ข่าว:

ทดลองใช้งานบอร์ดตะลุง ที่อยู่ในขั้นตอนการกู้คืนข้อมูล เบื้องต้นมีแต่กระทู้ (ข้อความ) กำลังกู้รูปภาพ ไฟล์แนบต่าง ๆ คาดว่าจะทยอยสมบูรณ์ภายในไม่ช้า

Main Menu

โครงการแลนด์บริดจ์ สงขลา-สตูล

เริ่มโดย เด็กเลว, 07:17 น. 26 ก.ค 54

ห้ามโพสข้อความที่

ผู้ส่งออกตรังยิ้ม มูลค่าการส่งออกไตรมาส 2 พุ่ง 24,000 ล้าน จังหวัดเร่งพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับ

14 สิงหาคม 2554
ศุลกากรกันตังระบุ การส่งออกจังหวัดตรังมีแนวโน้มสดใส ไตรมาส 2 มูลค่าสูงกว่า 2 หมื่น 4 พันล้านบาท พบสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับไม้ยางพารายังคงเป็นแชมป์ จังหวัดตรังสบโอกาส เร่งพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับ หวังเป็น "ฮับ" การส่งออกทั้งตอนบนและตอนกลางของภาคใต้
นายสหชัย งามไพโรจน์พิบูลย์ นายด่านศุลกากรกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง กล่าวถึง สถานการณ์การส่งออกของจังหวัดตรัง ที่ท่าเรือกันตังในปีนี้พบว่า ยังมีการขยายตัวในแนวโน้มที่ดีขึ้น สังเกตจากสถิติการส่งออกหลังสิ้นสุดไตรมาส 2 ของปีนี้มีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 2 หมื่น 4 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกของปี 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2 หมื่น 3,800 ล้านบาทคาดว่า เมื่อสิ้นสุดปีนี้มูลค่าการส่งออก น่าจะเพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30
ทั้งนี้ สินค้าส่งออกที่สำคัญประกอบด้วย สินค้าที่เกี่ยวเนื่องจากยางพารา อาทิ ยางพารา, ยางผสมสำเร็จ, ไม้ยางแปรรูป นอกจากนี้สินค้าส่งออกที่สำคัญยังมี ปูนซีเมนต์ และแร่ยิปซั่ม เป็นต้น
สำหรับสินค้านำเข้าผ่านยังท่าเรือกันตัง สิ้นสุดไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่ามีมูลค่าประมาณ 1 พัน 840 ล้านบาท โดยมูลค่านำเข้าทั้งปี ของเมื่อปีที่ผ่านมา มีมูลค่าประมาณ 1 พัน 580 ล้านบาท โดยสินค้านำเข้าที่สำคัญตามลำดับ ประกอบด้วยถ่านหิน, ปุ๋ยเคมี, สายเคเบิล, ยางเทียมเป็นต้น
นายด่านศุลกากรกันตัง กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดตรัง ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาการส่งออก โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเทียบเรือ เพื่อให้สามารถรองรับการส่งออกสินค้าได้อย่างเพียงพอ ตนเชื่อมั่นว่า ท่าเรืออำเภอกันตัง ทั้งของภาครัฐและเอกชน จะได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการส่งออก นำสินค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงแต่ในจังหวัดตรังเท่านั้น ยังรวมไปถึงผู้ประกอบการส่งออก ทั้งจากพื้นที่ภาคใต้ตอนบนและตอนกลางทั้งหมด ที่จะเข้ามาใช้บริการท่าเรือดังกล่าวอีกด้วย

http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255408140115&tb=N255408

ห้ามโพสข้อความที่

คาดอีก 3 ปีส่งออกกันตังจะทะลุ 5 หมื่นล้าน

นายสหชัย งามโรจน์พิบูลย์ นายด่านศุลกากรกันตัง จังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ผลพวงจากราคายางพารา พืชเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดตรัง ที่มีราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงต้นปีถึงกลางปีที่ผ่านมา ได้ทำให้มีการส่งออกยางพาราไปยังต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าผ่านท่าเทียบเรือกันตัง ในปีงบประมาณ 2553 หรือช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 ถึงเดือนกันยายน 2553 มีตัวเลขการส่งออกยางพาราผ่านด่านศุลกากรกันตัง มูลค่าสูงถึง 25,350 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสินค้ายางพาราประมาณ 90 % หรือมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 21,000 ล้านบาท สูงกว่าปีงบประมาณ 2551 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกแค่ 15,800 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 16,200 ล้านบาท

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่าการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 50 % ถือเป็นการบ่งบอกถึงศักยภาพในการผลิตยางพาราของประเทศไทย และมีความต้องการสั่งซื้อจากต่างประเทศเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ สูงมากขึ้น ส่วนตัวเลขการส่งออกในปีงบประมาณ 2554 ช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 ถึงเดือนมีนาคม 2554 หรือช่วง 6 เดือนแรก มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทไปแล้ว ในจำนวนนี้เป็นสินค้ายางพารามูลค่า 8,000-9,000 ล้านบาท สูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2553 ซึ่งมีมูลค่า 7,500 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสินค้ายางพารามูลค่า 6,800 ล้านบาท หรือสูงขึ้นกว่า 14 % ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปีงบประมาณ 2554 จะมีมูลค่าการส่งออกสินค้าถึง 30,000 ล้านบาท หรือสูงขึ้นกว่า 30 %

