ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

แท้จริงตามหลักวิทยาศาสตร์พระพุทธเจ้าสอนอะไร

เริ่มโดย กิมหยง, 00:07 น. 08 ธ.ค 54

กิมหยง

พระพุทธเจ้าสอนให้หลุดพ้นจากธรรมชาติใช่หรือเปล่า
สร้าง & ฟื้นฟู

หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม


ฟ้าเปลี่ยนสี

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 00:07 น.  08 ธ.ค 54
พระพุทธเจ้าสอนให้หลุดพ้นจากธรรมชาติใช่หรือเปล่า

ส.อ่านหลังสือ ไม่น่าใช่น้า ท่านกิม ให้หลุดพ้นกับ ความทุกข์ทั้งปวง มากกว่าน้า เดีียวรอ ท่านคุณหลวงมาขยายความดีกว่าครับ ชอบๆๆๆ  ส.ยกน้ิวให้
ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์เพียงไร เราก็มีความสุขกับชีวิตได้
เพราะเราเลือกที่จะ.."เข้าใจ" แทนการเลือกที่จะ.."เจ็บปวด"
"ยอมรับ" ในสิ่งที่เป็นอยู่ "ปล่อยวาง" ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว  "มีศรัทธา" กับสิ่งที่กำลังจะมาถึง และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ความเข้าใจตอนนี้

พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่กับธรรมชาติโดยไม่มีทุกข์  ซึ่งธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ธรรมชาติในที่นี้รวมถึงตัวมนุษย์เองด้วยเช่นกัน

กิมหยง

ธรรมชาติเป็นลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือเปล่า
เช่นเดียวกับการหมุนเวียนของกรรมเวร หรือวงโคจรของดวงดาว

พอสิ้นกัปหนึ่ง เหล่าพระพุทธเจ้าจะต้องเริ่มต้นกันใหม่
หรือจะยังสิทธิ์เหนือธรรมชาติต่อไป

งง ดีหนา
สร้าง & ฟื้นฟู

คุณหลวง

    สะบายดี...

    แรกเห็นหัวข้อ เกือบจะไม่เข้ามาดูแล้ว (อิอิ) เพราะท่านเล่นถามว่า แท้จริงตามหลักวิทยาศาสตร์พระพุทธเจ้าสอนอะไร  เพราะมันบ่งว่า ท่านเอาวิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องมือวัดพุทธศาสตร์ ความจริง พุทธศาสตร์ มันก็ไม่ใช่จะเป็นวิทยาศาสตร์เสียทีเดียว หากเป็นความหมายที่เราๆเข้าใจกันอยู่

    แต่ที่ปราชญ์ และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ยอมรับว่า พุทธศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์นั้น เป็นความหมายของวิธีการได้มาซึ่งความรู้นั้น เป็นความรู้ที่เกิดจากการสังเกต ตั้งทฤษฎี ทดลอง บันทึกผล ทดลอง ทดลองจนมั่นใจเป็นผลที่แน่ชัด จึงเปิดเผยออกมา ไม่ใช่วางความเชื่อให้ แล้วต้องเชื่อ ทำเพื่อตอบสนองความเชื่อ นั่นไม่ใช่แนวทางของวิทยาศาสตร์และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตำหนิ

    สิ่งที่แตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสตร์ คือ วัตถุประสงค์ วิทยาศาสตร์ชี้ลงไปที่วัตถุ รับเอาเฉพาะสิ่งที่อายตนะ๕(ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยมีเครื่องมือช่วย) สัมผัสได้เท่านั้น การแก้ทุกข์จึงเป็นการสร้างวัตถุมาอำนวยความสะดวก แต่พุทธศาสตร์ชี้เน้นที่อายตนะที่๖ คือใจ การแก้ทุกข์ต้องแก้ที่ใจ ใช้วัตถุเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

    ส่วนคำถามของท่านคือ พุทธศาสตร์สอนให้หลุดพ้นจากธรรมชาติ ใช่หรือไม่ คำตอบ คือ ใช่ ๑ ไม่ใช่ ๒ ทั้งใช่และไม่ใช่ ไม่ใช่ ๓ มี ๓ คำตอบนะครับ ผมขออธิบายทีละคำตอบ แต่ก่อนที่จะตอบ ขอยกธรรมนิยามสูตรโดยย่อ มาเป็นบรรทัดฐาน

    "ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่อุบัติขึ้นก็ตาม สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีความแปรเป็นอย่างอื่นไปได้"

