.) เรือของกระทรวงกลาโหมแดนจิงโจ้สามารถจับสัญญาณใต้น้ำล่าสุดอีก 2 ครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาณ ping จากกล่องดำของเที่ยวบิน MH370 ถือเป็นความคืบหน้าที่ให้ความหวังมากที่สุด ในการปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินของมาเลเซีย แอร์ไลนส์ที่หายปริศนา 1 เดือนเต็ม อย่างไรก็ดี การยืนยันว่าสัญญาณดังกล่าวมาจากโบอิ้ง 777 ลำนี้อย่างแน่นอน อาจต้องใช้เวลาอีกหลายวัน
       
       พล.อ.อ.แองกัส ฮุสตัน อดีตผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ประสานงานการค้นหาเที่ยวบิน MH370 กล่าวเมื่อวันจันทร์ (7) ว่า สัญญาณที่เรือโอเชียน ชิลด์ ของกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย ตรวจจับได้ถือเป็นความคืบหน้าที่ให้ความหวังมากที่สุดตลอดปฏิบัติการค้นหานี้ และอาจเป็นข้อมูลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
       
       "เรามีทั้งภาพบนเรดาร์ และตอนนี้เรายังมีสัญญาณเสียง สำหรับผม สัญญาณเสียงเหมือนมาจากอุปกรณ์บอกตำแหน่งฉุกเฉิน และดูเหมือนเราเข้าใกล้บริเวณที่เราจำเป็นต้องไปถึงเป็นอย่างมากแล้ว"

[attach=1]

การปฏิบัติการค้นหานานหนึ่งเดือนที่คว้าน้ำเหลวเรื่อยมา เริ่มมีความหวังอีกครั้งเมื่อ โอเชียน ชิลด์ ที่ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับเสียงไฮเทคของกองทัพเรืออเมริกัน จับสัญญาณได้ 2 ครั้งๆ แรกในคืนวันเสาร์ (5) และอีกครั้งรุ่งเช้าวันอาทิตย์ (6) ณ บริเวณห่างจากชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเพิร์ท, รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ราว 1,680 กิโลเมตร ซึ่งเป็นบริเวณที่การวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมบ่งชี้ว่า มีแนวโน้มมากที่สุดที่ MH370 ตกหลังจากสูญหายไปตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม
       
       สัญญาณครั้งแรกกินเวลา 2 ชั่วโมง 20 นาทีก่อนเงียบหาย และเรือโอเชียน ชิลด์ วนกลับไปค้นหาสัญญาณอีกครั้ง คราวนี้พบสัญญาณ "ping" 2 ชุดต่างกัน นาน 13 นาที ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาณที่ปล่อยจากอุปกรณ์บันทึกการบินและอุปกรณ์บันทึกเสียงในห้องนักบิน
       
       กล่องดำบันทึกข้อมูลในห้องนักบินอาจให้คำตอบว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับเที่ยวบินดังกล่าว โดยที่จากข้อมูลทั้งหมดเท่าทีมีอยู่ในตอนนี้ ทำให้มีความเชื่อกันว่า เที่ยวบินนี้ได้เปลี่ยนเส้นทางโดยเจตนาจากเดิมที่มีปลายทางที่ปักกิ่ง
       
       กระนั้น ฮุสตันตั้งข้อสังเกตว่า ยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า สัญญาณซึ่งเรือออสเตรเลียจับได้ดังกล่าวมาจาก MH370 จริงๆ และการค้นหาเพื่อยืนยันเรื่องนี้อาจใช้เวลานานหลายวัน

[attach=2]

ทางด้าน นาวาเอกมาร์ก แมทธิวส์ จากกองทัพเรือสหรัฐฯ เสริมว่า กล่องดำทั้งสองแบบในเครื่องบินพาณิชย์จะปล่อยความถี่ที่ระดับ 37.5 กิโลเฮิร์ตซ์ และสัญญาณที่โอเชียน ชิลด์จับได้มีความถี่ 33.3 กิโลเฮิรตซ์ทั้งสองสัญญาณ กระนั้น จากการสอบถามไปยังผู้ผลิตกล่องดำได้รับคำตอบว่า ความถี่อาจอ่อนลงเนื่องจากแบตเตอรี่ของกล่องดำใกล้หมดพลังงาน ซึ่งปกติแล้ว แบตเตอรี่จะอยู่ได้ 30 วันหลังจากเครื่องบินตก และวันอังคาร (8 เม.ย.) ก็จะเป็นวันครบรอบ 1 เดือนพอดีที่เครื่องบินลำนี้สูญหายไร้ร่องรอยพร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คน
       
       ล่าสุด โอเชียน ชิลด์กำลังตรวจสอบพื้นที่บริเวณเล็กๆ แถบนี้อย่างละเอียดเพื่อค้นหาสัญญาณอีกครั้ง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวัน และหากตรวจพบ จะส่ง บลูฟิน-21 ซึ่งเป็นยานดำน้ำไร้คนขับลงไปสำรวจ โดยบลูฟิน-21 มีความสามารถในการสร้างแผนที่โซนาร์ระบุพิกัดที่ซากเครื่องบินอาจจมอยู่ก้นทะเล และหากทำแผนที่สนามซากเครื่องบินเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จึงจะส่งระบบโซนาร์พร้อมกล้องลงไปถ่ายภาพซากเหล่านั้น
       