นอกจากนั้น ในอีก 3 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2557 จะมีมูลค่าการส่งออกสินค้าพุ่งขึ้นสูงขึ้นกว่านี้เป็นปีละ 50,000 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการที่จะมีท่าเทียบเรือแห่งใหม่เกิดขึ้นที่บริเวณปากแม่น้ำตรัง คือ ท่าเทียบเรือนาเกลือ ตำบลนาเกลือ อำเภอกันตัง ซึ่งบุกเบิกโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตรัง และสามารถจอดเรือได้ครั้งละ 2 ลำ รวมทั้งขนถ่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว ซึ่งถือเป็นตัวเลขการส่งออกที่ก้าวกระโดดอย่างมาก รองรับนโยบายตรังทะยาน ของ นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่พยายามจะบุกเบิกให้จังหวัดตรังมีความเจริญในทุกๆ ด้าน ประกอบกับท่าเทียบเรือกันตังก็มีชื่อเสียงที่โด่งดังในระดับโลกตั้งแต่อดีต เนื่องจากเป็นท่าเทียบเรือเพียงแห่งเดียวในฝั่งทะเลอันดามัน ที่มีทั้งการนำเข้าส่งออกสินค้า และการค้าขายกับต่างประเทศ

ทั้งนี้ ผลจากการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการส่งออก ก่อให้เกิดผลดีต่อชาวจังหวัดตรัง โดยเฉพาะชาวอำเภอกันตัง ซึ่งมีท่าเทียบเรืออยู่คู่กับพื้นที่มายาวนานกว่า 200 ปีแล้ว เพื่อพัฒนาให้เป็นเมืองท่าเพื่อการนำเข้าส่งออกในภาคใต้ฝั่งตะวันตก และเป็นประตูการเชื่อมต่อไปสู่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะทำให้สามารถขนถ่ายสินค้าไปได้ทุกเส้นทาง โดยเฉพาะทางเรือ ขณะที่ทางบก ก็มีถนนมาตรฐานอยู่ 3 เส้นทางแล้ว คือ พัทลุง-ตรัง นครศรีธรรมราช-ตรัง และกระบี่-ตรัง รวมทั้งถนนสายนาเมืองเพชร-นาเกลือ โดยกรมทางหลวงชนบท จะขยายผิวจราจรให้กว้างขึ้นเป็นขนาด 12 เมตร เพื่อรองรับการขนถ่ายสินค้ากับท่าเทียบเรือนาเกลือ ส่วนทางรถไฟก็กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบราง เพื่อขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์มายังท่าเทียบเรือกันตัง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้


ปรับปรุงถนน 2 สายรองรับเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว

สำนักงานทางหลวงชนบท เสนอโครงการปรับปรุงถนนสายตรัง-สิเกา และปรับปรุงถนนสายตรัง-กันตัง จากตำบลนาเมืองเพชร ไปยังท่าเทียบเรือต่างประเทศแห่งใหม่ ที่ตำบลนาเกลือ

นายเจษฎา วินสน ผู้อำนวยการ สำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดตรัง กล่าวว่า ในปี 2554 ทางสำนักงานได้รับการจัดสรรงบประมาณ มาเพื่อดำเนินการยกระดับมาตรฐานทาง ทั้งการก่อสร้างถนนลาดยาง และถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) รวมจำนวน 16 โครงการ และได้รับการจัดสรรงบประมาณ มาเพื่อบำรุงรักษาทางและสะพาน รวมจำนวน 6 โครงการ นอกจากนั้น ยังได้รับการจัดสรรงบประมาณ มาเพื่อตีเส้นจราจร ปรับปรุงทางคอขวด หรือจุดตัด รวมจำนวน 7 โครงการ และล่าสุดยังได้รับการจัดสรรงบประมาณ มาเพื่อฟื้นฟูทางที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ เมื่อปลายปี 2553 อีกจำนวน 5 โครงการ โดยขณะนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในระหว่างเพิ่งเริ่มดำเนินการ หรือลงนามในโครงการ

อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2555 ทางสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดตรัง ยังได้นำเสนอโครงการปรับปรุงถนน ตง.4008 สายตรัง-สิเกา จากตำบลนาเมืองเพชร ไปยังหาดปากเมง ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา เนื่องจากเส้นทางนี้มีระยะทางยาว 48 กิโลเมตร แต่มีความสำคัญอย่างมากทั้งต่อการท่องเที่ยว และการลงทุน ซึ่งโครงการแรกที่จะดำเนินการ คือ การปรับปรุงทาง หรือภูมิทัศน์ เพื่อจัดสร้างจุดชมวิว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจ วิเคราะห์ และศึกษารายละเอียด ซึ่งคาดว่าในปีงบประมาณ 2554 นี้ จะได้ข้อมูลเบื้องต้น เพื่อนำเสนอขอก่อสร้างและของบประมาณมาดำเนินการ โดยคาดหวังจะให้ถนนสายนี้มีความสวยงามและดึงดูดใจต่อนักท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นเส้นทางที่เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดตรัง

นอกจากนั้น ยังมีการนำเสนอเพื่อปรับปรุงถนนสายตรัง-กันตัง จากตำบลนาเมืองเพชร ไปยังท่าเทียบเรือต่างประเทศแห่งใหม่ ที่ตำบลนาเกลือ อำเภอกันตัง ระยะทางยาว 28 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้ได้สำรวจออกแบบโครงการเสร็จสิ้น และจัดทำการมีส่วนร่วมภาคประชาชนแล้ว 2 ครั้ง ทั้งนี้ หากขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ไม่เกิดปัญหาอะไร ก็จะได้นำเสนอขอก่อสร้างและของบประมาณในปี 2555 คาดว่าจะต้องใช้เงินจำนวนทั้งสิ้น 300 ล้านบาท ซึ่งหากโครงการนี้เกิดขึ้นได้ในจังหวัดตรัง ก็จะเป็นประโยชน์ด้านโลจิสติกส์ หรือการส่งออกและนำเข้าสินค้าต่างประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะมีการขยายถนนจากเดิม 9 เมตร เป็น 12 เมตร และปรับปรุงสะพานเดิมอีก 15 แห่ง เพื่อให้สามารถรองรับรถบรรทุก รถบรรทุกพ่วง และรถเทเลอร์ ได้

ทั้งนี้ โดยภาพรวมของถนนโครงข่ายต่างๆ ที่ในอยู่ความรับผิดชอบของสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดตรัง มีจำนวน 29 สายทาง โดยได้พัฒนาปรับปรุงเป็นถนนลาดยางไปทั้งหมดแล้ว แต่ยังเหลือเส้นทางที่ได้ถ่ายโอนไปให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งจะต้องเข้าไปช่วยดูแลบำรุงรักษาอีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หากเส้นทางไหนที่มีความยาวไม่น้อยกว่า 8 กิโลเมตร โดยไม่มีปัญหาเรื่องแนวเขตที่ดิน หรือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทางสำนักงานทางหลวงชนบทก็จะเข้าไปช่วยดูแล และสามารถดึงมาเป็นถนนโครงข่ายเพิ่มเติมได้ ขณะเดียวกัน ก็กำลังเร่งจัดแผนแม่บทถนนของ อปท.ทั้งหมด แล้วนำไปลงทะเบียนทางหลวงชนบทให้ถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อเป็นข้อมูลที่จะนำไปสู่การพัฒนาถนนเหล่านั้นในอนาคตต่อไป

ห้ามโพสข้อความที่

โครงการปรับปรุงทางรถไฟสายท่าเรือกันตรัง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถ้าเขาตัดสินใจเลือกที่อื่นไปแล้ว เขาก็จะไม่กลับมาแล้ว เพราะลงทุนไปแล้ว ต่อให้กวักมือเรียก เขาก็ไม่มา  ถ้าสตูลไม่เอา ก็ให้ตรังเป็นท่าเรือไปซะ 


เครดิดรูป : kikoo


http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=5618&postdays=0&postorder=asc&start=0

...........................

ห้ามโพสข้อความที่

โครงการปรับปรุงทางรถไฟสายท่าเรือกันตรัง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถ้าเขาตัดสินใจเลือกที่อื่นไปแล้ว เขาก็จะไม่กลับมาแล้ว เพราะลงทุนไปแล้ว ต่อให้กวักมือเรียก เขาก็ไม่มา  ถ้าสตูลไม่เอา ก็ให้ตรังเป็นท่าเรือไปซะ 


เครดิดรูป : kikoo


http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=5618&postdays=0&postorder=asc&start=0

...............................

ห้ามโพสข้อความที่

http://77.nationchannel.com/video/119341/

ท่าเรือนาเกลือจังหวัดตรัง สร้างต่อจากท่าเรือกันตัง  จะขยายไปเรือยๆ จนกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญฝั่งอันดามัน

ห้ามโพสข้อความที่

แล้วสินค้าของภาคใต้ ทั้งยางพารา ไม้ยางพารา  อาหารฮาลาล  น้ำมันปาล์ม อาหารทะเล กุ้งสด ปลาแช่แข็ง ฯลฯ  สินค้าในภาคใต้ ไม่มีท่าเรือใช้  ต้องไปใช้ท่าเรือมาเลเซีย ปีละ 4 แสนล้าน นั่นคือเงินที่ต้องเสียไปกับค่าใช้ท่าเรือ ให้มาเลเซีย  ส่วนท่าเรือสงขลาก็สินเต็มแจ๊กๆ  รอคิวนาน  เมื่อไรจะขยายเนี๊ยะ


แล้วต้นทุน ค่าน้ำมัน  ในฐานนะผู้ประกอบการ ที่ด่านตม. มาเลเซีย ก็ลีลา ไม่รู้จะตรวจอะไรหนักหนา  กลัวไทยจะขนระเบิด ขนยา ขน แรงงาน เข้าไป ตรวจนานมาก  สินค้าเสียหาย  โดยเพราะพวกอาหารทะเล แต่มาเลเชียบอก ไม่สน  แล้วจะยังไง NGO เคยคิดเรื่องนี้ไหม  ขอแค่ท่าเรือไว้ขนสินค้าอย่างเดียวพอนิ  เพราะเสียเวลาที่ด่านมาเลเซียมากๆ  เอาแค่ไว้ขนสินค้าในภาคใต้พอนิ  ให้ผู้ประกอบการได้มีทางเลือก  ได้ไหม  ถ้าไม่ได้ที่สตูล ก็ขอที่กันตรังก็ได้ สร้างท่าให้เรือใหญ่เข้าได้ จะได้ลดทนทุน

ส่วนอุตสาหกรรมหนักให้ไปลงที่ทวายนู้น

ตอนเย็นๆ ที่ด่านสะเดา ลองไปนั่งดู  รถสินค้าติดแบบนี้ทุกวันน่าเบื่อ    สรุปท่าเรืออันดามัน มันจำเป็นรู้บ้างไหม  ขอสักท่าเหอะ ที่ตรังก็ได้ สตูลก็ได้ 