    พระพุทธเจ้าสอนให้หลุดพ้นจากธรรมชาติใช่หรือไม่ อรรถาคำตอบที่๑ ว่าใช่ นั้นคือ ความหมายที่ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้หลุดพ้นเสียจากธรรมชาติฝ่ายสังขาร สังขารเกิดจากการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวเป็นตน ทำให้ต้องเกิด-ดับๆๆ ดิ้นรนในสังสารวัฏฏ์ต่อไป
   
    พระพุทธเจ้าสอนให้หลุดพ้นจากธรรมชาติใช่หรือไม่ อรรถาคำตอบที่๒ ว่าไม่ใช่ นั้นในความหมายที่ว่า เมื่อจิตสามารถล่วงพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นเสียได้ด้วยปัญญาเห็นจริง จิตละวางได้แล้ว จิตนั้นก็เข้าสู่ธรรมชาติฝ่ายวิสังขาร คือ จิตอิสระไม่มีอะไรเข้ามาครอบงำฉาบทาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป วิสุทธิ์ประภัสสรตลอดกาล

    พระพุทธเจ้าสอนให้หลุดพ้นจากธรรมชาติ ใช่หรือไม่ อรรถาคำตอบที่ ๓ ทั้งใช่และไม่ใช่ ล้วนไม่ใช่ ทั้งนี้ เพราะไม่ว่าฝ่ายสังขารหรือฝ่ายวิสังขารล้วนเป็นธรรมชาติด้วยกันทั้งสิ้น ธรรม หรือ ธรรมชาติ มีความหมายว่า "สิ่ง" ซึ่งหมายรวมว่า สิ่งทุกสิ่งเป็นธรรม หรือ ธรรมชาติด้วยกันทั้งหมด แตกต่างเพียงสิ่งที่เป็นสังขารนั้นยังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอยู่ต่อไปเพราะไม่ยอมวางความเปลี่ยนแปลง

    แต่ธรรมฝ่ายวิสังขารนั้น วางความเปลี่ยนแปลงลงได้แล้ว จึงไม่มีความเปลี่ยนแปลง และไม่มีสิ่งที่ยังเปลี่ยนแปลงใดๆจะมาครอบงำให้ธรรมฝ่ายวิสังขารไหลหลงตามไปได้ เพราะประกอบอยู่ด้วยความสว่างรอบ รู้เท่าทัน อยู่เหนือสิ่งที่ยังเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น

    ดังนั้น ธรรมชาติฝ่ายสังขารนั้น ยังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เกิด-ดับๆร่ำไป แต่ธรรมชาติฝ่ายวิสังขารนั้นไม่เกิดไม่ดับอีกตลอดกาล แต่สุดท้าย ธรรมชาติทั้งหมดก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันจะเกิด จะดับ จะเปลี่ยน ไม่เปลี่ยน มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น เป็นอำนาจของมันเอง อย่างไม่มีใครบังคับควบคุมได้ สิ่งที่ต้องทำคือ ให้รู้จักความเป็นของมันอย่างนั้น แล้วเราก็จะไม่ทุกข์เพราะเข้าไปยึดติดกับสิ่งที่มันต้องเป็นอย่างนั้น พอยึดเป็นเจ้าของก็ไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้นของมัน แต่มันก็เป็นอย่างนั้นของมันอยู่ดี จิตที่ยึดติดเลยเป็นทุกข์ งงมั้ยครับ

      และจิตที่ปล่อยวางเข้าสู่วิสังขารนั้นได้แล้ว ก็จะเป็นเช่นนั้นตลอดกาล อย่างที่บอกว่า ไม่มีสิ่งที่ยังเปลี่ยนแปลงได้ใดๆจะมามีอำนาจเหนือ  (จิตที่ปล่อยวางความเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้นลงแล้วด้วยความรู้เท่าทัน สว่างรอบ และอยู่เหนือความเปลี่ยนแปลงทั้งปวง)  ให้เปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป

    ดังนั้น จิตที่หลุดพ้นไปแล้วก็หลุดพ้นไปแล้ว ไม่หวนกลับมาอีก พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็ไม่ใช่องค์นี้ เพียงแต่มารู้ความจริงเดียวกันนี้เท่านั้น ธรรมเหล่านี้ไม่เป็นของใคร ไม่อยู่ในอำนาจของใคร มันเป็นของมันอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเกิดหรือไม่เกิดมันก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่อย่างนั้นเอง พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆก็ตรัสรู้เรื่องนี้ ทำจิตหลุดพ้นได้ บอกต่อ สอนต่อๆมาก็เรื่องนี้ สอนมากคน มากเรื่อง มากหัวข้อก็ต้องการเท่านี้