       อย่างไรก็ดี บลูฟินสามารถดำลงไปลึกเพียง 4,500 เมตร ซึ่งเป็นระดับความลึกเฉลี่ยของน่านน้ำบริเวณดังกล่าว หมายความว่า เรือดำน้ำลำนี้สามารถปฏิบัติภารกิจในศักยภาพค่อนข้างจำกัด

[attach=3]

เจฟฟ์ เดลล์ ผู้นำสาขาการสอบสวนอุบัติเหตุของมหาวิทยาลัยเซนทรัล ควีนส์แลนด์ ในออสเตรเลีย แสดงความเห็นว่า หากเสียงที่ตรวจจับได้จะมาจากสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากกล่องดำของเครื่องบิน ก็จะต้องถือเป็นความบังเอิญอย่างเหลือเกิน
       
       กระนั้นในมุมมองของ อเล็ก ดันแคน ผู้เชี่ยวชาญเสียงใต้น้ำจากศูนย์เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเคอร์ทิน ในเพิร์ท ตั้งข้อสังเกตว่า แม้สัญญาณเสียงที่ตรวจจับได้บ่งชี้ความหวัง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนยันว่า มาจาก MH370 เว้นแต่จะพบซากเครื่องบินเท่านั้น
       
       ขณะเดียวกัน เรือเอชเอ็มเอส เอ็กโค ของอังกฤษ กำลังใช้อุปกรณ์ระบุตำแหน่งเสียงที่ซับซ้อนเพื่อสรุปว่า เสียงที่เรือไห่ซุ่น 01 ของจีนตรวจพบเมื่อวันศุกร์และเสาร์ที่ผ่านมา ห่างจากบริเวณที่โอเชียน ชิลด์ตรวจพบประมาณ 555 กิโลเมตรนั้น เกี่ยวข้องกับ MH370 หรือไม่
       
       นอกจากนั้น การปฏิบัติการค้นหายังคงดำเนินต่อไปตามปกติในวันจันทร์ โดยประกอบด้วยเครื่องบิน 12 ลำ และเรือ 14 ลำ แยกกันค้นหาใน 3 พื้นที่ที่หนึ่งทับซ้อนกับบริเวณที่โอเชียน ชิลด์ทำการค้นหาใต้น้ำ อีกพื้นที่คือบริเวณที่เรือไห่ซุ่น 01 ตรวจพบสัญญาณ
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

มาเลเซียหวังปาฏิหาริย์ ผู้โดยสารเที่ยวบินปริศนา MH370 ยังรอดชีวิต!!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
8 เมษายน 2557 03:24 น.

BREAKING: China Detects #MH370 Missing Plane Possible Black Box Signal

เอ็นบีซีนิวส์/เอเจนซีส์ - รัฐมนตรีคมนาคมมาเลเซียเมื่อวันจันทร์ (7 เม.ย.) เรียกสัญญาณ ping ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับเที่ยวบิน MH370 ว่าเป็นเบาะแสที่ให้ความหวังที่สุดเท่าที่เคยมีมา และบอกไม่ตัดโอกาสความเป็นไปได้ว่าอาจมีผู้โดยสารบางส่วนยังมีชีวิตอยู่
       
       "ปาฏิหาริย์สามารถเกิดขึ้นได้" นายฮิชามุดดิน ฮุสเซน รัฐมนตรีกลาโหมและรักษาการรัฐมนตรีคมนาคมมาเลเซีย แถลงกับผู้สื่อข่าวสั้นๆ ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ "เรายังคงหวังและภาวนาให้มีผู้รอดชีวิต เรายังมีหวังแม้โอกาสจะเลือนราง"
       
       ความเห็นดังกล่าวของนายฮิชามุดดิน มีขึ้นหลังจากมีผู้สื่อข่าวรายหนึ่งถามว่าเป็นไปได้ไหมที่บางทีเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลนส์ลำนี้ได้ลงจอดบนผืนน้ำ เปิดทางให้ลูกเรือและผู้โดยสารอพยพหนีขึ้นแพยาง อย่างไรก็ตาม เขาตั้งข้อสังเกตว่าในเบาะแสที่ได้รับจากดาวเทียมไม่ได้บ่งบอกหรือแสดงให้เห็นว่ามีผู้รอดชีวิต
       
       นายฮิชามุดดินแถลงต่อไปด้วยว่า คณะผู้สืบสวนตั้งความหวังอย่างระมัดระวังว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วันข้างหน้าจะมีข่าวเพิ่มเติมว่าสัญญาณที่สอดคล้องกับสัญญาณบอกตำแหน่งจากกล่องดำเครื่องบินโบอิ้งซึ่งตรวจพบในวันอาทิตย์ (6) จะเกี่ยวข้องกับเที่ยวบินที่สูญหาย "ผมร้องขอให้ประชาชนชาวมาเลเซียร่วมกันสวดมนต์ภาวนาและอย่าละทิ้งความหวัง" เขากล่าว "เราเคยได้รับและผ่านเบาะแสคดเคี้ยวบางอย่างกว่านี้มาแล้ว แต่เบาะแสใหม่นี้ ผมมองในแง่บวกมากกว่าเดิม"
       
       เครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777 บรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คน สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยขณะกำลังมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม
       
       ทั้งนี้ ความเห็นของนายฮิชามุดดินมีขึ้นหลังจากพลอากาศเอกนอกราชการ แองกัส ฮุสตัน อดีตผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ประสานงานการค้นหาเที่ยวบิน MH370 แถลงในวันเดียวกันว่าเครื่องระบุตำแหน่งสัญญาณปิงของกล่องดำ (ทีพีแอล) ที่ยืมมาจากกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งลากโยงจากเรือโอเชียนชีลด์ของออสเตรเลีย สามารถตรวจจับสัญญาณเสียงที่สอดคล้องกับสัญญาณที่ปล่อยออกมาจากกล่องดำของเครื่องบิน และบอกว่าการตรวจจับได้ครั้งนี้ถือเป็นความคืบหน้าที่ให้ความหวังมากที่สุดตลอดปฏิบัติการค้นหา และอาจเป็นข้อมูลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา

นายฮิชามุดดิน ฮุสเซน รัฐมนตรีกลาโหมและรักษาการรัฐมนตรีคมนาคมมาเลเซีย
แถลงความคืบหน้าการค้นหาเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777-200 เที่ยวบินMH370
[attach=1]

โอเชียนชิลด์ตรวจจับสัญญาณเสียงนี้ได้ 2 ครั้ง ครั้งแรกนั้นกินเวลานานถึง 2 ชั่วโมง 20 นาที ก่อนที่สัญญาณจะขาดหายไป เมื่อเรือวนกลับย้อนเส้นทางเดิมก็ตรวจจับสัญญาณได้อีก คราวนี้กินเวลา 13 นาที ฮุสตันเผยว่า สัญญาณที่รับได้ในครั้งที่ 2 นั้นเป็นสัญญาณ ping ที่ต่างกัน ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจส่งออกมาจากทั้งกล่องบันทึกข้อมูลการบินและกล่องบันทึกการสื่อสารในห้องนักบิน ซึ่งมีตัวส่งสัญญาณแยกกัน
       
       "นี่ถือเป็นเบาะแสที่ให้ความหวังมากที่สุด และอาจจะเป็นข้อมูลที่ดีที่สุดที่เราได้มาในการค้นหาจนถึงขณะนี้" ฮุสตันกล่าว เขาชี้ด้วยว่าเสียงที่ส่งออกมาจากใต้ทะเลลึกของมหาสมุทรอินเดีย แสดงให้เห็นว่าการค้นหาโดยเรือและเครื่องบินของหลายประเทศเข้าใกล้ถึงจุดที่ควรจะเป็นมากแล้ว "ผมมีความคาดหวังในทางบวกมากขึ้นกว่าเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน"
       
       พัฒนาการคืบหน้าล่าสุดนี้ เกิดขึ้นควบคู่กับเส้นตายที่แบตเตอรี่เครื่องส่งสัญญาณระบุตำแหน่งของกล่องดำทั้ง 2 กล่องจะหมดลงเมื่อครบ 30 วันในวันเดียวกัน
       
       โอเชียนชิลด์กำลังออกปฏิบัติการอยู่ในทะเล ห่างจากเมืองเพิร์ทของออสเตรเลียไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 1,680 กิโลเมตร สัญญาณที่จับได้นั้นส่งออกมาจากความลึก 4,500 เมตร โดยฮุสตันกล่าวว่า นอกจากการพบสัญญาณ 2 รอบนั้นแล้ว ทีพีแอลยังไม่สามารถตรวจจับสัญญาณได้อีก การระบุตำแหน่งที่แน่นอนของสัญญาณนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับขั้นตอนต่อไป คือการส่งยานค้นหาใต้น้ำ "บลูฟิน-21" ลงไปสำรวจพื้นทะเล ยานลำนี้มีพิสัยทำการจำกัดแค่ 4,500 เมตร ซึ่งเท่ากับความลึกที่ตรวจจับสัญญาณได้
       
       กระนั้น ฮุสตันเตือนว่าขั้นตอนถัดไปนี้จะต้องใช้เวลาพอสมควร และอาจต้องใช้เวลาหลายวันก่อนที่จะมีข้อมูลมายืนยันได้ว่า สัญญาณที่ตรวจจับได้นั้นมาจากเที่ยวบิน MH370 "ในมหาสมุทรที่ลึกมากๆ อะไรก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว" เขากล่าว พร้อมกับชี้ว่า เที่ยวบิน 447 ของแอร์ฟรานซ์ที่ตกในมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อปี 2552 นั้นยังต้องใช้เวลาค้นหากล่องดำถึง 2 ปี ทั้งๆ ที่พบซากเครื่องบินไม่นานหลังจากเครื่องสูญหาย ขณะที่กรณีนี้ยังไม่พบซากเครื่องบินเลย
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

เรือค้นหาไม่พบสัญญาณกล่องดำเพิ่ม เชื่องบตามหา MH370 พุ่งหลัก $ร้อยล้าน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
8 เมษายน 2557 22:01 น.   

Could the pings be from MH370?