จียอน

สตูลลีลานักก็ให้ตรังเขาไปซะ

.................
ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เล็งพัฒนาท่าเรือกันตัง จ.ตรัง ให้เทียบเท่า ท่าเรือปีนัง ของประเทศมาเลเซีย
วันพฤหัสบดี ที่ 8 มีนาคม 2555


นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวว่า เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตนและคณะเจ้าหน้าที่ เดินทางไปศึกษาดูงาน ที่ท่าเรือปีนัง ประเทศมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันถือเป็นท่าเรือนานาชาติระดับแนวหน้า เพื่อเร่งพัฒนาท่าเรือกันตัง และท่าเรือต่างๆ ในจังหวัดตรัง ในการรองรับการนำเข้า-ส่งออกสินค้า อย่างประสิทธิภาพในอนาคต เทียบเท่าท่าเรือปีนังของประเทศมาเลเซียเช่นกัน


ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวต่อไปว่า การเดินทางไปศึกษาดูงาน ที่ท่าเรือของประเทศมาเลเซียในครั้งนี้ ตนพบจุดเด่นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาท่าเรือในจังหวัดตรังหลายด้าน เช่น การที่ท่าเรือปีนัง มีช่องทางการเดินทางเข้าถึงได้ถึง 3 เส้นทาง ทั้งทางถนน ทางอากาศ และทางรถไฟ การมีลานวางตู้สินค้าสำหรับส่งออก เพื่อรองรับตู้สินค้าได้ 448,000 TEUs, มีการขุดร่องน้ำทางเหนือ จากเดิมที่ลึก 11.5 เมตรACD เป็น 14 เมตรACD เพื่อรองรับการขนถ่ายสินค้าจากเรือแม่
ทั้งนี้ สินค้าจากจังหวัดตรังหรือจากประเทศไทย ที่ผ่านท่าเรือปีนังนั้น จะเป็นสินค้าขาออกอย่างเดียว ไม่มีขาเข้า มีสัดส่วนร้อยละ 18-19 ของปริมาณสินค้าที่ใช้บริการที่ท่าเรือปีนังทั้งหมด โดยสินค้าที่ส่งออกจากท่าเรือกันตังไปยังท่าเรือปีนัง ได้แก่ ยางพารา, ไม้ยางพารา, ปูนซิเมนต์, แร่ยิปซัม เป็นต้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้ จะถูกขนถ่ายต่อ ไปยังประเทศต่างๆ เช่น จีน ยุโรป เกาหลีใต้ และอินเดีย เป็นต้น


ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวว่า ด้วยความที่ท่าเรือปีนังเป็นท่าเรือที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ดังนั้นจึงมุ่งเน้นไปที่ การให้บริการพื้นที่โดยรอบบริเวณหรือเป็นท่าเรือท้องถิ่น ของประเทศมาเลเซียตอนเหนือ และประเทศไทยตอนใต้ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือ การดำเนินงานของท่าเรือแห่งนี้ เกิดจากมีสินค้าตั้งแต่ก่อนเรือ คือมีอุปสงค์การนำเข้า-ส่งออก จากสินค้าที่ผลิตจากโรงงานต่างๆ โดยรอบบริเวณท่าเรือ กลายเป็นแรงขับเคลื่อนความต้องการท่าเรือและสาธารณูปโภคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในภายหลังต่อไป ซึ่งแนวคิดการเกิดท่าเรือปีนังดังกล่าว ตนจะนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาท่าเรือกันตังและท่าเรือแห่งอื่นๆ ในจังหวัดตรังต่อไป


ข้อมูลข่าวและที่มา
ผู้สื่อข่าว : ตรัง(สวท.)   
Rewriter : ฐิติวรดา ปุยอรุณ / สนข.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th

หมอช้างๆๆ

เมืองท่า กับเมืองท่องเที่ยวมันไปด้วยกันได้  ปีนัง กับมะละกาทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว  ตอนนี้ พ่อเมืองจังหวัดตรัง กำลังพัฒนาแนวคิดนี้ เพราะในอดีตจังหวัดตรังก็เป็นเมืองท่าที่สำคัญ  เมืองท่า กับเมืองอุตสาหกรรมหนัก มันไม่เหมือนกัน เมืองอุตสาหกรรมหนักคือพวกปิโตรเคมี โรงถลุงเหล็ก โรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งพวกนี้ใช้พื้นที่จำนวนมาก เกิน 5 หมื่นไร่ขึ้นไป ซึ่งฝั่งอันดามันไม่มีพื้นที่หลังท่าขนาดนั้น  แถมยังใช้น้ำจืดมหาศาล

ชายหาดไม่ว่าจะสวยแค่ไหน หากขาดระบบการขนส่งให้เข้าถึงได้ง่ายมันก็ไม่มีความหมาย  หากจะคิดพึ่งแค่การท่องเที่ยว ที่ทำได้แค่ช่วงซีซัน ประมาณ 6 เดือนของอันดามัน  อีก 6 เดือนก็มรสุม เศรษฐกิจแบบนี้ขาดความสมดุล   ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับการท่องเที่ยว เศรษฐกิจจังหวัดจะกระทบมาก  แม้จะพึ่งประมง แต่ช่วงมรสุมก็ออกเรือไม่ได้