    เรื่องเท่านี้แหละที่คนเราข้องอยู่ในกองทุกข์ตลอดกาลนาน เราได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ คิดว่าเข้าใจ แต่ก็ปล่อยวางลงไม่ได้ เพราะสังขารมันมีรสอร่อย กามมีรสอร่อย เกียรติมีรสอร่อย กินมีรสอร่อย ความเห็นแก่ตัวสอนให้เรากลัวความไม่มีอะไร มันคิดไม่ออกว่า ความไม่มีอะไรจะอร่อยเท่ากิน กาม เกียรติไปได้อย่างไร

    คนที่กล้าลองจนได้รับความสุขจากความปล่อยวางนั้นแหละจึงรู้ ซ้ำยังรู้ได้เฉพาะตนอีก แบ่งใครไม่ได้ บอกทางได้ แต่เขาจะได้รับหรือไม่ อยู่ที่เขาทำเองได้ไหม เฮ้อ...

    ก็ว่ากันไปครับ ขอบคุณท่านที่ชอบการตอบกระทู้ของผมแต่อย่าเพิ่งเชื่อนะครับ ผมก็มีความรู้แค่ปลาซิวปลาสร้อยงูน้ำงูดินเท่านั้น สอบสวนให้จิตตนเป็นพยานแก่ตนได้แหละครับ ดีที่สุด
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

samrit

ผมว่า...

พระพุทธเจ้า สอนให้เรารู้จักธรรมชาติ รู้เท่าทันธรรมชาติ

และสามารถอยู่กับธรรมชาติได้อย่างรู้เท่าทัน...
คิดดี พูดดี ทำดี ชีวิตก็จะพบแต่สิ่งที่ดีๆ...

กิมหยง

ครับ คำสอนของพุทธองค์มีหลายระดับครับ

สมมุติหากมนุษย์ทุกคน เข้าสู่นิพพานกันทั้งหมด จะเกิดอะไรขึ้น

จะเสียสมดุลธรรมชาติไปหรือเปล่า
จะกลายเป็นพลังงานความมืดไปหรือเปล่า

พลังงานที่มีเหมือนไม่มี

คำสอนของพระพุทธองค์นั้น ล้ำค่ากว่าการทดลองทางวิทยาศาสตร์

แต่ก็ยังไม่วายอยากรู้
หากมวลมนุษย์เป็นสสาร หลังจากตายไปแล้ว
ก็ต้องวนเวียนอยู่ภายในโลกใบนี้
หมุนเวียนกันไปจนกว่าโลกจะแตกดับ

แต่เหล่าผู้เป็นอรหันต์นั้น
ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก
ก็แสดงว่าต้องแปลเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
ที่ไม่หมุนเวียนภายในโลก

แล้วไปไหน ?
ส่วนที่หายไป ก็น่าจะต้องมีอะไรมาทดแทน
แล้วสิ่งนั้นคืออะไรหรือเปล่า
สร้าง & ฟื้นฟู

samrit

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 15:19 น.  08 ธ.ค 54
ครับ คำสอนของพุทธองค์มีหลายระดับครับ

สมมุติหากมนุษย์ทุกคน เข้าสู่นิพพานกันทั้งหมด จะเกิดอะไรขึ้น

จะเสียสมดุลธรรมชาติไปหรือเปล่า
จะกลายเป็นพลังงานความมืดไปหรือเปล่า

พลังงานที่มีเหมือนไม่มี

คำสอนของพระพุทธองค์นั้น ล้ำค่ากว่าการทดลองทางวิทยาศาสตร์

แต่ก็ยังไม่วายอยากรู้
หากมวลมนุษย์เป็นสสาร หลังจากตายไปแล้ว
ก็ต้องวนเวียนอยู่ภายในโลกใบนี้
หมุนเวียนกันไปจนกว่าโลกจะแตกดับ

แต่เหล่าผู้เป็นอรหันต์นั้น
ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก
ก็แสดงว่าต้องแปลเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
ที่ไม่หมุนเวียนภายในโลก

แล้วไปไหน ?
ส่วนที่หายไป ก็น่าจะต้องมีอะไรมาทดแทน
แล้วสิ่งนั้นคืออะไรหรือเปล่า

ฮาย...นี่ก็ช่างสงสัยเสียจริงๆ... ส.ตากุลิบกุลิบ
คิดดี พูดดี ทำดี ชีวิตก็จะพบแต่สิ่งที่ดีๆ...