เอเจนซีส์ - หัวหน้าทีมประสานงานการค้นหาระบุในวันอังคาร (8 เม.ย.) ว่ายังไม่สามารถตรวจจับสัญญาณใต้น้ำใหม่ๆ ซึ่งคาดหวังกันว่าน่าจะมาจากกล่องดำของเที่ยวบิน MH370 เพิ่มเติมขึ้นอีก และดังนั้นจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันเพื่อค้นหาตำแหน่งที่เครื่องบินตก ขณะเดียวกัน มีการประเมินว่า ปฏิบัติการครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายแล้วอย่างน้อย 44 ล้านดอลลาร์ และตัวเลขสุดท้ายอาจบานปลายเป็นหลายร้อยล้านดอลลาร์ ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์การบินโลก
       
       สัญญาณที่อุปกรณ์ค้นหาไฮเทคของกองทัพเรืออเมริกัน ซึ่งลากจูงโดยเรือโอเชียน ชิลด์ของกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย สามารถตรวจพบ 2 ครั้งเมื่อวันเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา (5-6 เม.ย.) โดยปรากฏว่าอยู่ในย่านความถี่สอดคล้องกับสัญญาณจากกล่องดำของเครื่องบินนั้น ได้ช่วยฟื้นความหวังขึ้นมาอีกครั้งว่า ใกล้จะพบซากเครื่องบินที่คาดว่าจะจมอยู่ใต้มหาสมุทรอินเดียนี้แล้ว โดยที่จะมีการส่ง "บลูฟิน-21" ซึ่งเป็นยานดำน้ำขนาดเล็กที่ทำงานโดยไม่ต้องใช้คนขับ ลงไปสำรวจต่อไป
       
       ทว่า พล อ. อ.แองกัส ฮุสตัน อดีตผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมประสานงานการค้นหา แถลงว่า แม้สัญญาณ ping ที่ตรวจพบในวันเสาร์และวันอาทิตย์ ถือเป็นพัฒนาการที่น่าตื่นเต้น แต่ยังจำเป็นต้องให้เรือและเครื่องบินออกค้นหาต่ออีกหลายวัน เพราะหากสามารถจับสัญญาณเพิ่มเติมได้อีก ก็จะช่วยให้ลดขอบเขตการค้นหาให้แคบลง อันจะทำให้การปฏิบัติการของบลูฟิน-21 มีประสิทธิภาพเต็มที่ ทั้งนี้การออกค้นหาดังกล่าว จะกระทำไปจนถึงจุดที่แน่ใจว่าแบตเตอรี่ของกล่องดำหมดพลังงานแล้ว โดยที่เมื่อถึงจุดนั้นก็ยังไม่ได้อะไรเพิ่มเติม ก็จำเป็นจะมีการส่งบลูฟิน-21 ลงไปค้นหาต่อไป
       
       เขาบอกด้วยว่า ล่าสุดยังไม่พบสัญญาณเพิ่มเติมที่จะช่วยระบุตำแหน่งตกลงทะเลของเครื่องบินโดยสารในเที่ยวบิน MH370 นี้

ปฏิบัติการค้นหาเที่ยวบินMH370 ทั้งทางอากาศ ทางเรือและใต้น้ำ กำลังถูกจารึกในประวัติศาสตร์ของโลก
[attach=1]

เครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777 ในเที่ยวบินดังกล่าวของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ได้สูญหายไปหลังออกจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์เพื่อมุ่งหน้าสู่ปักกิ่งเมื่อวันที่ 8 เดือนที่แล้ว และการค้นหาขณะนี้อยู่ในอาณาบริเวณเสี้ยววงกลม 600 กิโลเมตร ของส่วนด้านใต้สุดของมหาสมุทรอินเดีย
       
       ฮุสตันเสริมว่า หากปล่อยบลูฟิน-21 ลงปฏิบัติภารกิจใต้ทะเลตั้งแต่ตอนนี้ จะใช้เวลาหลายวันมาก เนื่องจากการค้นหาใต้ทะเลเป็นภารกิจที่ช้ามาก
       
       หลังจากปล่อยลงทะเลแล้ว หากอุปกรณ์โซนาร์ของบลูฟิน-21 ตรวจพบสิ่งผิดปกติ ยานดำน้ำขนาดเล็กนี้จะขึ้นสู่ผิวน้ำและกลับลงไปอีกครั้งพร้อมกล้องวิดีโอเพื่อบันทึกภาพ
       
       สำหรับบริเวณที่เรือโอเชียน ชิลด์ค้นหาในขณะนี้ อยู่ทางตอนเหนือสุดของอาณาบริเวณค้นหาที่กำหนดไว้ น่านน้ำบริเวณนี้มีความลึกเฉลี่ย 4,500 เมตร พอดีกับขีดจำกัดการทำงานของบลูฟิน-21 ที่ออกแบบมาสำหรับการสำรวจใต้ทะลึก
       
       สำหรับด้านใต้สุดของพื้นที่ค้นหา ซึ่งเรือไห่ซุ่น-01 ของจีนตรวจพบสัญญาณใต้น้ำเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วนั้น เป็นความรับผิดชอบของเรือเอชเอ็มเอส เอ็กโคของอังกฤษ
       
       ฮุสตันยังระบุว่า สัญญาณที่โอเชียน ชิลด์ตรวจพบมีความเป็นไปได้มากที่สุด และเสริมว่า ผู้ผลิตกล่องดำได้ให้ข้อมูลว่า ความถี่ของสัญญาณจากกล่องดำอาจเปลี่ยนไปตามแรงดันใต้ทะเลและพลังงานของแบตเตอรี่
       