หากว่า มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าถึงได้ง่าย ทั้งถนน รถไฟ ท่าเรือ สนามบิน  ผู้ประกอบการโรงแรม ก็กล้าลงทุน  สินค้า บริการ การท่องเที่ยวก็ตามมา  ส่วนอุตสากรรม ก็ขอให้เป็นอุตสาหกรรมเบา เช่นพวกอาหารทะเล โรงงงานเฟอร์นิเจอร์จากไม้ยางพารา ปาล์มน้ำมัน  พอผลิดได้ ก็ขนเข้าท่าเรือส่งออกเลย  ลดต้นทุนค่าขนส่งได้มาก เกิดการจ้างงานมหาศาล ลูกหลานก็ไม่ต้องออกไปทำงานต่างถิ่น ให้เป็นปัญหาสังคม

ถ้ายังแยกไม่ออกระหว่างเมืองท่า กับเมืองอุตสาหกรรมหนัก  ก็ขอให้รัฐบาลสนับสนุนหนุนจังหวัดตรังให้เป็นเมืองท่าแทนที่สตูล  เพราะสตูลเรื่องมาก  ซึ่งจังหวัดตรังก็มีศักยภาพเพียงพอ  เพราะจะว่าไปแล้ว จ.ตรังอยู่กึ่งกลางภาคใต้พอดี สามารถรองรับสินค้าจากภาคใต้ตอนบนได้ดีกว่า  แถมยังมีทางรถไฟอยู่แล้ว เรียกว่าทางรถไฟถึงท่าเรือเลย  และมีท่าเรือขนาดเล็กอยู่ที่ 4 ท่า แต่ขอให้สร้าง  ท่าเรือให้เรือขนาดใหญ่เข้าได้สัก 1 ท่า  ให้เป็นลักษณะท่าเรืออเนกประสงค์ คือ เรือขนส่งสินค้าเข้าได้  เรือสำราญขนาดใหญ่เข้าได้ เพราะท่าเรือจะพานักท่องเที่ยวไปเที่ยวทุกเกาะในฝั่งอันดามัน



แต่ถ้าชายหาดเข้าถึงยาก มันก็ไม่ต่างอะไรกับชายหาดจำนวนมากของพม่า ของอินโดนีเซีย ของฟิลิปปินส์ ที่พื้นที่ว่านี้คือแหล่ง 3 เหลี่ยมประการังโลก

รูปนี้คือทะเลตรัง  หากว่า มีระบบโครงสร้างพื้นฐานเข้าถึงง่าย ทั้งถนน รถไฟ ท่าเรือ สนามบิน  ผู้ประกอบการโรงแรม ก็กล้าลงทุน   

อั่ยยะ


Warning this topic

เรื่องปากบาราไม่ต้องไปกังวลครับ จะสร้างได้หรือไม่ก็ชั่ง เพราะวันนี้ประเทศไทย มีท่าเรืออุตสาหกรรมที่ทวาย ใหญ่กว่า แหลมฉบัง 10 เท่า

และมีท่าเรือ Local ไว้ขนสินค้าที่ผลิตในภาคใต้อย่างเดียว เช่นผวก ยาง ปาร์ม ไม้ยางแปรรูป อาหารฮาลาล ตอนนี้เขาจะย้ายไปที่กันตรัง โดยใช้วิธีขยายท่าเรือเล็กๆ จนกลายเป็นท่าเรือใหญ่ จนเทียบเท่าปีนัง ปล. พ่อเมืองตรังบอกมา ตอนนี้ถ้าคนตามข่าวจะรู้ว่า ท่าเรือกันตรังพัฒนาเร็วมาก ตอนนี้ขยายไปที่ท่าเรือนาเกลือด้วย (อยู่ใกล้ๆกัน) ทางรถไฟก็มีแล้ว ได้รับการปรับปรุง ทำคันทางใหม่

ส่วนสตูล ก็จงอนุรักษ์ ธรรมชาติให้เต็มที่ มาเลเซียจัดให้ 555+

.......................

ผู้ว่าฯ ตรังดันผุดท่าเทียบเรือน้ำลึกตัดหน้าสตูล เชื่อมเส้นทางรถไฟรองรับอาเซียน
19 มิถุนายน 2555 15:21 น

ตรัง - พ่อเมืองตรังเผยฝันผลักดันการพัฒนาท่าเทียบเรือกันตังให้เป็นท่าเทียบเรือน้ำลึกแห่งแรกในฝั่งอันดามัน แทนที่ท่าเรือปากบาราที่ จ.สตูล ซึ่งปัจจุบัน ยังไม่มีความคืบหน้า ประกอบกับมีสถานีรถไฟกันตังที่คอยเชื่อมต่อการขนส่งอยู่แล้ว เชื่อให้เป็นรูปธรรมภายในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นการรองรับประชาคมอาเซียน
[attach=1]
ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง


นายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการรองรับประชาคมอาเซียนในปี 2558 และการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศพม่า รวมทั้งแผนพัฒนาสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ในการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และสินค้าต่อเนื่องทางการเกษตรและอุตสาหกรรม จึงเห็นควรมีการพัฒนาท่าเทียบเรือกันตัง และระบบขนส่งทางรถไฟ