กิมหยง

ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยครับ

เป็นมุมมองตามหลักวิทยาศาสตร์ครับ
สร้าง & ฟื้นฟู

Joke_EJ7

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 08:44 น.  09 ธ.ค 54
ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยครับ

เป็นมุมมองตามหลักวิทยาศาสตร์ครับ

ผมสงสัยอีกอย่างท่านกิม

สงสัยว่า รหัสสมาชิกหลังท่านกิม หายไปไหน อันดับต้นๆ หายไปไหน อิอิ นอกเรื่องแบบนี้จะโดนด่ามั้ยเนี่ย พอดีไม่อยากตั้งกระทู้ถาม 

แต่ก็ยังอยู่ในประเด็น สงสัย อยู่ อิอิ
The man who never mistakes is the man who never do anythings.

''คนที่ไม่เคยทำอะไรผิด คือ คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย''

คุณหลวง

    สะบายดี...

    ท่านกิมหยงครับ ภาวะพระอรหันต์คนธรรมดามิอาจรู้ได้ เพราะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนั้น อย่างปลาที่ไม่สามารถเข้าใจเรื่องบกได้เมื่อเต่าลงมาเล่าให้ฟัง เคยได้ยินเรื่องเปรียบเทียบนี้นะครับ

ท่านถามว่า   
อ้างถึงสมมุติหากมนุษย์ทุกคน เข้าสู่นิพพานกันทั้งหมด จะเกิดอะไรขึ้น
จะเสียสมดุลธรรมชาติไปหรือ เปล่า
จะกลายเป็นพลังงานความมืดไปหรือเปล่า

ก็ลองถามตัวเองดูว่า ก่อนจักรวาล และสรรพสิ่งจะเกิดขึ้น ธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร มันเสียสมดุลของมันไหม มันเป็นพลังงานความมืดหรือเปล่า ท่านตอบตัวเองเรื่องนี้ได้ ท่านก็จะทราบได้เองว่า หากมนุษย์ทุกคนเข้านิพพานกันหมดแล้วจะเป็นอย่างไร

                       
อ้างถึงหากมวลมนุษย์เป็นสสาร หลังจากตายไปแล้ว
ก็ต้องวน เวียนอยู่ภายในโลกใบนี้
หมุนเวียนกันไปจนกว่าโลกจะแตกดับ

    มวลมนุษย์ที่เป็นสสาร มันก็เปลี่ยนรูปของมันไปเรื่อยตามเหตุตามปัจจัย ตายไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้เอาของเดิมไป ไปสร้างใหม่ตามเหตุปัจจัยของมัน แต่ที่จริงมนุษย์นี้ นักวิทยาศาสตร์เขาว่า ในระยะ ๗ ปีก็ไม่มีสสารเดิมเหลือครับ มันเป็นการสร้างใหม่มาทดแทนมาเต็มเท่านั้น

    อย่างร่างกายท่านตอนนี้ กับ ร่างกายท่านก่อนหน้า ๗ ปีก่อน ไม่มีเซลล์เมื่อ ๗ ปีก่อนเหลืออยู่ในร่างท่านเลย มันสร้างใหม่ และเซลล์เดิมได้หลุดหล่นออกมาหมดแล้ว นักวิทยาศาสตร์เขาว่าอย่างนี้ แต่ทำไมเรายังเป็นคนเดิม เพราะจิตเดิมยังครองอยู่ใช่หรือไม่

    จิตธาตุนั้น ไม่ใช่สสารครับท่าน แต่เป็นอะไรท่านก็ลองค้นหาจิตท่านให้เจอ ท่านก็จะทราบ ผมตอบไม่ถูกเหมือนกัน


   
อ้างถึงแต่ เหล่าผู้เป็นอรหันต์นั้น
ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก
ก็แสดงว่าต้อง แปลเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
ที่ไม่หมุนเวียนภายในโลก