       ทางด้าน วิลเลียม มาร์กส์ ผู้บัญชาการกองเรือที่ 7 ของสหรัฐฯ ขานรับว่า สัญญาณที่จับได้ซึ่งมีความแรงในครั้งแรกและอ่อนลงในครั้งที่ 2 บ่งชี้ว่า ทีมค้นหาเข้าใกล้จุดที่เครื่องบินตกแล้ว

[attach=2]

ในส่วนของการปฏิบัติการค้นหาในวันอังคาร (8) มีเครื่องบินทหาร 11 ลำและเครื่องบินพลเรือน 3 ลำ ร่วมออกทำงานในพื้นที่ค้นหาซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเพิร์ท, รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 2,300 กิโลเมตร
       
       ขณะเดียวกัน ญาติๆ ของพวกผู้โดยสารในเที่ยวบิน MH370 ที่ราว 2 ใน 3 เป็นชาวจีน ได้ร่วมกันจุดเทียนรำลึกในวาระครบรอบ 1 เดือนที่เครื่องบินลำนี้สูญหาย และพยายามปลอบโยนกันและกันระหว่างที่รอการค้นหาเครื่องบินอย่างทุกข์ทรมาน
       
       ในอีกด้านหนึ่ง สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ประเมินค่าใช้จ่ายในปฏิบัติการค้นหา MH370 โดยอิงกับข้อมูลสถิติของกองทัพเกี่ยวกับต้นทุนทรัพย์สินต่อชั่วโมงที่ประเมินโดยนักวิเคราะห์ด้านกลาโหม และต้นทุนที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ รายงาน
       
       รอยเตอร์ระบุว่า ภายใน 1 เดือนที่ผ่านมา เครื่องบินและเรือจากออสเตรเลีย จีน อเมริกา และเวียดนามซึ่งเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ใช้เงินไปแล้วอย่างน้อย 44 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นปฏิบัติการค้นหาที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์การบิน ท่ามกลางความร่วมมือจาก 26 ประเทศที่ส่งเครื่องบิน เรือ เรือดำน้ำ ดาวเทียมร่วมสนับสนุน
       
       ตัวเลขนี้เท่ากับค่าใช้จ่ายอย่างเป็นทางการในการค้นหาเที่ยวบิน AF447 ของแอร์ ฟรานซ์ที่ตกกลางมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อปี 2009 และใช้เวลาค้นหานานหลายเดือน
       
       เช่นเดียวกับที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ต้นทุนที่แท้จริงของแอร์ ฟรานซ์อาจสูงกว่าตัวเลขที่เปิดเผย ค่าใช้จ่ายในการค้นหา MH370 ทั้งหมดจนสิ้นสุดปฏิบัติการ ก็มีแนวโน้มบานปลายเป็นหลายร้อยล้านดอลลาร์

       
       รอยเตอร์ยังระบุว่า ตัวเลขที่ประเมินที่ 44 ล้านดอลลาร์ยังไม่รวมทรัพย์สินด้านการทหารทั้งหมด และต้นทุนอื่นๆ เช่น เครื่องบินพลเรือน ที่พักสำหรับบุคลากรนับร้อยคน และค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ข่าวกรองทั่วโลก
       
       แม้ผู้นำออสเตรเลียซึ่งรับบทนำในการค้นหา และผู้นำมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่เครื่องบินจดทะเบียน ย้ำว่า ค่าใช้จ่ายไม่ใช่ปัญหา ทว่า นายกรัฐมนตรีโทนี แอ็บบอตต์ของออสเตรเลียที่รับภาระค่าใช้จ่ายถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากพื้นที่ค้นหาอยู่ภายในน่านน้ำของประเทศ เริ่มส่งสัญญาณว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งอาจต้องเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากปฏิบัติการนี้ แต่สำทับว่า แคนเบอร์รายินดีให้ความช่วยเหลือแก่ทุกประเทศเท่าที่สามารถทำได้
       
       ผู้สนับสนุนสำคัญรองลงมาคือ จีนและสหรัฐฯ โดยสัปดาห์ที่แล้ว เพนตากอนเผยว่า ใช้จ่ายกับการณ์นี้ไปแล้วกว่า 3.3 ล้านดอลลาร์ และมีแผนเพิ่มงบประมาณอีกเกือบสองเท่าตัวจากเป้าหมายเดิม 4 ล้านดอลลาร์
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

เรือออสซีจับ "สัญญาณใต้น้ำ" ได้อีก 2 ครั้ง - ผลวิเคราะห์ชี้ "สอดคล้อง" กับสัญญาณกล่องดำ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
9 เมษายน 2557 13:27 น.