โดยเฉพาะเห็นว่า ท่าเทียบเรือกันตังยังสามารถพัฒนาเพื่อการส่งออกทางทะเลได้อีกมาก เพียงแต่ที่ผ่านมายังขาดการบริหารจัดการที่ดี ขณะที่ทางรถไฟซึ่งจังหวัดตรังมีขบวนรถไฟจากอำเภอทุ่งสงมายังอำเภอกันตัง เป็นสายสุดเส้นทางฝั่งทะเลอันดามัน หรือเป็นเส้นทางรถไฟเส้นทางเดียวของภาคใต้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเห็นว่าจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดภูเก็ต ยังไม่มีท่าเทียบเรือน้ำลึก ขณะที่จังหวัดสตูลก็ไม่มีความคืบหน้าในการก่อสร้าง จึงเห็นว่า ท่าเทียบเรือกันตังมีความเหมาะสมที่สุดของฝั่งทะเลอันดามันที่จะพัฒนาขึ้นเป็นท่าเทียบเรือน้ำลึก เพียงแต่ที่ผ่านมา ขาดการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งตนจะพัฒนาท่าเทียบเรือกันตังไปสู่อนาคต โดยการปรับปรุงให้เป็นท่าเทียบเรือน้ำลึก ภายในระยะเวลา 2 ปี จากนั้น จะส่งต่อให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตรัง เป็นผู้บริหารจัดการต่อไป

นอกจากนั้น ยังจะมีการพัฒนาระบบราง เพราะเชื่อว่าการขนส่งระบบรางเป็นการขนส่งที่ประหยัดที่สุด ด้วยการพัฒนาเส้นทางรถไฟจากอำเภอทุ่งสง มายังอำเภอกันตัง เพื่อเชื่อมต่อท่าเทียบเรือน้ำลึกกันตัง แต่ปัจจุบัน ยังไม่มีการดำเนินการ ทั้งที่สถานีรถไฟกันตังตั้งอยู่ห่างจากท่าเทียบเรือแค่ 400 เมตร หากมีการเชื่อมต่อแล้วจะสามารถขนส่งสินค้าจากเรือขึ้นบก ส่งต่อไปยังพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และประเทศใกล้เคียง เช่น รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์ ถือเป็นการขนส่งที่ประหยัด ลดการสูญเสียเวลา และงบประมาณในการปรับปรุงถนน อีกทั้งในอนาคต ก็จะยกเลิกการขนส่งรถบรรทุกใหญ่เข้าสู่ตัวเมืองตรังด้วย

ขณะเดียวกัน หลังจากที่ประเทศพม่าได้พัฒนาไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ทำให้มีการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น โดยประเทศพม่าจะมีการสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกที่เมืองทวาย ซึ่งจะเป็นท่าเทียบเรือน้ำลึกที่สามารถเชื่อมต่อกับจังหวัดตรังได้ แต่ตนเองก็กังวลเกี่ยวกับผู้บริหารเทศบาลเมืองตังว่า จะมีวิสัยทัศน์อย่างไรกับโครงการนี้ด้วย เพราะปัจจุบันเห็นว่า การวางตู้คอนเทนเนอร์ยังไม่มีระเบียบเท่าที่ควร และมีการวางตู้คอนเทนเนอร์ที่บริเวณสะพานท่าเทียบเรือ อีกทั้งที่ผ่านมา เทศบาลเมืองกันตัง ยังเป็นผู้รับผิดชอบท่าเทียบเรือแห่งนี้ แต่หากจะพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนจริงๆ ก็จะต้องมีการการพัฒนาบุคลากร และมีการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพเท่านั้น

กสิกรแข็งขัน


[attach=1]

คือ จะบอกว่า ท่าเรือฝั่งตะวันตกมันสำคัญมาก  สินค้าทั้งหมดที่ผลิตได้ในภาคใต้  ไม่มีท่าเรือด้านนี้ใช้  สินค้าในภาคใต้ทั้งหมดต้องไปใช้ ท่าเรือของประเทศมาเลซีย ปีละ กว่า 4 แสนล้าน ของปีนี้ก็ประมาณการณ์กันว่า ทะลุ 5 แสนล้านไปเรียบร้อย  การที่สินค้าไทยต้องไปใช้ท่าเรือปีนัง และท่าเรือพอร์ทกลัง ของมาเลเซีย  ทำให้ บริเวณนั้นของมาเลเซีย กลายเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ทำให้เก็บภาษีได้มาก  ทำให้ไทยเสียดุลมาก  หรือสินค้าในภาคใต้จะไปใช้ท่าเรือทวาย มันก็ไกลไป  เปลื่องน้ำมัน


ท่าเรือ กับแหล่งอุตสาหกรรมหนัก มันคนละเรื่อง  อุตสาหกรรมหนัก ต้องใช้พื้นที่เป็น แสนไร่ขึ้นไป  แล้วในเมืองไทยจะหาพื้นที่เยอะแบบนั้นได้จากที่ไหน  ขนาดทวาย ยังต้องใช้พื้นที่ 2.5 แสนไร่แล้ว


เพราะฉนั้น ขอเหอะ ขอท่าเรือด้านตะวันตกเพื่อส่งออกสินค้าเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ก็พอสักท่า  ส่วนอุตสาหกรรมหนัก ก็อย่าให้ลงมา  พวกปิโตรเคมี โรงกลั่น โรงปุ๋ย โรงเหล็ก ให้ไปที่ทวายให้หมด อย่ามาแถวนี้  แถวนี้ขอท่าเรือส่งออกสินค้าในพื้นที่พอ อีกอย่าง เบื่อความชักช้า และความลีลาที่ด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย

อย่างที่บอก เมืองท่า กับเมืองท่องเที่ยว มันไปด้วยกันได้  ตอนเย็นๆ ไปนั่งดูเรือที่แหลมสนออนสงขลา ก็เพลินดี  ไม่เห็นมันจะมีมลพิษอะไรเลย  ปีนังเขาก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว

ถ้าสตูลไม่ให้ทำ  ก็ขอที่ตรังแล้วกัน  ค่อยๆขยาย อย่ามาแบบโครงการใหญ่ที่เดียวแบบปากบารา  เพราะโครงการใหญ่ สร้างอยาก พวก NGO มันพวกนกรู้  ค้านทุกเรื่อง  ค้านโรงไฟ แต่ดันเสียบปลั๊ก  ค้านเขือน พอน้ำท่วมออกมาด่า  ค้านถนน แต่ก็ยังขับรถ  กรรมจริงๆ


puiey

อ้างจาก: กสิกรแข็งขัน เมื่อ 16:54 น.  27 มิ.ย 55
[attach=1]

คือ จะบอกว่า ท่าเรือฝั่งตะวันตกมันสำคัญมาก  สินค้าทั้งหมดที่ผลิตได้ในภาคใต้  ไม่มีท่าเรือด้านนี้ใช้  สินค้าในภาคใต้ทั้งหมดต้องไปใช้ ท่าเรือของประเทศมาเลซีย ปีละ กว่า 4 แสนล้าน ของปีนี้ก็ประมาณการณ์กันว่า ทะลุ 5 แสนล้านไปเรียบร้อย  การที่สินค้าไทยต้องไปใช้ท่าเรือปีนัง และท่าเรือพอร์ทกลัง ของมาเลเซีย  ทำให้ บริเวณนั้นของมาเลเซีย กลายเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ทำให้เก็บภาษีได้มาก  ทำให้ไทยเสียดุลมาก  หรือสินค้าในภาคใต้จะไปใช้ท่าเรือทวาย มันก็ไกลไป  เปลื่องน้ำมัน


ท่าเรือ กับแหล่งอุตสาหกรรมหนัก มันคนละเรื่อง  อุตสาหกรรมหนัก ต้องใช้พื้นที่เป็น แสนไร่ขึ้นไป  แล้วในเมืองไทยจะหาพื้นที่เยอะแบบนั้นได้จากที่ไหน  ขนาดทวาย ยังต้องใช้พื้นที่ 2.5 แสนไร่แล้ว


เพราะฉนั้น ขอเหอะ ขอท่าเรือด้านตะวันตกเพื่อส่งออกสินค้าเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ก็พอสักท่า  ส่วนอุตสาหกรรมหนัก ก็อย่าให้ลงมา  พวกปิโตรเคมี โรงกลั่น โรงปุ๋ย โรงเหล็ก ให้ไปที่ทวายให้หมด อย่ามาแถวนี้  แถวนี้ขอท่าเรือส่งออกสินค้าในพื้นที่พอ อีกอย่าง เบื่อความชักช้า และความลีลาที่ด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย

อย่างที่บอก เมืองท่า กับเมืองท่องเที่ยว มันไปด้วยกันได้  ตอนเย็นๆ ไปนั่งดูเรือที่แหลมสนออนสงขลา ก็เพลินดี  ไม่เห็นมันจะมีมลพิษอะไรเลย  ปีนังเขาก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว

ถ้าสตูลไม่ให้ทำ  ก็ขอที่ตรังแล้วกัน  ค่อยๆขยาย อย่ามาแบบโครงการใหญ่ที่เดียวแบบปากบารา  เพราะโครงการใหญ่ สร้างอยาก พวก NGO มันพวกนกรู้  ค้านทุกเรื่อง  ค้านโรงไฟ แต่ดันเสียบปลั๊ก  ค้านเขือน พอน้ำท่วมออกมาด่า  ค้านถนน แต่ก็ยังขับรถ  กรรมจริงๆ

สนับสนุนการสร้างท่าเรือที่ตรังก็ได้ไม่ว่ากัน
โกธรกับแฟน ขึ้นสเตตัส "โสด" ถ้าวันนึง แม่มึงโกธร มึงไม่ขึ้นสเตตัส "กำพร้า" เลยเหรอ

ใจหายไปในอวกาศ

สนข.ทบทวน "ปากบารา" ปรับแผนสู้ทวาย ดันมอเตอร์เวย์-ทางคู่เชื่อมมาเลย์รับ AEC

สนข.สั่งกรมเจ้าท่าทบทวนแผนท่าเรือปากบารา ประเมินปัจจัยแวดล้อมใหม่หลัง ทวายเกิด เผยกรมทางหลวงเตรียมผุดมอเตอร์เวย์ หาดใหญ่-สะเดา มูลค่า 9.2 พันล้านบาท เชื่อมมาเลเซีย ยันรถไฟทางคู่เดินตามแผน แต่ช้ากว่ามาเลเซียที่จะเสร็จ 1,500 กม.ในปี 57
       
       นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมเจ้าท่าอยู่ระหว่างศึกษาปรับปรุงแผนโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูลอีกครั้ง โดยประเมินภาพรวมการขนส่งปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เช่นกรณีผลกระทบจากท่าเรือทวายและการขยายท่าเรือสงขลา ซึ่งเร็วๆ นี้จะต้องสรุปผล