    เมื่อจิตไม่ใช่สสาร มันก็ไม่ต้องแปรเปลี่ยนอะไร ที่มันแปรเปลี่ยนนั้นคือ ความรู้สึกของเราที่ยังมีความไม่รู้ หรือ รู้ไม่จริง ปิดบังอยู่เท่านั้น และการที่จิตยังมีความสืบเนื่อง เกิด-ดับๆๆๆๆๆ อยู่นั้น เพราะยังมีเชื้อให้เกิด-ดับอยู่นั่นเอง อย่างจอคอมพิวเตอร์ของท่าน มันเกิดดับตลอดเวลา สายตาท่านจับไม่ทัน เลยเห็นภาพเดิม ลองใช้กล้องส่องดูสิครับ จะเห็นการเกิดดับของมัน เป็นแถบดำเลื่อนลงมาอย่างรวดเร็ว (กล้องมีการจับภาพได้เร็วและละเอียดกว่าตาหลายเท่า)

    การเกิดดับอย่างรวดเร็วนี้เอง ที่ทำให้มีการคงอยู่ได้นานในรูปที่ เราเห็นว่า เหมือนเดิม แม้กับร่างกายเราเองก็ตาม เปลี่ยนตลอดเวลา อะตอมวิ่งตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเคลื่อนที่อย่างไม่หยุดนิ่งตลอดเวลา นี่เป็นทฤษฎีที่ไอน์สไตน์เอามาพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีมากมาย และนั่นคือสิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตะวันตกรู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนมาก่อนแล้ว แต่ด้วยคำพูดที่เขาไม่เข้าใจ เพราะไม่สนใจศึกษาแม้แค่คำว่า อนิจจัง

     
อ้างถึงแล้วไปไหน ?
ส่วน ที่หายไป ก็น่าจะต้องมีอะไรมาทดแทน
แล้วสิ่งนั้นคืออะไรหรือเปล่า

    แล้วอะไรไปไหนล่ะครับ ร่างกายส่วนที่เป็นสสารก็เป็นสสารในรูปอื่นต่อไป นักวิทยาศาสตร์ว่า สสารในโลกไม่ได้สูญหายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนรูปไปเท่านั้น ส่วนจิตมันไม่ได้เป็นอะไร มันเป็นธาตุที่ไม่ต้องการพื้นที่ในการดำรงอยู่ เพราะไม่ใช่สสาร มันก็ไม่ต้องมีอะไรมาทดแทนทั้งสิ้น จะว่ามันหายไปก็ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ตั้งอยู่ จะว่ามีอยู่ก็ไม่ได้เพราะมันไม่ได้มีพื้นที่ในการอยู่ จะว่ามันไม่หายและไม่ตั้งอยู่ก็ไม่ได้ เพราะสามารถสัมผัสรู้

    ตกลงคือ คำพูดทั้งมวลที่มีอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าภาษาใดๆก็ตาม มีไม่พอที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ ท่านจึงว่า มันเป็น สันทิฏฐิโก รู้ได้เฉพาะตน จิตรู้เท่านั้นสามารถรู้จิต จิตไม่รู้ก็ไม่อาจรู้จิต แม้สมองปราดเปรื่องเพียงใดก็ตาม

    หลวงพ่อชา สุภัทโท ตอนที่ไปอังกฤษ มีหญิงอังกฤษถามว่า พระอรหันต์ตายแล้วไปไหน หลวงพ่อชาตอบโดยการเป่าเทียนใกล้ๆให้ดับ แล้วถามว่า
    "ไฟไปไหน" หล่อนก็ได้แต่งง ท่านก็ถามต่อว่า พอใจไหมที่ตอบแบบนี้ หล่อนว่า ไม่พอใจ ท่านว่า
    "เราก็ไม่พอใจคำถามของเธอเช่นกัน"

ก็ลองคิดดูครับ จิตคิดไม่รู้ ไม่รู้ไม่คิด ไม่คิดจึงรู้ ไม่รู้เพราะคิด เพราะคิดจึ่งรู้
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

samrit

คารวะท่านคุณหลวงจริงๆ...ความรู้ศาสนาพุทธแน่น   ส.ยกน้ิวให้ 

คงมีโอกาสได้เจอะตัวจริงท่านสักวัน

ผมเพิ่งอ่านเพิ่งศึกษาหนังสือในแนวศาสนาได้ไม่นาน

ความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธที่ตัวเองนับถือมาแต่เกิด มีเพียงแค่หางอึ่ง

หากได้ศึกษาและรู้จักพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งมาก่อนหน้านี้

ชีวิตที่ผ่านมา คงจะต้องเดินไปอีกทางหนึ่ง... ส.ตากุลิบกุลิบ
คิดดี พูดดี ทำดี ชีวิตก็จะพบแต่สิ่งที่ดีๆ...