แองกัส ฮุสตัน ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานระหว่างหน่วยงาน (เจเอซีซี)
[attach=1]

เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการค้นหาเที่ยวบิน MH370 ที่สูญหายไปนานกว่า 1 เดือนเปิดเผยวันนี้ (9 เม.ย.) ว่าตรวจพบสัญญาณใหม่อีก 2 ครั้ง ซึ่งจุดประกายให้เกิดความหวังว่าจะพบซากเครื่องบินโดยสารลำนี้ในเร็ววัน

หัวหน้าทีมค้นหาผู้นี้ระบุว่า เมื่อวันอังคาร (8) เรือ "โอเชียน ชิลด์" ของออสเตรเลียสามารถตรวจจับสัญญาณใหม่ได้อีก 2 ครั้งซึ่งสัมพันธ์กับสัญญาณคู่หนึ่งซึ่งตรวจพบเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผลวิเคราะห์ชี้ว่าสัญญาณดังกล่าวมีลักษณะสอดคล้องกับการส่งสัญญาณระบุตำแหน่งของกล่องดำของเครื่องบิน
       
       แองกัส ฮุสตัน ผู้อำนวยการศูนย์ประสานร่วมระหว่างหน่วยงานของออสเตรเลีย (เจเอซีซี) กล่าวว่า "โอเชียน ชิลด์สามารถจับสัญญาณใหม่ ได้อีก 2 ครั้ง คือในช่วงบ่ายคล้อยวานนี้ (8) และเมื่อคืนที่ผ่านมา"
       
       ในเวลานี้ เรือของแดนจิงโจ้ลำนี้สามารถตรวจจับสัญญาณได้ทั้งหมด 4 ครั้ง ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญ ในเวลาที่ทีมค้นหาพยายามหาตำแหน่งที่แน่ชัดของจุดที่เครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ลำนี้ตกพร้อมลูกเรือและผู้โดยสารรวม 239 ชีวิต หลังขาดการติดต่อกับหน่วยควบคุมการจราจรทางอากาศเมื่อวันที่ 8 มีนาคม
       
       เจ้าหน้าที่ต่างหวั่นเกรงกันว่า อาจไม่พบสัญญาณที่ตรวจจับได้ก่อนหน้านี้อีก เนื่องจากแบตเตอรีของตัวส่งสัญญาณระบุตำแหน่งกล่องดำมีอายุการใช้งานประมาณ 30 วันเท่านั้น
       
       ฮุสตันกล่าวว่า สัญญาณใหม่ ซึ่งตรวจพบในบริเวณเดียวกันกับที่มีการตรวจพบสัญญาณ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ กินเวลานาน 5 นาที 32 วินาที และราว 7 นาทีตามลำดับ
       
       ฮุสตันชี้ว่า "สัญญาณที่ตรวจพบวานนี้ (8) จะช่วยให้เราสามารถจำกัดวงแคบพื้นที่ค้นหา และสามารถควบคุมจัดการการค้นหาบริเวณก้นบึ้งมหาสมุทรได้ดีขึ้น
       
       "ผมเชื่อว่าเราค้นหาถูกที่แล้ว แต่จำเป็นต้องพบหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเสียก่อน จึงจะสามารถยืนยันได้ว่าพื้นที่นี้เป็นจุดที่เที่ยวบิน MH370 ตกลงไปแน่นอน"
       
       นอกจากนี้ ฮุสตันยังกระตุ้นเตือนให้ใช้ความระมัดในการนำเสนอข้อมูลใดๆ ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ เพื่อเห็นแก่ครอบครัวของผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 239 ชีวิตบนเที่ยวบินปริศนาซึ่งหายสาบสูญไประหว่างมุ่งหน้าออกจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังกรุงปักกิ่งอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งระบุว่าจะเดินหน้าค้นหาสัญญาณใหม่ๆ กันต่อไป
       
       ฮุสตันกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "เราคาดหวังว่า การจับสัญญาณกล่องดำได้หลายครั้งเช่นนี้จะช่วยนำเราไปสู่พื้นที่ค้นหาที่แน่ชัดและแคบลง ทั้งยังหวังด้วยว่า ในอีกไม่กี่วันเราจะพบเบาะแสบางอย่างใต้ก้นบึ้งมหาสมุทร ที่จะยืนยันว่าบริเวณนี้เป็นจุดที่เที่ยวบิน MH370 ตกลงไป"

[attach=2]

เรือ "โอเชียน ชีลด์" ที่ออสเตรเลียส่งเข้าดำเนินภารกิจค้นหากล่องดำของเที่ยวบิน MH370
ที่คาดการณ์ว่าน่าจะตกลงไปในมหาสมุทรอินเดีย
[attach=3]
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

เรือออสซีพบสัญญาณใต้น้ำอีก 2 ชุด ทีมค้นหา MH370 มั่นใจ "ไม่กี่วันมีข่าวดี"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
9 เมษายน 2557 22:29 น.

Malaysia Airlines Missing Flight MH370: Ship Detects Signal In Ocean - 05 April 2014
http://youtu.be/knsgF1aYpwo

Could the pings be from MH370?
http://youtu.be/tiFKVdR-5R4

เอเจนซีส์ - ทีมค้นหาเที่ยวบิน MH370 ที่สูญหายไป สามารถตรวจจับสัญญาณจากใต้น้ำอีก 2 ชุด เพิ่มความหวังในการพบซากเครื่องบินโบอิ้ง 777 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ภายในไม่กี่วันข้างหน้า ถึงแม้คาดหมายกันว่าแบตเตอรีกล่องดำของเครื่องบินซึ่งน่าจะจมอยู่ใต้มหาสมุทรอินเดีย กำลังหมดพลังลงเต็มทีแล้ว
       