โดยภาพรวมท่าเรือปากบารามีความจำเป็นต่อการนำเข้าและส่งออกของไทย แต่จะต้องทำความเข้าใจกับชุมชนเพื่อผลักดันโครงการให้เกิดขึ้น เนื่องจากขณะนี้สินค้าทางภาคใต้ของไทย เช่น ยางพารา ต้องขนส่งทางรถไฟและถนนไปที่ท่าเรือของมาเลเซีย ซึ่งเป็นการสูญเสียเงินตราออกนอกประเทศอย่างมาก   

       ส่วนโครงข่ายคมนาคมเชื่อมภาคใต้กับมาเลเซียนั้นยังมีความไม่สะดวกอยู่ ซึ่งกรมทางหลวง (ทล.) กำลังศึกษาทบทวนแผนก่อสร้างทางพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) จาก อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.สะเดา ระยะทาง 54 กิโลเมตร มูลค่า 9,250 ล้านบาท ซึ่งจะอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เดินทางเข้าออกระหว่างมาเลเซียกับไทยที่เพิ่มมากขึ้นจนเกิดความแออัด และช่วยให้การขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น
       
       ส่วนรถไฟทางคู่สายใต้ ระยะเร่งด่วนคือ ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร มูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบตามแผนจะก่อสร้างเสร็จในปี 2558 ส่วนระยะ 2 ช่วงหัวหิน-ประจวบฯ และช่วงชุมพร-สุราษฎร์ฯ แล้วเสร็จปี 2562 ส่วนระยะ 3 ช่วงสุราษฎร์ฯ-ปาดังเบซาร์ และหาดใหญ่-สุไหงโก-ลก แล้วเสร็จปี 2575


       
       ในขณะที่ขณะนี้ทางมาเลเซียกำลังดำเนินการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะทางรวม 1,500 กิโลเมตร ขนาดราง 1 เมตรจะแล้วเสร็จในปี 2557 ซึ่งจะทำให้สินค้าทางภาคใต้ของไทยไปส่งออกที่ท่าเรือปีนังของมาเลเซียมากขึ้นเพราะรองรับการวิ่งในความเร็วสูงสุดถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนการขนส่งผู้โดยสารนั้น มาเลเซียมีรถไฟความเร็วสูงเปิดให้บริการแก่ประชาชนไปแล้ว 2 ปี คืออิโป-กัวลาลัมเปอร์ ระยะทาง 300 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง ราคา 350 บาท มีประชาชนเข้าใช้บริการประมาณ 8 แสนคนต่อปี และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       
       โดยแนวคิดในการก่อสร้างรถไฟทางคู่ของไทยและมาเลเซียเหมือนกันคือ แก้ปัญหาจุดตัดกับถนน โดยก่อสร้างสะพาน หรือทางลอดให้มีความปลอดภัยสูงสุดและเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง แต่ปัญหาการขาดหัวรถจักรทำให้ปริมาณการขนส่งทางรถไฟทางใต้ลดลงจาก 10 ขบวนต่อวันเหลือ 4-5 ขบวนต่อสัปดาห์ และผู้ประกอบการหันไปใช้รถยนต์แทน
       
       อย่างไรก็ตาม การเตรียมระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งของไทยเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียน (AEC) นั้นยังต้องเร่งในหลายส่วน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้มาเลเซียพัฒนาระบบรถไฟทางคู่,ถนนและท่าเรือได้อย่างรวดเร็วเพราะไม่มีปัญหาด้านเงินลงทุน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนให้ความร่วมมือในการผลักดันไม่มีการคัดค้านมากนัก

http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000078777

ยาวตัวดี

จะว่าไปที่ท่าเรือสงขลา ก็สร้างที่แหลมสนอ่อนเลย ก็ไม่เห็นมันจะมีมลพิษอะไร  ตรงพยานาคนั่นแหละ  ตอนเย็นๆ ไปนั่งดูเรือวิ่งเข้าวิ่งออกท่าเรือ  ก็เพลินดี ลมพัดเย็นๆ ใต้เงาสน  เดินดูปืนใหญ่ ตอร์ปิโดที่กองทัพเรือมาตั้งเอาไว้  แล้วตรงนั้นอบจ. ก็จะสร้างกระเช้าให้อีก  มันมีมลพิษตรงไหนฟ๊ะ


johsHY

อ้างจาก: ยาวตัวดี เมื่อ 16:55 น.  29 มิ.ย 55
จะว่าไปที่ท่าเรือสงขลา ก็สร้างที่แหลมสนอ่อนเลย ก็ไม่เห็นมันจะมีมลพิษอะไร  ตรงพยานาคนั่นแหละ  ตอนเย็นๆ ไปนั่งดูเรือวิ่งเข้าวิ่งออกท่าเรือ  ก็เพลินดี ลมพัดเย็นๆ ใต้เงาสน  เดินดูปืนใหญ่ ตอร์ปิโดที่กองทัพเรือมาตั้งเอาไว้  แล้วตรงนั้นอบจ. ก็จะสร้างกระเช้าให้อีก  มันมีมลพิษตรงไหนฟ๊ะ


เห็นด้วยอย่างยิ่ง มันไม่เห็นเป็นมลพิษตรงไหน สวยดีด้วย นั่งดูเรือเพลินนิ คนที่คัดค้านผมว่าเป็นมลพิษมากกว่าอีก

11ไร่

ขายที่ดิน11ไร่ใก้ลถนนสายใหม่ตัดหาดใหญ่สตูลราคาถูกๆห่างจากถนนสายใหม่ที่จะตัด200เมคร0864566789