กิมหยง

งั้น เราน่าจะเปลี่ยนจากสสาร เป็นพลังงานดีกว่า

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่รู้เลยว่า
อะไรที่ไปขับเคลื่อนเข้าอะตอม โมเลกุล หรือคว๊าก อะไรนั้น
ก็แสดงว่า ต้องมีอะไรสักอย่างที่ให้มันเป็นไป ตามที่ควรจะเป็น

แท้จริงทุกอย่างที่เราเจอ เราสัมผัส ล้วนแต่เคลื่อนไหว
หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ ตามแรงแห่งกรรม
เหมือนที่พุทธองค์ทรงตรัสไว้

แล้ว สถานะพระพุทธองค์ละเป็นอย่างไร ตามหลักวิทยาศาสตร์
สร้าง & ฟื้นฟู

คุณหลวง

อ้างจาก: samrit เมื่อ 13:19 น.  09 ธ.ค 54
คารวะท่านคุณหลวงจริงๆ...ความรู้ศาสนาพุทธแน่น   ส.ยกน้ิวให้ 

คงมีโอกาสได้เจอะตัวจริงท่านสักวัน

ผมเพิ่งอ่านเพิ่งศึกษาหนังสือในแนวศาสนาได้ไม่นาน

ความรู้เกี่ยวกับศาสนาพุทธที่ตัวเองนับถือมาแต่เกิด มีเพียงแค่หางอึ่ง

หากได้ศึกษาและรู้จักพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งมาก่อนหน้านี้

ชีวิตที่ผ่านมา คงจะต้องเดินไปอีกทางหนึ่ง... ส.ตากุลิบกุลิบ

    สะบายดี...

    ท่านชื่นชมผมมากเกินไปแล้วครับ  ส-เขิน ความจริงผมก็เป็นประมาณเพียง "กระดาษคัมภีร์ห่อขี้หมา" เท่านั้น และนี่ไม่ใช่เป็นการถ่อมตน แต่เพราะรู้ว่าตัวเองเน่าในอยู่มาก ด้วยความโลภ โกรธ หลง บ่อยครั้งที่ผมสวดมนต์เพื่อขออะไรบางอย่างเพื่อตัวเอง บ่อยครั้งที่ผมอยากได้คำชม เมื่อโดนติก็ขัดเคือง บ่อยครั้งที่ผมเอ่ยนามของพระที่ผมนับถือบูชา หรือ เทวา เพื่อประโยชน์ส่วนตัว อยากได้แบบคนงมงายทั่วไป  ส.ฉันเอง

    ความวิสุทธิ์ที่พร่ำบอกผู้อื่นนั้น ผมเองก็ยังสกปรก บางทีก็ไม่อยากพูดเพราะรู้สึกว่ามันสูงส่งกว่าตนเองเป็นมากเกินไป เคยออกวิทยุอยู่สิบสัปดาห์ก็เลิกเพราะทนตัวเองไม่ไหว ความรู้สึกสะท้อนใจว่า ตัวเองยังไม่มีพอที่จะพูด ก็ยังไม่ควรพูด มันบีบคั้นตัวเองเสมอ

    แต่มันอดพูดไม่ได้ เมื่อเจอสิ่งที่มันบิดเบือนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเมื่อพูดก็มั่นใจพอว่าจะไม่เป็นการพูดอย่างผิดๆ แม้ไม่ถูกถึงที่สุด แต่ต้องไม่ออกนอกธรรมวินัย นี่จึงเป็นสิ่งที่ผมยังสบายใจเมื่อพูดไปแล้ว

    แต่ศึกษาเถิดครับ มันคุ้มกับการลงทุนกายใจ และทรัพย์บางส่วนเพื่อเรียนรู้พระธรรมวินัยนี้ มีความงาม วิสุทธิ์ สงบ และสุข ชนิดที่หาสุขที่ได้รับจากการปรนเปรอจากวัตถุแม้ประณีตและมากเพียงใดจะมาเปรียบเทียบได้