       เรือโอเชียน ชิลด์ ของกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย ตรวจพบสัญญาณอีก 2 ชุดเมื่อวันอังคาร (8 เม.ย.) ซึ่งตรงกันกับสัญญาณที่เคยตรวจจับได้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้รับการวิเคราะห์ว่าสอดคล้องกับสัญญาณจาก "กล่องดำ" หรือเครื่องบันทึกข้อมูลการบินของเครื่องบิน
       
       พล.อ.อ.แองกัส ฮุสตัน อดีตผู้บัญชาการทหารของออสเตรเลียและหัวหน้าศูนย์ประสานงานการค้นหาเที่ยวบิน MH370 แถลงเมื่อวันพุธ (9 เม.ย.) ว่าเรือโอเชียน ชิลด์ ตรวจพบสัญญาณจากใต้น้ำอีก 2 ชุดดังกล่าวในช่วงบ่ายและคืนวันอังคาร รวมแล้วเรือลำนี้ตรวจพบสัญญาณที่น่าจะมาจากกล่องดำ 4 ชุด ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญในการค้นหาจุดตกของเที่ยวบินของมาเลเซียที่หายไปตั้งแต่วันที่ 8 เดือนที่แล้ว พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คน ระหว่างบินอยู่ในเส้นทางจากกัวลาลัมเปอร์มุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง

ทีมค้นหาเที่ยวบิน MH370 ที่สูญหายไป สามารถตรวจจับสัญญาณจากใต้น้ำอีก 2 ชุด เพิ่มความหวังในการพบซากเครื่องบินโบอิ้ง 777 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ภายในไม่กี่วันข้างหน้า
[attach=1]

ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ต่างกลัวว่า จะไม่สามารถตรวจพบสัญญาณอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อแบตเตอรีของกล่องดำกำลังจะหมดพลังงานลง เนื่องจากมีอายุใช้งานปกติเพียง 30 วันโดยประมาณ
       
       สัญญาณที่พบ 2 ชุดล่าสุดนี้ ตรวจจับได้เป็นระยะเวลา 5 นาที 32 วินาที และ 7 นาทีตามลำดับ โดยพบอยู่ในบริเวณเดียวกับที่เจอสัญญาณ 2 ชุดก่อนหน้านี้
       
       ฮุสตันบอกว่า สัญญาณที่พบล่าสุดจะช่วยให้สามารถกำหนดพื้นที่ท้องมหาสมุทรซึ่งจะต้องทำการค้นหาให้แคบลงอีก อันจะทำให้สามารถบริหารจัดการได้มากขึ้น "ผมเชื่อว่า เรากำลังค้นหาถูกที่แล้ว แต่จำเป็นต้องพบชิ้นส่วนเครื่องบินก่อนจึงจะยืนยันได้ว่า นี่คือตำแหน่งแห่งหนสุดท้ายของ MH370" เขากล่าว
       
       "การตรวจพบสัญญาณหลายครั้ง จะทำให้เรามีพื้นที่ค้นหาขนาดเล็กและหวังว่า จะพบบางสิ่งบางอย่างใต้ทะเลที่อาจยืนยันว่า นี่คือตำแหน่งแห่งหนสุดท้ายของ MH370 ภายในไม่กี่วันนี้"

[attach=2]

ทางด้านนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญต่างแสดงความเห็นสนับสนุนความหวังของฮุสตันเป็นอย่างดี เป็นต้นว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับในเวลานี้ สามารถระบุได้ว่า เรือโอเชียน ชิลด์ ซึ่งลากจูง "อุปกรณ์ระบุตำแหน่งกล่องดำ" (ทีพีแอล) อันทันสมัยไฮเทคของกองทัพเรือสหรัฐฯนั้น ตรวจพบสัญญาณที่ชัดเจนมากที่ย่านความถี่ 33.331 กิโลเฮิรตซ์ โดยมีการส่งสัญญาณทุกๆ 1.103 วินาที แบบแผนของสัญญาณเช่นนี้น่าเชื่อว่ามันไม่ได้มาจากแหล่งกำเนิดธรรมชาติ แต่มาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้สัญญาณที่พบยังสอดคล้องกับข้อมูลจำเพาะของสัญญาณซึ่งจากกล่องดำของเครื่องบินทั้งหลาย
       
       กระนั้นก็ตาม ยังมีผู้เชี่ยวชาญบางราย เป็นต้นว่า นาวาเอกมาร์ก แมทธิวส์จากกองทัพเรือสหรัฐฯ ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ตรวจจับสัญญาณเสียงได้ในระยะทางที่ห่างกัน ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า สัญญาณเสียงเหล่านั้นอาจไม่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน
       
       ในวันพุธ ยังคงมีเครื่องบินทหาร 11 ลำ เครื่องบินพลเรือน 4 ลำ และเรือ 14 ลำ ร่วมกันออกปฏิบัติการค้นหาภายในพื้นที่ 75,423 ตารางกิโลเมตร โดยจุดโฟกัสอยู่ห่างจากเมืองเพิร์ท รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 2,260 กิโลเมตร

[attach=3]