    ผมใจหายทุกครั้งที่เจอหนังสือที่บิดเบือนธรรมวินัย โดยเฉพาะที่เขียนจากพระมีชื่อ หรือพระจากวัดมีชื่อ คราวหนึ่งเจอพระปริญญาโท พุทธศาสตร์(น์)บัณฑิต รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นศิษย์อุปัชฌาย์เดียวกัน ชักชวนผมและชวนเด็กที่มาขอบวชภาคฤดูร้อนไปเรียนกับท่านผู้นั้นในกรุงเทพฯ ท่านบอกเด็กคนนั้นอย่างกระทบผมว่า
    "การปฏิบัติน่ะ สมัยนี้ทำไม่ได้แล้ว หากจะปฏิบัติต้องเข้าป่า อยู่ป่าจึงปฏิบัติได้ อยู่เมือง หรือกึ่งป่ากึ่งเมืองปฏิบัติไม่ได้หรอก"

    ผมตะลึงงัน ในหัวอื้ออึงด้วยความปวดร้าวใจ คำว่า "อกาลิโก เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล" ผุดขึ้นมาเป็นภาพวิ่ง อยากลุกขึ้นตะโกนกรอกหูท่านว่า

     "มึงพูดอะไรออกมาวะ อายพระพุทธเจ้าไหมโว้ย" ประมาณนี้
    ใช่ครับ เมื่อท่านไม่ถือองค์คุณแห่งพระพุทธศาสนา ท่านก็มิใช่สงฆ์ในพระธรรมวินัยแห่งบรมศาสดาสิทธัตถะ พุทธโคตมะ แม้ครองผ้าเหลืองแห่งพุทธศาสนา บวชตามพิธีสงฆ์พุทธศาสนาก็ตาม
    ซ้ำร้าย เมื่อเด็กคนนั้นถามว่า เรียนจบแล้วท่านจะทำอะไร ท่านผู้นั้น ตอบว่า "จะเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา"  ส.แหยง ส.โขกกำแพง

    ลาภสักการะ กิน กาม เกียรติที่พระใช้ความเชื่อ ความศรัทธาของผู้คนมาเป็นเครื่องมือปรนเปรอตนเอง จนกลายเป็นประกอบอาชีพพระ หาเงินง่าย ร่ำรวย มีเกียรติ คนเกรงใจ จนไม่รู้จักผิดถูก ไม่รู้คุณค่าของผ้าเหลือง ไม่รู้จักคำว่า "สมณะ" จนกระทั่งซุกเมีย เที่ยว กิน (แอบๆ) ก็มีมากขึ้น

    การทำตัวไม่เหมาะ ไร้ค่าสมณะ นั้น ส่วนหนึ่งเจริญขึ้นเพราะพุทธบริษัทเราเองไม่มีความรู้ ความเข้าใจต่อพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง การสร้างประเพณีแปลกๆมาเพื่อตอบสนองความงมงาย แต่มาแฝงพระพุทธศาสนาแล้วอ้างเป็นคำสอนพระพุทธเจ้าก็มากขึ้น
    การบอกกล่าว เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในพระศาสนาจึงเป็นเรื่องที่ควรทำ และผมก็คิดว่า ผมจะต้องทำไปเรื่อยๆพร้อมๆกับการพัฒนาตนเอง

    ผมดีใจครับ ที่มีคนสนใจธรรมที่แท้จริง ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน เป็นกำลังใจแก่กันและกันไปในวิสุทธิมรรค แม้วันนี้เรายังสกปรก แต่วันหนึ่งเราจะสะอาดจนได้

   
    ป.ล. อย่าเพิ่งเจอผมเลย เพราะว่าผมชวนกินเบียร์แล้วท่านจะเสียตังค์เปล่าๆ การประพฤติตัวของผมขนาดพระที่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ยังเอ่ยปากว่า
    "หมดศรัทธาเลย"  ส.หลกจริง
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

คุณหลวง

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 10:27 น.  13 ธ.ค 54
งั้น เราน่าจะเปลี่ยนจากสสาร เป็นพลังงานดีกว่า

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่รู้เลยว่า
อะไรที่ไปขับเคลื่อนเข้าอะตอม โมเลกุล หรือคว๊าก อะไรนั้น
ก็แสดงว่า ต้องมีอะไรสักอย่างที่ให้มันเป็นไป ตามที่ควรจะเป็น

แท้จริงทุกอย่างที่เราเจอ เราสัมผัส ล้วนแต่เคลื่อนไหว
หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ ตามแรงแห่งกรรม
เหมือนที่พุทธองค์ทรงตรัสไว้

แล้ว สถานะพระพุทธองค์ละเป็นอย่างไร ตามหลักวิทยาศาสตร์

    สะบายดี...

    แล้ว สถานะพระพุทธองค์ละเป็นอย่างไร ตามหลักวิทยาศาสตร์หรือครับ ขนาดปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่รู้เลยว่าอะไรที่ไปขับเคลื่อนเข้าอะตอม โมเลกุล หรือคว๊าก อะไรนั้น

    แล้วเขาจะไปรู้จักพระพุทธองค์ได้อย่างไรกันครับท่าน
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

กิมหยง

หากเหล่ามนุษย์สัตว์ ทั้ง 3 โลกนั้น
ต้องหมุนเวียนว่ายตายเกิด ก็เหมือนสสารหรือพลังงาน
ที่อยู่หมุนเวียนอยู่ในห้วงจักรวาล

แต่เหนือขึ้นไปจากสัตว์โลกทั้งหลาย หล่าพระอรหันต์
นั้นหลุดพ้นจากห้วงวงจรเหล่านั้น ท่านเป็นความว่างเปล่าเหนือพลังงาน
ที่เราท่านเกินกว่าจะเข้าใจและบรรยายได้หรือเปล่า
สร้าง & ฟื้นฟู

คุณหลวง

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 11:27 น.  13 ธ.ค 54
หากเหล่ามนุษย์สัตว์ ทั้ง 3 โลกนั้น
ต้องหมุนเวียนว่ายตายเกิด ก็เหมือนสสารหรือพลังงาน
ที่อยู่หมุนเวียนอยู่ในห้วงจักรวาล

แต่เหนือขึ้นไปจากสัตว์โลกทั้งหลาย หล่าพระอรหันต์
นั้นหลุดพ้นจากห้วงวงจรเหล่านั้น ท่านเป็นความว่างเปล่าเหนือพลังงาน
ที่เราท่านเกินกว่าจะเข้าใจและบรรยายได้หรือเปล่า

    สะบายดี...

    ไม่เกินเข้าใจ หากว่าเราเข้าถึง ครับผม

    ในเรื่องนี้

ผมว่าท่านหลวงปู่โต  พรหฺมรังสี เปรียบไว้ดีที่สุดในการตอบเมื่อมีผู้ถามถึงภาวะพระนิพพาน ท่านตอบว่า

    มีหญิงสองพี่น้อง รักกันมาก เมื่อเจริญวัยจนสมควรแล้ว ผู้พี่ก็แต่งงาน หลังแต่ง น้องสาวถามว่า
"แต่งงานแล้วเป็นอย่างไรบ้างพี่" ผู้เป็นพี่ตอบไม่ได้ ได้แต่ยิ้มเขิน ผู้เป็นน้องอยากรู้ก็ถามเรื่อย ผู้เป็นพี่ก็ได้แต่ยิ้มอยู่อย่างนั้น

    จนต่อมาผู้น้องแต่งงานบ้าง หลังแต่งพี่จึงถามว่า
"แต่งงานแล้วเป็นอย่างไรบ้างน้อง" ผู้เป็นน้องยิ้มเขิน ตีแขนพี่สาวเพี๊ยะ
"อย่ามาเย้าเขานะ" แล้วหัวเราะไปด้วยกัน

เข้าใจนะครับหนา

    หรืออย่างแม่ครัวค่ายคนหนึ่ง ลูกสาวถามว่า มีผัวดียังไง
แม่ว่าลองเอาผมปั่นหูดูสิ ลูกหายไปพัก วิ่งกลับมาบอกแม่อย่างตื่นเต้น

"แม่ๆ ถ้าอย่างนี้หนูขอมีผัวสองคนนะแม่นะ"   อันนี้ เล่าต่อขำๆหรอกน้าค้าบบบบ   ส.หลกจริง
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

กิมหยง

สร้าง & ฟื้นฟู

หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม


คุณหลวง

อ้างจาก: กิมหยง เมื่อ 10:46 น.  16 ธ.ค 54
ไปบวชกันดีกว่า

เอาแหล่วหล่าว...เอสาหัง จำแล้วเห้อ..... ส-ฝนเล็บ


    สะบายดี...
สิ่งที่ไม่เหลือคือ  ความสงสัยในวิถีตน
สิ่งที่เหลือคือ  เดินทางต่อไป และต่อไป

กิมหยง

ยังขอรับท่าน

ไม่จำก็ขอไปอยู่วัด ตัดขาดจากโลกภายนอก จนกว่าจะจำละกันท่าน

แต่จะตัดใจจากสาว ๆ จะทำอย่างไรกันดี

สร้าง & ฟื้นฟู