เรือลำอื่นๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้โอเชียน ชิลด์ ซึ่งต้องทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่เงียบที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เครื่องบินตรวจการณ์ทางทะเล AP-3C โอไรออน รุ่นดัดแปลงของกองทัพอากาศแดนจิงโจ้ลำหนึ่งกำลังปล่อยร่มติดทุ่นลอยโซนาร์ ลงไปบริเวณข้างเคียงรอบๆ พื้นที่ค้นของของเรือออสเตรเลียลำนี้ ทุ่นเหล่านี้ซึ่งจะลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ผูกติดกับ "ไฮโดรโฟน" หรือไมโครโฟนใต้น้ำ ซึ่งอยู่ข้างใต้ลงไปประมาณ 300 เมตร ทั้งนี้คาดหวังกันว่าไฮโดรโฟนเหล่านี้จะสามารถจับสัญญาณอะไรได้เพิ่มเติมขึ้นอีก ทว่าพวกเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องก็เตือนว่า การดำเนินการนี้อาจมีอุปสรรคจากชั้นโคลนหนาก้นทะเล
       
       ฮุสตันยังบอกอีกว่า อาจส่งยานดำน้ำไร้คนขับ "บลูฟิน-21" ลงสำรวจใต้ทะเลในเร็วๆ นี้ เนื่องจากสัญญาณเสียงที่ตรวจพบล่าสุดอ่อนมาก บ่งชี้ว่า พลังงานแบตเตอรี่ใกล้หมดแล้ว
       
       การสูญหายของ MH370 สร้างความพิศวงต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการบิน รวมทั้งสร้างความสับสนเศร้าสร้อยให้แก่ญาติผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าว ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นชาวจีน
       
       ถึงแม้จนถึงเวลานี้ยังไม่พบซากชิ้นส่วนใดๆ เลย แต่ฮุสตันยืนยันว่านอกจากการตรวจจับสัญญาณกล่องดำแล้ว การค้นหาบริเวณผิวน้ำก็ควรต้องดำเนินต่อไป และยังคงแสดงความเชื่อมั่นแม้มีความท้าทายอย่างมากในการค้นหาซากเครื่องบิน ที่อาจจมอยู่ใต้มหาสมุทรที่ลึกถึง 4,500 เมตร
       
       "ผมมองแง่ดีว่า เราจะพบเครื่องบินหรือสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของเครื่องบินลำนี้ในอนาคตอันไม่ไกลนัก"
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฟ้าเปลี่ยนสี

"MH370" หายไร้ร่องรอย ส่งผลนักท่องเที่ยวจีนขยาดไม่กล้าเยือนแดนเสือเหลืองอีก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
10 เมษายน 2557 13:13 น.   

โมฮาเหม็ด นาซรี อับดุล อาซิซ รัฐมนตรีการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของมาเลเซีย
[attach=1]

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ทางการมาเลเซียเผยจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีน ที่เดินทางมายังมาเลเซียลดลงอย่างสำคัญ หลังการสูญหายอย่างไร้ร่องรอยของเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน "MH370"
       
       โมฮาเหม็ด นาซรี อับดุล อาซิซ รัฐมนตรีการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของมาเลเซียออกมายอมรับในวันพฤหัสบดี (10 เม.ย.) โดยระบุว่านักท่องเที่ยวจากจีนจำนวนมากตัดสินใจยกเลิกแผนเดินทางมายังมาเลเซีย หลังจากที่เครื่องบินโดยสารเที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สหายไปอย่างเป็นปริศนาตั้งแต่ 8 มีนาคม และยังคงไม่พบร่องรอยใดๆของเครื่องบิน ตลอดจนลูกเรือและผู้โดยสาร 239 ชีวิตบนเครื่องที่ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน
       
       อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของมาเลเซียไม่เปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจนว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนลดลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ มีเพียงการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่ายังไม่พบการจองตั๋วเครื่องบินใหม่จากจีนมายังมาเลเซียในระยะนี้ ขณะที่คำสั่งจองตั๋วเครื่องบินและที่พักจากจีนที่ดำเนินการไปแล้วก็ถูกยกเลิกเป็นจำนวนมาก
       
       แม้การท่องเที่ยวของมาเลเซียจะได้รับผลกระทบหนักจากการหายไปของเที่ยวบิน MH370 แต่กระทรวงการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของมาเลเซียยังคงยืนกรานจะเลื่อนแผนจัด "โรดโชว์" และการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวในทุกรูปแบบออกไปอย่างไม่มีกำหนด แม้ในปี 2014 นี้ จะถูกกำหนดให้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวของแดนเสือเหลือง โดยทางกระทรวงฯให้เห็นผลถึงความไม่เหมาะสมในการจัดกิจกรรม ขณะที่ยังไม่ทราบชะตากรรมของผู้โดยสารและลูกเรือของเที่ยวบินดังกล่าว
       
       ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซียตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมายังประเทศของตน ให้ได้ราว 28 ล้านคนในปีนี้ ขณะที่เมื่อปีที่แล้วจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนซึ่งมีจำนวนมากกว่า 1.6 ล้านคน ถือเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหญ่ลำดับที่ 3 ที่มาเยือนมาเลเซีย รองจากนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์และอินโดนีเซีย

[attach=2]

[attach=3]
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

ชื่อ:
การยืนยัน:
กรุณาเว้นช่องนี้ว่างไว้:
พยัญชนะไทยตัวสุดท้าย:
shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง